วันพฤหัสบดีที่ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2557

ผี เรื่องผี เรื่องเล่าสยองขวัญ ไปเกี้ยวสาว

คนละโว้ เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกในอดีต

สมัยเด็กผมอยู่ที่ อ.โคกสำโรง จ.ลพบุรี เมืองโบราณที่มีตำนานมากมาย รวมทั้งเรื่องผีๆ สางๆ ก็ไม่ใช่น้อย เรื่องที่น่ากลัวมากสำหรับเด็กๆ อย่างพวกผมคือ "ตายใบไม้เหลือง"

พวกผู้ใหญ่เล่าว่า เมื่อสงครามโลกครั้งที่ 2 สงบใหม่ๆ เกิดโรคร้ายคือฝีดาษ หรือไข้ทรพิษระบาดที่ตำบลหนองสำโรง คนล้มตายเป็นเบือ คนที่เจ็บป่วยแล้วรอดมาได้ก็มีรอยแผลเป็นตามใบหน้าและร่างกาย คนเคราะห์ร้ายกว่านั้นก็ถึงกับตาบอดไปเลย

คนตายมากขนาดต้องเผาศพแทบทั้งวันทั้งคืน!

เปลวไฟร้อนแรงทำให้ใบไม้เหลืองไปหมด ชาวบ้านสยดสยอง หวาดกลัวจนต้องอพยพครอบครัว อุ้มลูกจูงหลานหนีโรคระบาดไปอยู่ที่อื่นชั่วคราว กระทั่งโรคร้ายบรรเทาลงจึงได้อพยพกลับมาอีกครั้ง

เมื่อผมแตกเนื้อหนุ่มก็มีเพื่อนรุ่นพี่ชักชวนไปเที่ยวเตร่เฮฮาตามประสาชาย โสด อีกทั้งการไปเที่ยวบ้านสาวๆ ตอนกลางคืนอีกด้วย มีพี่ทิดบุญยังกับพี่ทิดแก้ว สองคนนี้เป็นหัวโจก ไปงานบวชบ้าง แต่งงานบ้าง แต่พวกหนุ่มๆ จะชอบงานบวชมากกว่า เพราะเป็นประเพณีที่ต้องจัดงานกันใหญ่โตเท่าที่จะทำได้

พ่อนาคจะแต่งตัวโพกผ้า ติดเครื่องประดับและใส่แว่นตาดำคล้ายๆ กับประเพณีบวชลูกแก้วของชาวแม่ฮ่องสอน

งานบวชส่วนมากจะจัดกันถึง 4 วัน คือตำขนมจีน 1 วัน, แห่ 1 วัน, เวียนรอบโบสถ์ (หรือบวช) 1 วัน, แถมฉลองพระบวชใหม่อีก 1 วัน

ที่หนุ่มๆ ชอบงานนี้ก็เพราะมีโอกาสได้ไปช่วยสาวๆ หาบน้ำจากพรุมารดข้าวทุกวันเพื่อทำขนมจีน ช่วยสาวๆ ที่มีทั้งพวกเจ้าภาพและเพื่อนบ้านตำขนมจีนกันไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย...ได้ โอกาสเกี้ยวพาราสีกันไปด้วย

ไหนจะประเพณีเก็บข้าวไว้ซ้อมตอนกลางคืนอีกล่ะครับ!

บ้านไหนไม่มีลูกสาวก็จัดการซ้อมข้าวตอนกลางวันได้เลย เพราะไม่มีไอ้หนุ่มคนไหนมาช่วยซ้อมให้หรอก แต่บ้านที่มีลูกสาวสวยๆ น่ะเป็นอันว่าหายห่วง ตกค่ำก็จุดตะเกียงกระป๋องรอคอยได้เลย

นั่นคือเป็นการส่งสัญญาณ เชิญชวนให้พวกหนุ่มๆ ลูกคางใสให้รีบกุลีกุจอเข้ามาช่วยพลีแรงกาย ซ้อมข้าวให้ฟรีๆ โดยมีการเกี้ยวสาวเป็นสิ่งตอบแทน

