วันเสาร์ที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

ผี เรื่องผี เรื่องเล่าสยองขวัญ สยองโรงแรมนครสวรรค์

ช่วงนี้ทำบุญบ่อย ใส่บาตรแทบทุกวัน เนื่องจากกลัวว่าคุณยายจะไม่มีอะไรทานในสวรรค์

ทุกครั้งที่ทำบุญจะอธิษฐานให้ตัวเองไม่ต้องเจอผี คือ ไม่ต้องมาขอส่วนบุญ ถ้าทำบุญจะอุทิศฯ ไปให้คุณผีเองโดยไม่ต้องมาขอ

ดังนั้น ช่วงนี้สบายใจ ไม่ต้องโดนผีหลอกค่ะ แต่ว่าเพื่อน ๆ อยากฟังเรื่องผีอีกเหรอ? อืมม……..งั้นเอาเรื่องที่เคยเจอในอดีตมาเล่าให้ฟังละกันค่ะ

อืมม บอกไว้ก่อนเผื่อมีเพื่อน ๆ บางคนที่เคยฟังแล้ว เพราะว่าเรื่องนี้ก็เป็นอีกเรื่องที่เคยเล่าในรายการเดอะช็อคค่ะ…..

อ้อ…..เหตุการณ์ในเรื่องนี้ บางคนอาจจะคิดว่า โอเวอร์ก็ได้ แต่อยากจะบอกว่า เรื่องนี้เรื่องจริง ๆ เลยค่ะ เจอกันหลายคนเลยล่ะ

ตอนนั้นฉันมีโอกาสได้แสดงภาพยนต์เรื่องนึง (แต่หนังไม่ดังหรอก เพราะช่วงนั้นหนังไทยไม่ทำเงินเหมือนช่วงนี้)

เราไปถ่ายทำกันที่จังหวัดนครสวรรค์ พอตกกลางคืน ทางทีมงานก็เปิดห้องพัก 2 ห้องให้ฉัน แม่ น้องชาย และพี่คนขับรถ ได้พักผ่อนกัน

ด้านล่างของโรงแรม ค่อนข้างสวยงามใช้ได้ แต่พอขึ้นลิฟท์ไปจนถึงห้องพักนี่สิ…….บรรยากาศน่ากลัวสุด ๆ เหมือนกับคนละโลกกันเลย

อ้อ…..ลืมบอกไปว่าตอนนี้ฉันมาถึงห้องพักน่ะ เป็นเวลาโพล้เพล้พอดี คือ ประมาณหกโมงเย็นกว่า ๆ แล้วล่ะ ทำให้พอมองบรรยากาศข้างนอกได้ค่อนข้างชัด

ฉันมองผ่านหน้าต่างออกมา ก็เห็นว่า มีหลุมศพอยู่ 2 หลุมติดกันเลย ตอนนั้นใจน่ะ อยากจะขอเปลี่ยนห้องแล้วล่ะ แต่ก็เกรงใจทางทีมงานอยู่ไม่น้อย กลัวว่าถ้าทำตัวเรื่องมาก ก็พาลจะถูกนินทาเอาได้ ก็เลยจำใจนอนห้องนี้ก็ได้ฟะ…..

และอีกอย่างก็คิดว่า วิวห้องไหน มันก็คงจะเหมือน ๆ กันแหละ แต่ตอนนั้น ยังไม่ทันได้สำรวจห้องอะไรมากมาย ก็ต้องรีบลงไปข้างล่างก่อน เพราะว่าเดี่ยวจะมีพี่ที่กองถ่ายจะต้องบอกคิวว่า วันไหนจะต้องย้ายกองไปที่ไหน และพวกเราก็ลงไปเที่ยวในเมือง เพื่อหาอะไรอร่อย ๆ ทานด้วย

กว่าจะกลับมาที่ห้องอีกทีก็สัก 1 ทุ่มกว่า ๆ ก็เริ่ม ๆ ทำการสำรวจห้อง พบว่า……

- ห้องพักเก่ามากกกกกกกกกกก

- เตียงนอนก็เหม็นสุด ๆ มีคราบเหลือง ๆ แดง ๆ อะไรก็ไม่รู้ ปะปนกันมั่วไปหมด

- ส่วนผนังห้องก็มีสีแดง ๆ คล้ายคราบเลือดเลอะผนังห้องเต็มไปหมด

- ห้องน้ำ ก็มีไฟหลอดแดง ๆ ประมาณ 40 วัตต์ ห้อยโตงเตงอยู่ สีของหลอดก็สลัว ๆ ได้อารมณ์สยิวกิ้วยิ่งนัก

- กระจกห้องน้ำไม่ต้องพูดถึง เป็นคราบ ๆ เลอะ ๆ เต็มไปหมด เวลามองหน้าตัวเองในกระจก จะรู้สึกว่าตัวเองดูป่วย ๆ ดูโทรม ๆ ไปถนัดตา พูดง่าย ๆ ว่าดูแล้วน่ากลัวน่ะค่ะ

- อ่างอาบน้ำ และฝักบัว ก็เก่าแสนเก่า ในอ่างนี่ก็มีคราบเหลือง ๆ แดง ๆ ปะปนกัน มองยังไงก็ไม่กล้าอาบน้ำในอ่างแน่ ๆ กลัวโดนผีจับกดน้ำ

- ห้องเหม็นอับมาก ๆ ขอบอก เหมือนกับไม่เคยมีการทำความสะอาดมาก่อน

หลังจากที่ฉัน สำรวจห้องพัก ทั้ง 2 ห้องเรียบร้อยแล้ว ฉันก็มีความคิดเจ้าเล่ห์นิด ๆ ก็คือ ฉันเลือกที่จะนอนในห้องที่มี TV ค่ะ

เพราะคิดเอาเองว่า อย่างน้อย ๆ ห้องนี้ก็น่าจะไม่มีผี เพราะว่า น่าจะมีคนมาพักบ่อย เพราะยังมี TV อยู่เลย

ส่วนห้องที่ไม่มี TV ฉันก็ยกให้น้องชาย กับพี่ที่มาขับรถให้ นอนแทน อิอิ

ดังนั้น ฉันกับแม่ก็เลือกที่จะนอนห้องนี้ พอเข้าห้องฉันก็เปิดทีวีดู อ้อ…ที่โรงแรมนี้ไม่มียูบีซีหรอกนะคะ ดังนั้นก็ต้องดูรายการปกติของสถานีแทน

ฉันก็กำลังปรับ ๆ ทีวีดู ส่วนแม่ฉันก็นอนอ่านหนังสืออยู่บนเตียง ขณะที่ฉันกำลังปรับทีวีอยู่นั้น ก็หันมาเห็นแม่ทำหน้าแปลก ๆ พร้อมทำจมูกฟุดฟิต ๆ

ฉันถามว่ามีอะไรเหรอ แม่ก็ไม่ตอบ พร้อมส่งซิก ว่าเหมือนกำลังมีอะไรบางอย่าง ที่มองไม่เห็นอยู่ข้าง ๆ แม่ฉัน

ฉันก็เลยถามว่า “มีอะไรเหรอ แม่”

แม่ก็ตอบว่า “ได้กลิ่นอะไรมั้ย เหม็นมาก ๆ”

ฉันก็ตอบว่า “ไม่ได้กลิ่นค่ะ”

สักพัก เหมือนสิ่งที่มองไม่เห็นจะได้ยิน แล้วเดินมาทางฉัน เพราะขณะที่ฉันปรับทีวีที่ไม่ชัดอยู่นั้น อยู่ดี ๆ ก็ได้กลิ่นขึ้นมา

เป็นกลิ่นเน่า เหมือนมีอะไรตาย มาอยู่ข้าง ๆ ฉัน เหม็นมากกกกกก

พอฉันได้กลิ่น ฉันก็หันไปมองหน้าแม่ พร้อมกับบอกแม่ว่า “ได้กลิ่นแล้ว ๆ”

ฉันถามว่า “แม่ยังได้กลิ่นอยู่หรือเปล่า”

แม่บอก “ไม่ค่อยได้กลิ่นแล้ว”

ฉันก็เลยตอบไปว่า “ตอนนี้เค้าคงมายืนข้าง ๆ ฉันแล้วล่ะ เพราะกลิ่นตรงนี้แรงมาก ๆ เมื่อกี้ยังไม่มีอยู่เลย” พอพูดยังไม่ทันขาดคำ สิ่งที่มองไม่เห็นนั่น ก็เริ่มแสดงอิทธิฤทธิ์ขึ้นมาทันที……

คือ ทีวีที่ฉันกำลังปรับ เพื่อให้ภาพคมชัดนั้น ตอนนั้นกำลังจะดูข่าวหรือละครช่อง 7 นี่ละ จากภาพข่าว ก็กลายเป็น ภาพข่าวอย่างเดียว แต่เสียงที่ควรจะรายงานข่าวน่ะ กลายเป็นเสียงสวดมนต์แบบแขก ๆ ฉันก็ลองเปลี่ยนเป็นช่องอื่น ๆ แต่ว่าเสียงก็ยังเป็น เสียงสวดมนต์เหมือนเดิมทุกช่อง มันน่าแปลกมั้ยล่ะ?

สักพักมันเริ่มจะไม่ไหวแล้ว เพราะว่าพอฉันปิดทีวี มันก็ยังมีเสียงสวดมนต์อยู่เลย นั่นทำให้ฉันกับแม่ ตัดสินใจวิ่ง ลุกออกไปเปิดประตู เพื่อวิ่งไปยังห้องน้องชาย แต่ว่า

ประตูมันเปิดไม่ออกค่ะ เปิดเท่าไหร่ก็เปิดไม่ออกสักที

แต่โชคยังดีที่โทรศัพท์ใช้การได้ ฉันจึงโทรมาที่ห้องของน้อง บอกให้น้องมานี่หน่อยไม่ต้องพูดอะไร ให้รีบ ๆ มาเดี๋ยวนี้เลย

น้องฉันก็เลยมาเคาะประตู พร้อมกับบิดประตูเข้ามาอย่างง่ายดาย

ส่วนฉันกับแม่ พอเห็นน้องชายเข้ามาได้ ก็ค่อยโล่งอก รีบวิ่งแจ้นออกนอกห้องกันแทบไม่ทัน

พอเข้ามาห้องน้องชายเรียบร้อยแล้ว แม่ก็บอกว่าลืมของในห้อง พี่คนที่ขับรถมาให้ก็เลยบอกว่า จะไปหยิบมาให้ พร้อมกับเรียกน้องชายของฉันให้ไปเป็นเพื่อน

แต่ว่าเค้าไม่ได้หยิบแค่ของอย่างเดียว ยังหยิบอย่างอื่นเข้ามาด้วย นั่นก็คือ…….

ที่นอนค่ะ

นาทีนั้น ตอนที่ฉันเห็นที่นอน ฉันนะตกใจมาก ๆ เพราะว่ามันเหมือนกับการเอาของ ๆ ห้องที่มีผีเข้ามา แบบนี้ผีมันก็ตามเข้ามาด้วยน่ะสิ คิดยังไม่ทันไร ตาก็เหลีอบไปเห็น

เลือดค่ะ เลือดเลอะเต็มด้านหลังของที่นอนนั่นเลย ไม่ใช่เลือดประจำเดือนแน่ ๆ เลือดมากขนาดนี้ สงสัยมีการฆ่ากันตาย บนเตียงนี้แน่ ๆ

คือ ตอนที่น้องฉันกับพี่คนขับรถ ไปหยิบที่นอนน่ะ เขาไม่เห็นเลือด แต่เห็นว่าพอหยิบที่นอนมาแล้วเจอยันต์ และหนังสือสวดมนต์วางอยู่ใต้ที่นอน

นั่นทำให้ฉันกับแม่ ร้องพร้อมกันว่า “เอาไปเก็บเดี่ยวนี้”

น้องฉันกับพี่คนขับรถยังงงไม่หาย จนฉันต้องบอกต่อว่า

“เลือดเต็มไปหมด” นั่นทำให้น้องชายฉันถึงกับเข่าอ่อน ด้วยความตกใจ เพราะเกิดมา ไม่เคยเห็นที่นอน ที่มีเลือดเยอะขนาดนี้เลย

น้องชายฉันไม่กล้าไปที่ห้องนั่นเลย แต่ว่าแม่สั่งให้ช่วยพี่เค้า น้องชายฉันเลยต้องช่วยกัน แบกที่นอนไปเก็บด้วยความจำใจ…..

พี่คนขับรถให้ฉัน เป็นนักวิทยุฯ สมัครเล่นด้วย เค้าจะมี”วอ” (ที่เหมือนของตำรวจน่ะค่ะ ที่ใช้คุยกันน่ะค่ะ) ติดตัวตลอด เพื่อใช้พูดคุยกัน ซึ่งเจ้าวิทยุ หรือที่เรียกง่าย ๆ ว่า “วอ” เนี่ย ก็จะสามารถพูดคุยกับคนในท้องถิ่นนั้นด้วย

ฉันก็ได้ยิน พี่จิ้น (ก็พี่คนที่ขับรถให้ฉันนั่นแหละ) พูดคุยกับคนในวอ แล้วคนในวอเค้าก็ถามว่า พักที่ไหน โรงแรมอะไร

พี่จิ้นก็ตอบ ๆ ไป สักพักเค้าก็ตอบกลับมาว่า (แล้วไม่ใช่ตอบคนเดียวนะ คือ ในวอเนี่ย มันจะคุยกันได้หลาย ๆ คนเลยล่ะ) คนในวอ เค้าก็แทบจะพร้อมใจกัน ตอบออกมาว่า…..

“หา อะไรนะ ทำไมมานอนโรงแรมนี้ล่ะ นี่มันโรงแรมผีสิงนะ ผีดุมาก ผีแขกด้วย เป็นป่าช้าเก่า ให้พวกเรารีบย้ายออกมาโดยด่วน ไม่มีใครนอนโรงแรมนี้ได้พ้นคืนหรอก ต้องวิ่งป่าราบกันทุกคน เพราะว่าในโรงแรมนี้น่ะ มีทั้งฆ่ายัดใต้เตียง ฆ่ากันในอ่างอาบน้ำ และที่สด ๆ ร้อน ๆ เมื่อ 3 วันที่แล้ว ยิงกันตายในลิฟท์”

โอ้ว พระเจ้าช่วยกล้อยทอด นี่มันอะไรกันฟะเนี่ยยย

ฉันนั่งฟังตาปริบ ๆ น้องชายฉันก็นั่งทำหน้าเหวอ ๆ แม่ฉันก็อึ้ง ๆ ส่วนพี่จิ้น ก็ยังคุยไม่เลิก ยิ่งพูดก็ยิ่งน่ากลัว ๆ เรื่อย ๆ

จริง ๆ ฉันบอกให้พี่จิ้นเลิกคุยได้แล้ว เพราะยิ่งคุยมันก็เหมือนกับ เราท้าทายเค้าน่ะค่ะ แต่พี่จิ้นเค้าไม่ยอมเลิกคุย โดยให้เหตุผลว่า เราควรจะรู้ประวัติของโรงแรมนี้ให้มากที่สุด และอีกอย่างในนี้คนเยอะ เค้ารู้สึกว่ามันไม่น่ากลัว เหมือนมีคนร่วมทุกข์ร่วมสุขเพียบ….

พูดง่าย ๆ ว่าพอเจออะไรไป พี่จิ้นก็รีบรายงานให้คนในวอฟังทันที ประหนึ่งตัวเองเป็นนักข่าวรายงานสดนอกสถานที่

ฉันนึกในใจว่า “รู้แล้วมันจะได้อะไรขึ้นมาฟะ รู้แล้วยิ่งกลัวเปล่า ๆ”

ยิ่งคนในวอ เล่าประสบการณ์สยองมากเท่าไหร่ เกี่ยวกับโรงแรมนี้ ต่างคนก็ต่างเล่ากันใหญ่ว่าเจออะไร มันก็ยิ่งเป็นการท้าทาย ๆ คุณผีมากขึ้น ๆ เพราะว่าตอนนี้เค้าเริ่มจะแสดงอิทธิฤทธิ์มากขึ้นกว่าเดิม เช่น…..

ห้องน้ำ มีเสียงกดชักโครกเอง น้ำไหลซู่ เหมือนมีคนเปิดน้ำทิ้งไว้ ทั้ง ๆ ที่ไม่มีใครอยู่ และมีเสียงคนเดินในห้องน้ำ

หน้าต่าง ไม่มีระเบียง แต่มีคนเคาะหน้าต่างบ่อยมาก ๆ ก็คิดดูสิว่าใครเคาะล่ะ จะว่าต้นไม้ก็ไม่ใช่ เพราะตอนเย็นน่ะ มองแล้วว่าไม่มีต้นไม้ใหญ่ มาเลาะหน้าต่างแน่นอน

ประตู มีคนมาเคาะประตูทั้งคืน ตอนแรกฉันนึกว่าทีมงานมาแกล้ง จึงส่องตาแมวไปดู ปรากฏว่า ไม่มีใครสักคน

สักพักก็ยังมีคนมาเคาะอีกหลายหน ฉันจึงตัดสินใจลุกไปกัน 3 คนเพื่อส่องตาแมวให้รู้ไปเลยว่าใครมาแกล้งฟะ ปรากฏว่าขณะที่เสียงเคาะประตูกำลังดังอยู่นั้น ฉันส่องตาแมวพอดี ก็ไม่เห็นมีใครมาเคาะประตูเลย นั่นทำให้ฉันเหวอมาก ๆ

ส่วนลิฟท์ ก็มีเสียงคนขึ้นลงตลอดเวลา และที่สำคัญไม่ว่าลิฟท์จะขึ้นหรือลงยังไง ก็ต้องมาหยุดตรงชั้นห้องของฉัน และต้องมีเสียงคนเดินมาหยุดหน้าห้องทุกที ซึ่งแน่นอนว่า พวกเราไปส่องตาแมวดูแล้วก็ไม่มีใครสักคน

สักพัก พี่จิ้นเริ่มทนไม่ไหว ขณะที่ประตูกำลังเคาะอยู่นั้น พี่จิ้นก็แสดงความกล้าหาญด้วยการเปิดประตูทันที แล้วก็ออกไปมองข้างนอก ว่าใครวะ มาแกล้งป่านนี้ ซึ่งก็ไม่เจอใครสักคนเลยค่ะ และก็ไม่มีทางด้วยที่ใครจะมาแอบ เพราะมันไม่มีมุมให้แอบได้เลย

อ้อ ส่วนห้องข้าง ๆ คือ จะมีลิฟท์ก่อน และก็ห้องเก็บของ และก็ห้องฉัน นะคะ ก็เคาะผนังตรงหัวเตียงฉันทั้งคืนเช่นกันค่ะ

คุณลองคิดเล่น ๆ ดูสิ ว่าฉันกำลังนอนกลัวอยู่บนเตียง แต่หัวเตียงน่ะ มีเสียงคนเคาะดังมาก ๆ เลย เคาะป๊อก ป๊อก ป๊อก แถมลากของทั้งคืน เสียงเหมือนลากตู้ ลากเตียง เอี๊ยด อ๊าดทั้งคืน