บรรพบุรุษของพวกเราส่วนมากก็ผูกสมัครรักใคร่ ได้เกี่ยวก้อยกันเข้าหอก็เพราะการช่วยตำขนมจีน ตำข้าวนี่แหละครับ

อ้อ! คำว่า "เกี่ยวก้อย" มีความหมายเป็นที่เข้าใจกันดีอยู่แล้ว แต่ที่บ้านผมน่ะทำยังงั้นตรงตัวจริงๆ คือให้เจ้าสาวเกี่ยวนิ้วก้อยกับเจ้าบ่าวขึ้นเรือนหอ โดยถือเคล็ดว่าอย่าให้นิ้วก้อยหลุดจากกัน ไม่งั้นจะเป็นลางไม่ดีในวันหน้า

เผลอๆ คำว่า "เกี่ยวก้อย" ที่ใช้พูดและเขียนกันไปทั่วไปนั่นน่ะ อาจจะมีต้นตอมาจากบ้านผมก็ได้ ไม่แน่!

คืนหนึ่ง พี่ทิดทั้งสองก็มาร้องเน้อๆ ชวนผมไปเกี้ยวสาวบ้านนั้นบ้านนี้ตั้งแต่หัวค่ำแล้ว เดินไปไม่นานก็เห็นแสงไฟสว่างเรืองที่ใต้ถุนก็เลี้ยวเข้าไปทันที มีหนุ่มอื่นๆ ในตำบลที่คุ้นหน้าคุ้นตากันดีเป็นคู่แข่ง

เรื่องนี้เราไม่ว่ากัน ใครดีใครได้ หรือสุดแท้แต่ผู้หญิงเขาจะถูกชะตาคนไหน จะคารมเป็นต่อ-รูปหล่อเป็นรองหรือไม่ ก็ว่ากันไป

บางบ้านค่อนข้างเงียบเหงาเพราะมีลูกสาวน้อย แถมยังไม่ค่อยสะสวย...จนกระทั่งเราเห็นแสงไฟสว่างที่ใต้ถุนบ้านป้าคำใส พี่ทิดบุญยังรีบนำหน้า เห็นสาวๆ อยู่สามคนกำลังซ้อมข้าว...สองคนเงยหน้าขึ้นมายิ้มให้ อีกคนก้มหน้าง่วงอยู่ที่ครกท่าเดียว

จู่ๆ หมาเจ้ากรรมก็หอนโบ๋วขึ้นมา พี่ทิดทั้งสองสะกิดกันถามว่าใคร? ผมเองก็เอะใจที่เห็นสาวแปลกหน้าทั้งคู่ จนกระทั่งคนที่ก้มอยู่เงยหน้าขึ้นมา เราผงะหงายไปทุกคนเมื่อจำได้ถนัดตาว่าใครเป็นใคร?

โธ่...ก็พี่สายบัว-ลูกสาวป้าคำใสตายไปเมื่อต้นปีเพราะเป็นไข้ทับระดู!

ร่างของสองสาวรางเลือนไปในแสงไฟ เสียงพี่ทิดทั้งสองร้องแต่เฮ้ยๆๆ เหมือนคนบ้า ความมืดสาดพรึ่บเข้ามาแทนที่ ยอดไม้ไหวซ่า ผมหันกลับวิ่งนำหน้าไม่คิดชีวิต ล้มลุกคลุกคลานแทบตายกว่าจะถึงบ้าน

ยามดวงซวย บทจะโดนผีหลอกซะอย่างทำให้ลืมเสียสนิทว่าบ้านนี้ไม่มีลูกสาวอีกแล้ว...ขนหัวลุกครับ!

ขอบคุณ แหล่งที่มาหนังสือพิมพ์

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม

คลังบทความของบล็อก