สักพัก น้องชายของฉันก็กลัวจนหลับไป คือ นอนทั้งน้ำตาน่ะค่ะ ขณะที่น้องฉันกำลังหลับอยู่นั้น อยู่ดี ๆ ก็ลุกขึ้นมา ทำท่าทางเหมือนคนแขก และก็พูดภาษาแขก ๆ ว่า อะบิดาบา อะไรประมาณนี้น่ะค่ะ ไม่รู้แปลว่าอะไร แต่ว่าน่ากลัวมาก ๆ เพราะว่าปกติน้องชายฉันไม่เคยนอนละเมอเลย แต่นี่ลุกขึ้นมาดื้อ ๆ อย่างนั้น มันน่ากลัวมาก ๆ ค่ะ จนแม่ต้องให้พระคล้องคอน้องใส่ น้องถึงนอนลงได้

อ้อ…ลืมบอกไปว่า ตอนที่เข้าห้องนี้แล้ว ช่วงที่เกิดเหตุการณ์แรก ๆ ขึ้นคือ มีคนเคาะประตูนี่ ฉันกับคุณแม่ก็สวดมนต์พระคาถา ชินบัญชรด้วยนะคะ ลองคิดดูสิว่าขนาดสวดมนต์ก็แล้ว แผ่ส่วนบุญส่วนกุศล บอกเจ้าที่เจ้าทางก็แล้ว ยังโดนขนาดนี้ ถ้าไม่ทำจะโดนขนาดไหนเนี่ย

(อ้อ ขณะที่กำลังเขียนอยู่นี้ ตี 4 กว่าพอดี หมาแถวบ้านหอนกันสนั่นเลย ได้อารมณ์จริง ๆ )

ตอนแรก ๆ แม่เริ่มถอดใจ หลังจากน้องชายโดนผีเข้า แม่กะว่า เราออกไปหาโรงแรมอื่น นอนกันเถอะลูก แต่เรากลับคิดว่า นอนที่นี่ต่อไปดีกว่า….. เพราะว่า

- กลัวผีในลิฟท์อีก เกิดเข้าลิฟท์ดี ๆ แล้วลิฟท์ค้างกะทันหัน ไฟดับจะทำอย่างไร ไม่ตายกันในลิฟท์เหรอ ป่านนี้แล้วใครจะมาช่วย

- ตอนนั้นมันก็ดึกมาก ๆ แล้ว ตีอะไรก็ไม่รู้ ไม่รู้จะไปนอนที่ไหน เพราะไม่เคยมาจังหวัดนี้มาก่อน แล้วก็ไม่รู้ว่าที่อื่นมันจะดุกว่านี้หรือเปล่า

สรุปคืนนั้น เรียกได้ว่าแทบไม่ได้นอน เจอผีกันทั้งคืน

เจอจนจากกลัวเป็นโกรธ ฉันโกรธจริง ๆ นะ เข้าใจเลยว่า คนที่กลัวอะไรสุด ๆ สามารถเปลี่ยนความกลัว เป็นความโกรธได้

คือ ช่วงหลัง ๆ เริ่มจะชินแล้ว อยากหลอกก็หลอกล่ะกัน เพราะอย่างน้อย เค้าก็ยังใจดีที่ไม่มาให้เห็นกันจะ ๆ ไม่งั้นคงช็อกตายคาที หรือไม่ก็วิ่งป่าราบเหมือนคนอื่น ๆ

ฉันกับแม่เผลอหลับไปในตอนเช้า ส่วนพี่จิ้นก็หลับคาวอนั่นแหละ ตื่นมาอีกทีก็ 9 โมงกว่า รีบเผ่นจากห้องกันแทบไม่ทัน

ระหว่างออกจากห้อง ก็ต้องเดินผ่านห้องเก็บของข้าง ๆ ที่เมื่อคืนลากอะไรกันไม่รู้ทั้งคืน ฉันเหลือบไปเห็น ที่นอน (อีกแล้ว) แต่คราวนี้เป็นที่นอนที่มีเลือดเกือบจะสด ๆ เลอะเต็มที่นอน และไหลเป็นคราบมากองที่พื้นอีกด้วย

อ้อ…..พอดีมีคนทำความสะอาด 2 คนเดินมาพอดี ฉันเลยถามเลยว่า พี่คะ ห้องนี้เมื่อคืนมีใครเข้ามาลากอะไรหรือเปล่าคะ

พี่คนทำความสะอาดทำหน้าตาเหวอ ๆ บอกกลับมาว่า ห้องนี้ไม่มีคนหรอกค่ะ พอตกเย็นพนักงานก็รีบกลับบ้านกันหมดแล้ว ไม่มีใครกล้าทำงานตอนกลางคืนหรอก เพราะโรงแรมนี้ผีดุจะตาย ดูสิ ขนาดกลางวันแสกๆ เค้ายังไม่กล้าทำงานคนเดียวเลย ต้องขึ้นมาเป็นเพื่อนกัน 2 คน แล้วที่นอนที่เห็นนี่ ก็เพิ่งฆ่ากันตายมาไม่กี่วัน เลือดยังนองอยู่ ไม่มีใครกล้าเช็ด

พอทราบความดังนั้น พวกเราก็ขอบคุณพร้อมกับรีบลงจากลิฟท์ ลิฟท์ก็น่ากลั๊ว น่ากลัว นี่ขนาดตอนเช้านะเนี่ย

พอลงมาก็เจอเจ้าของโรงแรม เดินมาทักทายใหญ่เชียว ว่าเมื่อคืนหลับสบายมั้ยครับ?

โห…..ฉันนะ รีบบอกใหญ่เลยล่ะ ว่าเมื่อคืนเจออะไร

เจ้าของโรงแรมรีบบอกกลับทันที่ว่า “ที่คุณเจอน่ะ มันยังเล็กน้อย ผมเจอยิ่งกว่านี้อีก และอีกอย่าง วันนี้ผมจะทุบโรงแรมนี้ทิ้งพอดี เพราะว่าเปิดต่อไป ก็ไม่มีใครมาพักเลย เนื่องจากผมก็ยอมรับว่าโรงแรมผมผีดุจริง ๆ เมื่อคืนเป็นคืนสุดท้าย ผีเค้าเลยมาทักทายซะหน่อย”

ฉัน แม่ น้อง พี่จิ้น ยืนฟังตาเหลือก

เรานึกในใจว่า “อะไรฟะ ผีดุแบบนี้กล้าให้พวกเรามานอนได้ไงฟะเนี่ย”

เราถามเกี่ยวกับทีมงานคนอื่น ๆ ก็ได้ความว่า ไม่มีใครพักที่นี่เลยค่ะ (พูดง่าย ๆ ว่าทั้งโรงแรมมีฉันอยู่ห้องเดียว) คือ ดาราคนอื่น เค้ารู้กันหมดแล้วว่าที่นี่ผีดุ ไม่มีใครกล้าพัก ส่วนเราเพิ่งเล่นเรื่องแรก ยังไม่รู้อะไร ไม่มีใครบอก เลยได้พักไป ซวยไป

อีก 2 วันต่อมาก็มีคิวถ่ายต่อ แหม…ทีมงานถามกันใหญ่เลย ว่าเจออะไรบ้าง หึหึ สนุกกันเข้าไป

นี่ละหนา ที่เค้าว่าคนในวงการบันเทิง ไม่มีมิตรแท้ และศัตรูจริง ก็ดูสิ ไม่มีใครบอกฉันสักคน
ขอบคุณ แหล่งที่มาหนังสือพิมพ์  

ผี เรื่องผี เรื่องเล่าสยองขวัญ ชีวิตหลังเกษียณ

บัญชา เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากชีวิตหลังเกษียณ

ผมเพิ่งเกษียณอายุราชการเมื่อปีกลายนี้เอง แต่ไม่เคยมีปัญหาอย่างที่เขาพูดๆ กัน ว่าชีวิตที่ว่างงานระยะแรกๆ จะมีแต่ความสับสน งุนงง ทำอะไรไม่ถูก จิตใจยังอาลัยอาวรณ์อยู่กับตำแหน่งเดิม หรือที่เรียกว่า "หัวโขน" นั่นเอง

คนเคยมีตำแหน่งใหญ่โต มีบริวารแวดล้อม เสนอหน้ากันสลอน เพราะหวังจะได้หน้า ได้ผลประโยชน์ ก็เลยเคลิบเคลิ้มไปเพราะจิตใจอ่อนไหว แต่เมื่อเกษียณออกมาแล้วบรรดาลูกขุนพลอยพยักที่เคยห้อมล้อม ประจบประแจง ล้วนแต่หายหน้าหายตาไปจนหมดสิ้น

คำว่า "จริงครับพี่ ดีครับนาย ใช่ครับท่าน" ที่เคยได้ยินจนชินหูก็พลอยจางหายไปเหมือนสายลมวูบเดียว!

สำหรับผมเองใช้ชีวิตอย่างเรียบๆ ง่ายๆ ทั้งตัวเองและครอบครัวต่างก็ถือสมถะมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว ยึดคติ "เมื่อไม่มีสิ่งที่เราพอใจ ก็จงพอใจในสิ่งที่เรามีอยู่" จึงจะดำรงชีวิตจิตใจให้อยู่ในสภาพเป็นปกติต่อไป ไม่มีอะไรเดือดร้อน

โลกธรรมแปดทำให้คนเราได้รู้และยอมรับความเป็นจริงของชีวิต...มียศเสื่อมยศ มีลาภเสื่อมลาภ...ใครรู้เท่าทันก็ถือว่าหมดทุกข์ไปได้

วิชิตกับไพรัช-เพื่อนรุ่นเดียวกันสองคน ถึงแม้ว่าจะอยู่คนละหน่วยงานแต่ก็ได้พบปะกันเสมอ เมื่อเกษียณออกมาพร้อมกัน เพื่อนคู่นี้คล้ายจะทำใจไม่ได้ หน้าตาดำคล้ำ ท่าทางสลดหดหู่เหมือนต้นไม้อ่อนๆ ที่โดนแดดเผา...นับวันแต่จะเหี่ยวเฉาร่วงโรยไปอย่างรวดเร็ว

ผมเคยถามตรงๆ อย่างเพื่อนสนิทว่า ไม่เคยทำอกทำใจไว้ก่อนหรือว่าจะต้องพ้นจากตำแหน่งหน้าที่เมื่อถึงวันเกษียณ อายุราชการ...วิชิตบอกว่าพยายามแล้วแต่ก็ทำใจไม่ได้อยู่ดี

ไพรัชสารภาพว่า อำนาจวาสนาในวันเก่าๆ มันยังเกาะติดจนสลัดไม่หลุด ตัดใจแค่ไหนก็ตัดไม่ขาด ผมเลยแนะนำให้มองดูรุ่นพี่ที่เขาหาอะไรทำให้เพลิดเพลินไปวันๆ จะได้ไม่มีเวลามากลัดกลุ้มเรื่องตัวเอง!

อยากทำอะไรที่ไม่มีเวลาจะทำได้เต็มไม้เต็มมือมาก่อน เช่น การทำงานอดิเรกต่างๆ ไม่ว่าจะเลี้ยงต้นไม้ เลี้ยงหมาเลี้ยงแมว เล่นกล้วยไม้ สะสมแสตมป์ รวมทั้งการอ่านหนังสือหรือออกไปดูหนังดูละคร หลายๆ คนก็นิยมซื้อทัวร์ออกไปท่องเที่ยวต่างจังหวัด เปิดหูเปิดตากับได้พบคนอื่นๆ ที่แปลกหน้า ไม่ใช่จำเจอยู่กับคนหน้าเก่าๆ ตลอดปีตลอดชาติ

หลายๆ คนที่ทำตามแฟชั่นคือ "เรียนลีลาศ-วาดสีน้ำ"

ส่วนมากมักจะอยู่บ้านเลี้ยงหลาน หรือไม่ก็อ่านหนังสือธรรมะ จนถึงเข้าวัดเข้าวาเพื่อหาความสงบในบั้นปลายชีวิตจนกว่าจะถึงวาระสุดท้าย

วิชิตรับปากว่าจะลองท่องเที่ยวต่างจังหวัดดู ไม่ใช่ซื้อทัวร์แต่ขับรถไปเอง ประเภทขับไปเรื่อยๆ ไม่มีจุดหมาย ค่ำไหนนอนนั่น เบื่อหน่ายหรืออ่อนล้าเมื่อไหร่ก็กลับบ้าน

ไพรัชได้ฟังก็เห็นดีด้วย ขับรถไม่เป็นก็ไม่แปลก เพราะตกลงกันว่าวิชิตจะไปไหนเมื่อไหร่ขอให้บอก จะได้จัดกระเป๋าออกไปด้วยกัน บ้านช่องนั้นหมดห่วงเพราะภรรยายังทำงานอีกหลายปี ส่วนลูกๆ ก็เติบโตจนปีกกล้าขาแข็งไปหมดแล้ว

เรื่องขนหัวลุกเกิดขึ้นตอนนี้เอง!

เพื่อนทั้งสองขับรถออกไปตระเวนทางภาคเหนือตอนล่าง ไล่ตั้งแต่นครสวรรค์, กำแพงเพชร, อุทัยธานี, พิษณุโลกและสุโขทัย...มีการโทรศัพท์พูดคุยกันพอสมควร ส่วนผมก็เลี้ยงต้นไม้ หาความรู้ด้านนี้เพิ่มเติมไปเรื่อยๆ สลับการอ่านหนังสือ ดูหนังทางเคเบิลทีวีเพลิดเพลินได้ทุกวัน

คืนหนึ่ง อาจจะเป็นเพราะจิตใจนึกถึงวิชิตกับไพรัชก็เป็นได้ ผมเห็นคนทั้งสองนั่งรถสีน้ำเงินเข้มขับช้าๆ เข้ามาหา ต่างโบกไม้โบกมือหัวเราะเริงร่า ก่อนจะผ่านไปอย่างรวดเร็ว...ผมมองตามไปก็ต้องใจหายวูบเมื่อ เห็นรถของเพื่อนพุ่งเข้าใส่ต้นไม้ใหญ่ข้างทางเสียงสนั่นหวั่นไหว

คล้ายๆ กับมีฟ้าผ่าเปรี้ยงปร้างติดๆ กันจนหูอื้อ ม่านตาพร่าพราย เมื่อจ้องมองอีกครั้งก็เห็นเพื่อนทั้งสองกำลังโบกมือหัวเราะร่า ใบหน้ากับดวงตาขยายใหญ่จนน่าตกใจ...ก่อนจะพุ่งทยานเข้าใส่ต้นไม้ต้นเดิมอีก ครั้ง!

เสียงตูมตามคราวนี้ทำให้ผมสะดุ้งตื่น เหงื่อแตกพลั่กเต็มตัว...มองดูนาฬิกาก็เห็นว่าเกือบตีสี่ เลยลุกขึ้นล้างหน้าล้างตาออกมาเปิดทีวีดูข่าว แล้วชงกาแฟดื่ม...แทบจะช็อกคาที่เมื่อเห็นข่าวว่าเกิดอุบัติเหตุที่สุโขทัย ตอนค่ำที่ผ่านมานี่เอง

ครับ...วิชิตกับไพรัชบึ่งรถกลับโรงแรม เกิดยางแตกจนรถเสียหลักพุ่งเข้าชนต้นไม้พังยับเยิน...เพื่อนผมเสียชีวิตคาที่ทั้งสองคน

วิญญาณเขาคงจะมาล่ำลา หน้าตาที่หัวเราะเริงร่าคล้ายจะบ่งบอกว่า ความทุกข์ในชีวิตหลังเกษียณจบสิ้นแล้วในพริบตาที่รถพุ่งเข้าใส่ต้นไม้นั่น เอง...นึกแล้วขนหัวลุกครับ!
ขอบคุณ แหล่งที่มาหนังสือพิมพ์

ผี เรื่องผี เรื่องเล่าสยองขวัญ ผีนางรำ

ธิดานุช เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากนนทบุรีในอดีต

ดิฉันเป็นคนจังหวัดนนทบุรีนี่เอง ถึงเทศกาลสงกรานต์มักไม่ได้ไปเที่ยวที่ไหนหรอกค่ะ นอกจากไปวัดทำบุญ รดน้ำผู้ใหญ่ เลี้ยงดูกันในหมู่ญาติมิตร เท่านี้ก็มีความสุขพอสมควรแล้ว

บางปีมีเพื่อนหนุ่มสาวจากกรุงเทพฯ มาเที่ยว เห็นเรารดน้ำท่านผู้ใหญ่ก็อยากรดบ้าง แต่อดขำไม่ได้เมื่อเห็นเขารดน้ำไปพลางก็พูดอวยพรให้ท่านอายุยืน อย่าเจ็บอย่าไข้ จะได้เป็นร่มโพธิ์ร่มไทรให้ลูกหลานไปนานๆ

แทนที่จะรับพรกลับให้พรผู้ใหญ่เฉยเลย!

ดิฉันจะบอกตอนเขารดน้ำเสร็จก็กลัวเพื่อนจะอาย ปีต่อมาเลยบอกให้รู้ก่อนว่าไม่ต้องให้พรท่านหรอก ท่านเป็นฝ่ายให้พรเราเอง ว่าขอให้เจริญรุ่งเรืองยิ่งๆ ขึ้นไป อย่าเจ็บอย่าไข้ ขอให้ก้าวหน้าในการงานอะไรประมาณนั้น...คนที่เคยให้พรท่านเมื่อปีกลายได้แต่ เอียงอายไปตามๆ กัน

พูดถึงเมืองนนท์ ส่วนมากคนจะรู้จักแต่ว่าเคยโด่งดังเรื่องทุเรียน รวมทั้งผลไม้ต่างๆ ไม่ว่ามะม่วง, ส้ม, มะพร้าว ฯลฯ ความจริงจังหวัดนี้น่ะมีทั้งพื้นที่ทำนาและทำสวนพอๆ กัน คือราวหมื่นสี่พัน-หมื่นห้าพันไร่

อ้อ! ที่ว่าน่ะสิบกว่าปีมาแล้วนะคะ ปัจจุบันถูกบ้านจัดสรร, ตึกแถว, คอนโดฯ และห้างสรรพสินค้ารุกรานจนเรือกสวนไร่นาเหลือน้อยลงทุกที...เมื่อสิ่งที่ เรียกว่าความเจริญบุกรุกเข้ามา

ยายดิฉันเคยเล่าให้ฟังว่า สมัยก่อนเราทำนาได้ข้าวแล้วก็จะใช้ควายลากเลื่อนไปเข้ายุ้งฉาง เมื่อเหลือจากการเก็บไว้กินและทำพันธุ์แล้วถึงจะขายโดยขนข้าวใส่เรือพายไป ส่งโรงสี มีปัญหาตรงน้ำขึ้น-น้ำลง (แต่ก่อนเรียกน้ำเกิด-น้ำตาย) ที่เอาแน่นอนไม่ได้เลย

น้ำลงมากก็ต้องเข็นเรือ หรือไปไม่ไหวจริงๆ ก็ต้องขอแรงเพื่อนบ้านช่วย "ลงแขก" หาบข้าวไปส่งโรงสีกันล่ะค่ะ

ต่อมาเคยได้ยินแต่เขาว่าลงแขกดำนา, เกี่ยวข้าวเท่านั้น...สงสัยจะมีที่จังหวัดนนท์บ้านดิฉันนี่แหละค่ะ ที่มีตั้งแต่การดำนา, ดายหญ้า, เกี่ยวข้าว, นวดข้าว...ไปถึงการลงแขกหาบข้าวขึ้นจากเรือเดินไปส่งถึงโรงสีด้วย!

นอกจากจะทำอาหารเลี้ยงดูผู้ที่มาช่วยงานแล้ว ยังมีพิธี "ขวัญข้าว-ขวัญลาน" โดยมีหมอขวัญมาเรียกขวัญ หรือระลึกถึงบุญคุณของแม่โพสพไงคะ

อ้อ! มีการ "ทำขวัญควาย" ไปพร้อมกันด้วย โดยอาบน้ำทำความสะอาดให้เจ้าทุย เอาหญ้าอ่อนให้กิน ใช้สายสิญจน์ผูกเขาทั้งสองข้าง มีหมอมาทำขวัญเพื่อระลึกถึงบุญคุณของควายที่ช่วยเหลือทำนามาตลอดปี

เทศกาลไหนก็ไม่สนุกเท่าวันสงกรานต์ไปได้หรอกค่ะ

เริ่มตั้งแต่วันที่ 13 เมษายน เป็นต้นไป จะมีการทำบุญและสรงน้ำพระ แล้วแต่ทางวัดจะกำหนดวันไหน อาจจะนานตั้ง 3-4 วันก็ได้ โดยวันสรงน้ำพระนี่สนุกที่สุด จำได้ว่ามีการละเล่นหลายอย่าง ล้วนแต่น่าสนุกทั้งนั้น เช่น ซ้อมตำข้าว, แม่ศรี, ช่วงชัย, ช่วงโยน, มอญซ่อนผ้า, ชักเย่อ, ผีสาก, ผีครก...สารพัดล่ะค่ะ

โดยเฉพาะผีนางรำนี่ทั้งสนุกและน่ากลัวอย่างบอกไม่ถูก!

พวกเราจะไปจัดพิธีผีนางรำกันกลางทุ่งนาใกล้ๆ วัด มีการปักธงแดงหรือธงชาติบนลานที่จัดไว้ โดยตอนเช้าจะไปทำบุญ เสร็จแล้วชาวบ้านก็จะมาชุมนุมกันที่ลานเพื่อเล่นผีนางรำ

เท่าที่เคยเห็นตอนเด็กๆ ผู้หญิงหรือคนทรงที่มาเป็นนางรำแทบจะไม่ซ้ำหน้ากันเลย

มีลูกเต้าวุ่นวายบ้าง ย้ายถิ่นฐานไปบ้าง ตายเพราะถูกงูกัดบ้าง คนทรงที่จะมาเล่นผีนางรำจึงเปลี่ยนหน้ากันมาตลอด

พอได้เวลาก็มีคนทรงชื่อน้าบัวลอยแต่งชุดนางรำ นุ่งโจงกระเบน ห่มผ้าสไบเฉียงสีเขียวสวยงาม ชาวบ้านที่อยู่รอบๆ วงก็จะช่วยกันร้องเพลงเพื่อเชิญผีให้มาเข้าทรง ท่ามกลางสายตาของเด็กๆ ที่จ้องมองตาโพลง

สายลมพัดซ่า นางรำที่ยืนนิ่งเริ่มขยับตัว...ผีมาเข้าทรงแล้ว!

ทันใดนั้น น้าบัวลอยหรือนางรำก็จะทอดแขนร่ายรำช้าๆ ก้าวขาเยื้องกรายได้จังหวะอย่างงดงาม...บรรยา กาศดูเยือกเย็น พร่ามึนเหมือนเราพลัดหลงเข้าไปในโลกแห่งความฝัน หรือจินตนาการเร้นลับอย่างบอกไม่ถูก

ใบหน้าขาวโพลนของนางรำที่เชื่อว่าถูกผีสิงก็ยิ้มแย้มปากแดง พยักพเยิดกับคนนั้นคนนี้จนกระทั่งมีเสียงเอะอะครวญคราง ใครไม่รู้ 3-4 คนร้องขึ้นว่า...นังศรี...นังศรีนี่นา!

เขาหมายถึงน้าศรีที่ถูกงูกัดตายเมื่อปีกลาย ดิฉันเองก็จำได้ว่าเมื่อครู่นี้เห็นเป็นหน้าน้าศรีชัดๆ แต่ไม่ช้าก็เป็นหน้าน้าบัวลอยตามเดิม...เดี๋ยวนี้สงกรานต์เหลือแต่ทำบุญกับ สรงน้ำพระเท่านั้น แต่ดิฉันยังจำผีนางรำสมัยเด็กๆ ไม่มีวันลืมค่ะ!

ขอบคุณ แหล่งที่มาหนังสือพิมพ์  

วันจันทร์ที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

ผี เรื่องผี เรื่องเล่าสยองขวัญ วิญญาณที่ผูกพัน

ป้อม เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากดินแดง

สงกรานต์ปีนี้ ถึงจะมีผู้คนยกโขยงกลับบ้าน หรือแห่ไปเที่ยวต่างจังหวัดมากน้อยแค่ไหน คงไม่สำคัญเท่ากับการป้องกันไม่ให้เกิดอุบัติเหตุ บาดเจ็บล้มตายน้อยที่สุด กับเที่ยวสงกรานต์ให้สนุกสมกับเป็นเทศกาลขึ้นปีใหม่ของไทยเรา

พูดถึงเรื่องป้องกันอุบัติเหตุ น่าชื่นชมที่ผู้รับผิดชอบ ล้วนทุ่มเทแรงกายแรงใจกันเต็มที่มากกว่าทุกๆ ปีที่ผ่านมาก็ว่าได้

ทั้งการตั้งด่านตรวจรถและผู้ขับขี่ มีจุดให้พักผ่อน ไม่ว่าการงีบหลับหรือนวดแผนไทยแจกน้ำชากาแฟและผ้าเย็นเช็ดหน้าให้สดชื่น กระปรี้กระเปร่า ไม่เกิดอาการหลับในได้ง่ายๆ

มีอุบัติเหตุจากความประมาท ดื่มเหล้า ไม่เคารพกฎจราจร เป็นสาเหตุสำคัญก็ถือว่าเป็นเรื่องธรรมดา เหมือนเราต้องมีตำรวจ ศาลและเรือนจำมาแต่ไหนแต่ไร...จะไม่ให้มีคนละเมิดกฎหมายเลยคงเป็นไปไม่ได้

ยอมรับความจริงกันดีกว่าครับ!

วันนี้ผมมีเรื่องขนหัวลุกจากสงกรานต์เมื่อราว 6-7 ปีก่อนมาเล่าสู่กันฟัง

ในย่านถนนประชาสงเคราะห์ ดินแดงใกล้ๆ บ้านผมนี่เอง มีครอบครัวหนึ่งอยู่กันสองผัวเมีย ชื่อพ่อใหญ่กับน้าละมุน พ่อใหญ่เป็นจ่าตำรวจนอกราชการ มาทำงานอยู่บริษัท รปภ. ชื่อจริงว่าอะไรไม่มีใครรู้แน่ แต่เป็นคนเก่าแก่ที่เรียกพ่อใหญ่ๆ กันทั้งซอย

ทั้งสองมีลูกสาวคนเดียวชื่อดวงเดือน อายุยี่สิบต้นๆ เป็นคนสวยน่ารักมากๆ ครับ

เธอผิวขาว เอวบางร่างน้อย เรียนจบมหาวิทยาลัย นิสัยดีมาก สุภาพเรียบร้อย ร่าเริง รู้จักเด็กรู้จักผู้ใหญ่ ใครๆ ก็ชมเชยกันว่าพ่อแม่โชคดีมากที่มีลูกสาวอย่างหนูเดือนรุ่นน้องผมคนนี้

พ่อใหญ่รักและหวงลูกสาวมาก เปรียบเปรยกันว่าเหมือนจงอางหวงไข่ มีพวกหนุ่มๆ และเพื่อนฝูงของเดือนมาหา พ่อใหญ่มักทำหน้าบึ้งตึง ถามว่ามาที่นี่มีธุระอะไร? บางคนบอกว่ามาเที่ยว พ่อใหญ่ก็แค่นหัวเราะ บอกว่าที่นี่บ้านคน ไม่ใช่ที่ท่องเที่ยว!

สมัยเรียนน่ะ เวลาหนูเดือนไปเที่ยวต่างจังหวัดกับเพื่อนๆ ร่วมคณะ หรือทัศนศึกษาเมื่อกลับถึงบ้าน พ่อใหญ่จะไล่ลูกสาวไปอาบน้ำพักผ่อน ตัวเองจัดการเปิดกระเป๋าเดินทาง ขนเสื้อผ้ามาใส่กะละมังซักทันที

ก่อนสงกรานต์ราว 2-3 วัน ดวงเดือนไปเที่ยวต่างจังหวัดกับเพื่อนที่ทำงานเพราะได้พักร้อน ฉวยโอกาสไปเที่ยวก่อนเทศกาลเพราะรู้ดีว่ามีคนออกจากกรุงเทพฯ นับล้าน พ่อใหญ่เองก็มีเพื่อนฝูงชวนไปดื่มเหล้าที่นั่นที่นี่...ล่าสุดได้ข่าวว่ามีเพื่อนไปร่วมวงที่สุทธิสาร

"คืนนี้อยู่ดึกไม่ได้นะ เพราะลูกสาวอั๊วจะกลับจากต่างจังหวัดพรุ่งนี้เช้าแล้ว"

พ่อใหญ่ขี่มอเตอร์ไซค์ออกจากบ้านตอนเย็นๆ น้าละมุนเข้ามาคุยกับแม่ผมจนเกือบสองทุ่ม ได้ยินแกปรับทุกข์ว่าหมู่นี้ฝันไม่ดี ลูกเต้าไปต่างจังหวัดก็อดห่วงไม่ได้จนกว่าจะกลับบ้าน

แม่ผมปลอบว่าฝันร้ายจะกลายเป็นดี ให้น้าละมุนสบายใจไงครับ

เจ้าติ่งเพื่อนบ้านในซอยหิ้วขวดเหล้าเข้ามาหา...เราปักหลักโจ้กันที่ม้าหินริมรั้วสองคน น้าละมุนเดินเหงาๆ กลับบ้าน แสงไฟดูเยือกเย็นน่าวังเวงใจบอกไม่ถูก ผมร้องไปว่า...พรุ่งนี้เช้าหนูเดือนก็กลับแล้วล่ะน้า เจ้าติ่งก็เสริมว่า...น้าไม่ต้องห่วงหรอกน่า เดี๋ยวพ่อใหญ่ก็กลับบ้านแล้ว

"ขอให้จริงเถอะ พ่อหนุ่ย พ่อติ่ง" แกฝืนยิ้มแล้วผลักประตูเลี้ยวไปทางก้นซอย เจ้าติ่งมองตามแล้วอ้าปากค้าง

"เฮ้ย! ทำไมน้าละมุนแกไม่มีเงาวะ?"

ผมด่าเพื่อนเบาๆ ที่ปากเสีย...จากนั้นเราก็ดวดเหล้ากันต่อจนเกือบสองยาม เจ้าติ่งยอมแพ้ ขอตัวกลับบ้าน ผมออกมาส่งเพื่อน...กำลังจะปิดประตูก็พอดีเห็นพ่อใหญ่ขี่รถเข้ามา ผมทักทายแกแกก็หันมาพยักหน้ายิ้มๆ แล้วขับรถตามหลังเจ้าติ่งไปจนลับตา

จู่ๆ หมาในซอยก็โก่งคอหอนเสียงโหยหวน เล่นเอาผมขนลุกเกรียวไปทั้งตัว...เขาว่ามันหอนเพราะเห็นผีไม่ใช่หรือครับ? รีบกลับขึ้นบ้านทันที...คืนนั้นผมฝันเห็นแต่พ่อใหญ่ น้าละมุนและหนูเดือนไปเกือบตลอดคืน

รุ่งขึ้นตรงกับวันเสาร์ ผมก็ได้ข่าวร้ายน่าขนหัวลุก!

พ่อใหญ่เกิดอุบัติเหตุขากลับ คนเมาขับรถกระบะพุ่งข้ามเลนมาชนจนมอเตอร์ไซค์แหลกยับ พอๆ กับร่างพ่อใหญ่ที่เลือดท่วมตัว ตายคาที่อยู่ข้างถนนนั่นเอง

นึกถึงเวลาที่เห็นแกขับรถผ่านหน้าบ้านผมแล้วแทบเป็นลม...เพราะพอขาดใจปุ๊บวิญญาณพ่อใหญ่ยังไม่รู้ว่าตัวเองตายแล้ว ก็บึ่งรถกลับบ้านด้วยความห่วงใยและรักใคร่ลูกเมียทันที

ตอนแรกผมนึกว่าตาฝาดไปคนเดียว แต่หนูเดือนก็กลับมาตอนใกล้รุ่งแล้วรีบเข้านอน พอตื่นขึ้นก็เห็นเสื้อผ้าในกระเป๋าเดินทาง ซักและขึ้นราวเรียบร้อย...ขนหัวลุกน่ะซีครับ!

ขอบคุณ แหล่งที่มาหนังสือพิมพ์ ข่าวสด

ผี เรื่องผี เรื่องเล่าสยองขวัญ เส้นทางของวิญญาณ

ทองอินทร์ เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากเส้นทางของวิญญาณ

ผมเป็นคนบ้านหมี่ ลพบุรีครับ ใครอย่ามาเรียกเราว่า "ลาวพวน" เชียวนะ โกรธจริงๆ เวยเอ้า! เพราะผู้ใหญ่เล่ากันสืบมาว่า คนลาวก็เรียกเราว่า "ไทยพวน" ทั้งๆ ที่พวกพวนน่ะอยู่กันมาก่อนหน้านั้นหลายชั่วอายุคนแล้ว

ชาวพวนอพยพมาอยู่บ้านหมี่ตั้งแต่ปลายกรุงศรี อยุธยา มีหลักฐานการตั้งถิ่นฐานจากการก่อตั้งวัดหินปักใหญ่ในปี 2306 โดยชาวพวนเป็นผู้สร้าง ส่วน วัดวังใต้นั้นชาวไทยเวียงที่อพยพตามหลังมาสร้างไว้ในปี 2307

ต่อมากลายเป็นชุมชนใหญ่เมื่อครั้งปราบกบฏเจ้าอนุวงศ์เมืองเวียงจันทน์ ในสมัย ร.3 เพราะเข้ามาอยู่ในดินแดนนี้มากมายขึ้น ปกติน่ะพวกพวนอพยพเข้ามาเป็นกลุ่มเล็กกลุ่มน้อยนะครับ

ละแวกย่านบ้านผมนี่มีแยะเชียว ทั้งบ้านหมี่, ทับ คล้อ, ทุ่งโพธิ์, วังหลุม...

ใครว่าจังหวัดมีชื่อมากมาย บ้านหมี่แม้จะเป็นอำเภอก็ไม่น้อยหน้า ตอนแรกๆ เรียกว่าสนามแจง ต่อมาเปลี่ยนเป็นห้วยแก้ว ล่าสุดคือชื่ออำเภอบ้านหมี่เมื่อปี 2482 มาจนถึงทุกวันนี้

เคยได้ยินมาว่าภาคอีสานกับภาคใต้เขามีประเพณีทำบุญทุกเดือน ภาคกลางหรืออำเภอบ้านหมี่ก็ไม่น้อย หน้าใครนะครับ

เดือนอ้ายบุญข้าวจี่, เดือนยี่บุญข้าวหลาม, เดือนสามกำฟ้า, เดือนห้าบุญสงกรานต์, เดือนหกบุญกลางบ้าน, เดือนแปดบุญเข้าพรรษา, เดือนเก้าบุญห่อข้าวสารทพวน, เดินสิบเอ็ดตักบาตรเทโว, เดือนสิบสองใส่กระจาดเทศน์มหาชาติ...ทั้งได้บุญ ทั้งสนุกสนานกันเต็มอิ่มเลยเชียว

ชาวพวนนับถือศาสนาพุทธ และนับถือผีปู่ตากับผีบรรพบุรุษ โดยจะแยกหิ้งพระไว้คนละส่วน ในหมู่บ้านก็มีศาลผีปู่ตาทุกแห่ง นิยมสร้างไว้ตามเนินสูง เช่นตามโคกหรือจอมปลวกใหญ่ๆ สะดุดตา บางแห่งเรียกว่า "หอบ้านก็มี"

ที่บ้านหินปัก ใกล้ๆ โพนทองบ้านผม เขาจะมีพิธีกรรมเลี้ยงผีกันทุกปี ผมเคยตามพ่อไปเยี่ยมญาติเคยเห็นหมอผีวัยชรา หรือผู้ทำพิธี เรียกว่า "เจ้าจ้ำ" มานำชาวบ้านทำพิธีกรรมต่างๆ

เชื่อว่าถ้า "เซ่นไหว้ดี-ทำพลีถูกต้อง" ผีปู่ตาจะคุ้ม ครองให้อยู่เย็นเป็นสุข...การจุดธูปเทียนและเซ่นไหว้ทำให้เด็กๆ อย่างผมขนลุกก็แล้วกันครับ

ไหนจะมีพิธีกรรม "เลี้ยงผี" อีกล่ะ!

นั่นคือการทำบุญสารทหรือเทศกาลทำบุญสิ้นเดือนสิบ เป็นประเพณีกลางปี...วันดีคืนดีก็เกิดเรื่องขนหัวลุกขึ้นจนได้

เทศกาลของชาวพวนจะตรงกับวันแรม 14 ค่ำ เดือน 9 ส่วนสารทลาวถือเอาวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 10 แต่สารทไทยช้ากว่าเพื่อน คือวันแรม 15 ค่ำ เดือน 10

พวกเราจะไปทำบุญกันที่วัดใกล้บ้าน โดยมีการทำ "ข้าวสารท" หรือ "ข้าวพญาสารท" ที่คนไทยเรียก "ข้าวกระยาสารท" นั่นแหละครับ (กินกับกล้วยไข่ถูกกันที่สุด)

หลังจากถวายภัตตาหารพระสงฆ์ ฟังเทศน์แล้ว พวกเราชาวบ้านไม่ว่าหนุ่มสาวเฒ่าแก่ก็ล้อมวงกินอาหารกันอย่างเอร็ดอร่อย พูดคุยยั่วเย้ากันอย่างมีความสุข

มาเกิดเรื่องขนหัวลุกก็เมื่อถึงทำพิธีเลี้ยงผีนี่เอง!

นั่นคือ เมื่อคนกินอิ่มหนำสำราญแล้ว ก็ต้องเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ไปถึงภูตผีปีศาจ รวมทั้งสัมภเวสี ผีเร่ร่อนให้ได้รับส่วนบุญด้วย

พวกเรานิยมทำเป็นประเพณีห่อข้าว อาหารคาวหวาน อีกทั้งหมากพลู บุหรี่ จะขาดก็แต่สุราเท่านั้นแหละ ห่อด้วยใบตองเป็นรูปสี่เหลี่ยม แล้วนำไปวางตรงทางสามแพร่ง เพราะเชื่อกันว่า เป็นทางผีผ่าน...ไม่ว่าจะรู้ทีรอท่าหรือผ่านมาก็จะได้อิ่มท้องเสียที!

อ้อ! บางคนเชื่อว่าผีจะมาด้อมๆ มองๆ อยู่ข้างโบสถ์ เลยเอาห่ออาหารไปวางไว้ที่นั่น

คิดแล้วไม่ว่าไทยหรือพวนก็เชื่อเรื่องทางสามแพร่งตรงกัน คือเชื่อว่าเป็นทำเลอัปมงคลสิ่งชั่วร้ายหรือภูตผีจะมาสิงสู่อยู่กันที่นั่นแหละ ถึงได้หลีกเลี่ยงการปลูกบ้านในทำเลเช่นนั้น ยกเว้นแต่จะจนปัญญาจริงๆ เพราะหาที่ทางไม่ได้แล้ว เช่นในกรุงเทพฯ ปัจจุบันนี้เป็นต้น

ที่เชื่อตรงกันอีกอย่างก็คือ ภูตผีย่อมมีความหิวโหยเหมือนผู้คนทั้งหลาย จึงได้มีการเอาอาหารเซ่นผีตั้งแต่ยังไม่ได้เผา หลังจากนั้นก็ยังทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้ผี รวมทั้งผีไม่มีญาติอีกด้วย

วันนั้น พวกผู้ใหญ่เขาจัดการแจกข้าวให้ผีแล้วก็ พากันกลับ น้องชายผมอายุราว 7-8 ขวบ เดินไปพลางหันไปมองข้างหลังบ่อยๆ จนแม่ถามว่ามองอะไรหรือ? คำตอบเล่นเอาเราหยุดกึกไปตามๆ กัน

"ใครไม่รู้ มาแย่งกันกินข้าวห่อกันใหญ่เลย..."

น้องชายผมไม่ได้พูดเฉยๆ แต่ชี้มือให้ดู ทุกคนหันขวับไปมอง นอกจากเสียงลมพัดคร่ำครวญ เมฆหนาบดบังแสงแดดจนร่มครึ้มแล้ว เราก็ไม่เห็นอะไรเลย...แต่ทำไมขนหัวลุกก็ไม่รู้ซีครับ!

ขอบคุณ แหล่งที่มาหนังสือพิมพ์ ข่าวสด

วันพุธที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

ผี เรื่องผี เรื่องเล่าสยองขวัญ โรงแรมผีสิง

ไชยา เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากโรงแรมผีสิง

ผมเป็นคนเชียงรายโดยกำเนิด สมัยหนุ่มใช้ชีวิตร่อนเร่ไปตามอำเภอใจ จนมาปักหลักทำงานในอู่ซ่อมรถยนต์ที่นครสวรรค์ มีเวลาว่างก็ขึ้นรถไฟล่องมากรุง เทพฯ บ้าง ขึ้นเหนือไปจนถึงเชียงใหม่บ้าง แล้วต่อรถยนต์ไปเชียงรายอีกที

เพราะนิสัยชอบขึ้นรถไฟจับกระดูก นั่งฟังเสียงล้อบดรางกระหึ่มพลางชมวิวจากทางหน้าต่างแล้วมีความสุขอย่างบอกไม่ถูก

ถ้ามีเวลาน้อยก็จะเดินทางไปใกล้ๆ เช่น ที่พิจิตร หรือพิษณุโลก บางครั้งหน้าเทศกาลผู้คนแทบจะล้นรถ ผมต้องยืนเกาะบันไดบ้าง ขึ้นหลังคาบ้าง...ชีวิตชายโสดไม่ต้องห่วงหน้าพะวงหลัง ทำให้ใช้ชีวิตโลดโผนได้เต็มที่ แสวงหาความตื่นเต้นได้สุดๆ

จนกระทั่งไปเจอะเจอเรื่องสุดหลอนเข้าที่เมืองสองแควเต็มรักเต็มใคร่!

ช่วงนั้นอยู่ในฤดูหนาวพอดี อากาศเย็นสบายไม่เหนอะหนะเนื้อตัวแบบฤดูร้อน เหมาะเจาะกับการท่องเที่ยว ผมจับรถกรุงเทพฯ-พิษณุโลก ไปถึงปลายทางในตอนเย็น เข้าพักโรงแรมเล็กๆ หลังสถานีรถไฟนั่นเอง

ใจจริงอยากนั่งรถไฟเล่นมากกว่า พอเปิดห้องที่ชั้นสองอาบน้ำอาบท่าเสร็จก็ลงมาเดินเตร็ดเตร่แถวๆ นั้นแหละ ตกค่ำก็กลับไปแวะชั้นล่างของโรงแรมที่มีสุราอาหารพร้อมสรรพ...สั่งเหล้า โซดา กับแกล้ม 2-3 อย่างมานั่งละเลียด พลางมองดูความเคลื่อนไหวที่แปลกหูแปลกตาไปด้วย

แต่ที่สะดุดตาพวกผู้ชาย ไม่ว่าหนุ่มน้อยหรือหนุ่มใหญ่ ก็คือผีเสื้อราตรีเริ่มโบยบินออกมาล่าเหยื่อหนาตาขึ้นทุกที!

ไม่ใช่ว่าผมไม่เคยสัมผัสเสียที่ไหน สมัยนั้น 20-30 บาทก็ถือว่าใช้การได้แล้วครับ แต่งหน้าทาปากฉูดฉาดอยู่ในแสงไฟ อกพุ่ง ตะโพกผึ่งผาย นัยน์ตาหยาดเยิ้มยั่วยวน ก็มักจะทำให้ผู้ชายที่กำลังมึนๆ มองเห็นพวกเธอเป็นนางฟ้าจำแลงได้ง่ายดาย

หน้าโรงแรมก็มีเดินสูบบุหรี่เตร่ไปมา บางคนก็นั่งไขว่ห้างโชว์ขาอ่อนอยู่ที่โต๊ะใกล้ๆ บางคนก็โฉบเข้ามาขอบุหรี่ ชักชวนขึ้นไปบนห้อง ครั้นผมส่ายหน้าเธอก็หลิ่วตายั่วเย้า...นอนคนเดียวไม่กลัวผีเหรอพี่?!

ผมส่ายหน้ายิ้มๆ ไม่อยากคุยว่า...เกิดมายังไม่เจอะผีซักที!

ตอนดื่มดวดสุราเพลินๆ นี่ทำไมเวลาถึงผ่านไปเร็วนักก็ไม่รู้...แผล็บเดียวสามทุ่มกว่าแล้ว ผมสั่งเส้นใหญ่ผัดซีอิ๊วมากินให้หนักท้อง ตั้งใจว่ารุ่งเช้าจะไปไหว้หลวงพ่อพระพุทธชินราช ที่วัดใหญ่เป็นสิริมงคล ต่อจากนั้นจะเดินเที่ยวชมเมืองก่อนจับรถไฟกลับบ้าน

ราวสี่ทุ่ม ผมจ่ายเงินแล้วเดินขึ้นบันไดช้าๆ ผ่านเคาน์เตอร์แล้วเลี้ยวขวาไปตามทางที่เปิดไฟไว้สลัวๆ บรรยากาศเยือกเย็นน่าวังเวงใจชอบกล ผมไม่อยากคิดอะไรมาก ควักกุญแจห้องมาเตรียมพร้อมที่จะไขประตูเข้าไปนอน

เสียงฝีเท้ากึงๆ ดังขึ้นข้างหลัง ผมหันขวับไปมองโดยไม่ได้ตั้งใจ แต่แล้วก็ต้องชะงักกึกเมื่อไม่เห็นใครเลย...เอ๊ะ! ยังไง? จะว่าหูแว่วก็ได้ยินชัดเจนนี่นา

หรือพิษเหล้าแบนใหญ่จะทำให้หูฝาดเฝื่อนไปเอง?

แต่เมื่อหันกลับจะเดินต่อไปก็ต้องชะงักอีกครั้ง...ขนลุกซ่าไปทั้งตัว?

นั่นคือ เด็กผู้ชายราว 10 ขวบกำลังจูงหมาดำตัวใหญ่เดินนำหน้าอยู่ไม่ไกลนัก ทั้งๆ ที่เมื่อพริบตาก่อนทางเดินหน้าห้องพักยังว่างเปล่าอยู่แท้ๆ พอดีเด็กเจ้ากรรมนั่นค่อยๆ หันหน้าเชื่องช้ามายิ้มให้...

คุณพระคุณเจ้าทรงโปรดด้วยเถิด! รอยยิ้มคล้ายแสยะดูร้ายกาจ โฉดชั่วน่าขนลุกขนพองพร้อมๆ กับเดินเหมือนลอยห่างออกไปทุกที

ผมเผ่นอ้าวเข้าไปไขกุญแจมือไม้สั่น ไขผิดไขถูก พิษเหล้าเหือดหายไปหมดสิ้น ก็พอดีมีเสียงกึงๆ อย่างตอนแรกดังขึ้นอีกจากหัวบันได ว่าจะไม่หันไปมองก็อดไม่ได้

นรกเป็นพยาน! เด็กอุบาทว์นั่นกำลังจูงหมาดำตัวมหึมา นัยน์ตาแดงจ้าราวเปลวไฟจ้องเขม็ง...ได้ยินเสียงหัวเราะแหบโหยสะท้านสะเทือนเข้าไปถึงหัวอกหัวใจ...ผมโถมเข้าผลักประตูโครม ใส่กลอนเสร็จก็เผ่นขึ้นเตียงอกสั่นขวัญหายแทบจะช็อกตายคาที่

"นอนคนเดียวไม่กลัวผีเหรอพี่?"

เสียงของโสเภณีนางนั้นดังแว่วขึ้นในความทรงจำ...อยากจะเก็บของเผ่นออกจากห้องก็ไม่กล้า กลัวจะเจอเด็กอุบาทว์กับหมานรกยืนรออยู่หน้าประตูน่ะซีครับ

รุ่งขึ้นไปกราบหลวงพ่อใหญ่ขอพรพระให้ช่วยคุ้มครองจากสิ่งชั่วร้ายต่างๆ นานา แล้วบึ่งกลับนครสวรรค์ทันที! บรื๋อออ...

ขอบคุณ แหล่งที่มาหนังสือพิมพ์ ข่าวสด

วันอังคารที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

ผี เรื่องผี เรื่องเล่าสยองขวัญ ดินแดนอาถรรพณ์

พีระ เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากดินแดนอาถรรพณ์

ผมได้พบกับเหตุการณ์แปลกประหลาด คือไม่ได้โดนผีหลอกซึ่งๆ หน้า แต่กลับหลุดเข้าไปในมิติเร้นลับ ซึ่งในโลกของเราเป็นเวลาสั้นๆ แต่ในมิติสยองนั้นเนิ่นนานไม่รู้จบสิ้น

สถานที่ดังกล่าวคือคาเฟ่ย่านสนามเป้านั่นเอง! ผมเป็นคนแถวประตูน้ำใกล้ถนนศรีอยุธยา เขาเรียกว่า ทุ่งมักกะสัน ซึ่งแต่เดิมเป็นทุ่งหญ้าทุ่งนา เช่นทุ่งมหาเมฆ หรือทุ่งพญาไท เป็นต้น

ถัดไปทางสนามเป้าเป็นกรมทหารทั้งนั้น ผู้ใหญ่ท่านบอกว่าต้นทางพหลโยธินจากสนามเป้าไปถึงทุ่งนาสะพานควาย เลยวัดไผ่ตันไปจนถึงลาดพร้าว…เป็นป่าช้าเก่าครับ!

เมื่อราว 20 กว่าปีก่อน ผมกำลังเป็นหนุ่มเต็มตัวน่ะ ไม่มีวี่แววหรือร่องรอยของป่าช้าไม่ว่าเก่าหรือใหม่อีกแล้ว เพราะความเจริญทำให้ตึกรามบ้านช่องผุดสะพรั่งไปหมด รถราและผู้คนคึกคักจนไม่มีอะไรน่ากลัวอีกต่อไป

สะพานควายกลายเป็นศูนย์กลางของกรุงเทพฯ ทางทิศเหนือ บรรยากาศคึกคัก สนุกสนาน มีทั้ง โรงหนัง โรงพักและโรงแรมชั้นหนึ่งกับม่านรูด ผุดสะพรั่งเป็นดอกเห็ด

สถานบันเทิงเพียบ คาเฟ่ได้รับความนิยมมาก ผุดขึ้นแถวๆ สี่แยกเกือบ 10 แห่ง ไหนจะขยายออกไปรอบด้าน ไม่ว่าทางสุทธิสาร, ประดิพัทธ์ ย้อนมาทางสนามเป้าก็มีทั้งสองฝั่งถนน เลยห้างเมอรี่คิงส์ไปทางวัดไผ่ตันก็มีทั้งคาเฟ่และโรงแรมม่านรูด

ผมกับเพื่อนๆ เที่ยวคาเฟ่ย่านสะพานควายหมดทุกแห่งก็ชักเบื่อ เลยลองแวะย่านสนามเป้าบ้าง มีคาเฟ่แห่งหนึ่งไปได้ไม่กี่ครั้งก็ติดใจ ทั้งเปิดใหม่ ทั้งกว้างขวางเหลือเชื่อ แถมใกล้บ้าน…นักร้องเอ๊าะๆ เพียบ!

คาเฟ่ที่นั่นตั้งกลางแจ้ง เวทีหันหลังให้ถนนที่มีรั้วกั้น แขกเต็มเกือบทุกโต๊ะ ใครไม่อยากตากน้ำค้างก็เข้าไปนั่งที่โต๊ะใต้ชายคาเหยียดยาวไปตามแนวกำแพง ด้านหลังยังมีต้นไม้ใหญ่ๆ ร่มครึ้ม แสงไฟส่องสลัว แต่ก็มีแขกเดินผ่านไปมาบ่อยครั้งเพราะด้านในเป็นห้องสุขา

คืนนั้นผมไปกับเพื่อนชื่อเอนก กับชาติ ปกติจะไปนั่งโต๊ะใต้ชายคา มองนักร้องบนเวทีในมุมเฉียง ติดมาลัยน้ำใจให้คนไหนเมื่อร้องเพลงจบรอบเธอก็จะลงมาพูดคุยด้วย ถ้าถูกชะตาก็สั่งดริงก์ให้เธอ…ส่วนมากจะสนุกกันไปจนถึงตี 2 ตี 3

แต่คืนนั้นเราไปช้าแถมตรงกับวันศุกร์ เหลือโต๊ะว่างใต้ร่มไม้เกือบหลังสุด แต่ก็ไร้ปัญหา…เสียงดนตรีดังกระหึ่ม นักร้องส่ายอกสะบัดสะโพกโชว์ขาอ่อนอาบแสงไฟ ร้องเพลงลูกทุ่งด้วยลีลา “ยั่วไอ้เข้” เสียงเฮ้วๆ เร้าใจไม่หยุดหย่อน ท่ามกลางอากาศเยือกเย็นของฤดูหนาว

ดนตรีหยุดพัก ดาวตลกก็ยกวงขึ้นไปเล่นมุขจี้เส้นแขก เรียกเสียงฮาครืนๆ ดังลั่น ราวตีหนึ่งเศษ ตลกลงจากเวที นักร้องสาวขึ้นไปแทนที่ ผมลุกจากโต๊ะเพื่อไปเข้าห้องน้ำ…ไม่รู้ว่าสะดุดอะไรหรือขาพันกัน ผมถลาลงไปบนพื้นหญ้า…เหมือนไฟดับวูบทันที!

ลืมตาขึ้นมาก็ยังได้ยินเสียงเพลงกึกก้องอยู่ในหู แต่เพิ่งเคยเห็นใครกลุ่มใหญ่มานั่งบนพื้นอยู่ใกล้ๆ มีทั้งผู้หญิงและผู้ชาย ทั้งหนุ่มสาวและคนชรา…ผู้ชายนุ่งกางเกงขาก๊วย คนแก่นุ่งโสร่งตัวเดียว ผู้หญิงนุ่งผ้าถุงสวมเสื้อแขนกระบอก บางคนมีอายุหน่อยก็ใช้ผ้าแถบคาดอก

เด็กๆ อายุราวสิบขวบก็มี ทั้งไว้จุก ไว้แกละ และไว้โก๊ะ นุ่งผ้าสีดำๆ นั่งเบียดกับผู้ใหญ่…ทุกคนจ้องมองไปที่เวทีสว่างไสว วูบวาบด้วยสีสันน่าตื่นเต้น โดยไม่มีใครแยแสหรือสนใจผมเลยแม้แต่คนเดียว!

ผมมองตามสายตาคนพวกนั้นไปอีกครั้ง… นักร้องสาวสวยในชุดแดง โชว์เนินอกขาวแอร่ม กำลังสั่นกระเพื่อมตามท่าเต้นจนแทบหลุดผลัวะออกมาทั้งสองเต้า กระโปรงสั้นเต่อวดท่อนขาขาวอล่างในแสงไฟ สะโพกกลมกลึงผึ่งผายบิดส่ายไม่หยุดหย่อน

หันมามองผู้คนกลุ่มนั้นอย่างงุนงง…เห็นผู้ชายอ้าปากค้าง เบิกตาโพลงแทบจะทะลักออกมานอกเบ้า คนชราหัวเราะชอบใจจนเหงือกแดง พวกผู้หญิงมีสีหน้าตื่นตระหนก บางคนก็กอดเด็กเอาไว้ หนุ่มๆ ชี้ไม้ชี้มือไปที่เวที ตบไหล่เพื่อนพลางพูดจาปนหัวเราะ แต่ผมไม่ยักได้ยินเสียง

“เฮ้ย! เป็นอะไรไปวะ?” เสียงนั้นทำให้ผมหันขวับไปมอง…เจ้าเหนกนั่นเองที่ตามมาดูแล้วดึงแขนผมขึ้นมา มันว่าเห็นผมล้มพอดีเลยรีบลุกมาช่วยนี่แหละ! ผมหันไปทางคนแปลกๆ กลุ่มใหญ่ที่นั่งอยู่ใกล้กันหยกๆ ปรากฏว่าที่นั่นมีแต่ความว่างเปล่า…

ไม่มีหนุ่ม คนชราและเด็กๆ ที่ชะเง้อมองไปทางเวทีด้วยความตื่นตาตื่นใจ และตื่นเต้นแตกต่างกันไป… เมื่อกลับมานั่งโต๊ะตามเดิม ผมถึงได้แน่ใจว่าคนแปลกหน้าเหล่านั้นคงจ้องมองนักร้องคาเฟ่ด้วยความตื่นตะลึงอยู่ใกล้ๆ ผมนี่เอง…เพียงแต่พวกเขาอยู่ในดินแดนของสนธยา

ขอบคุณ แหล่งที่มาหนังสือพิมพ์ รักดารา

วันจันทร์ที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

ผี เรื่องผี เรื่องเล่าสยองขวัญ วิญญาณแม่ ห่วงลูก

เฟิน เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากวิญญาณแม่

เรื่องผีๆ สางๆ หรือวิญญาณจะมีจริงหรือไม่ หนูเคยสงสัยมาตั้งนานแล้วค่ะเพราะเกิดมายังไม่เคยโดนผีหลอกซักครั้งเดียว แต่แล้วในที่สุดหนูก็ได้คำตอบ อันแสนจะน่าอกสั่นขวัญหาย จนหนูคิดว่าตัวเองคงขาดใจตายไปแล้วน่ะซีคะ

บ้านเกิดเมืองนอนที่หนูอาศัยมาจนทุกวันนี้ก็คือพิษณุโลก หรือเมืองสองแควแต่เดิม มีหลวงพ่อพระพุทธชินราชเป็นมิ่งขวัญของพวกเราและคนไทยทั้งชาติค่ะ

สาเหตุของเรื่องน่าขนหัวลุกเกิดขึ้นที่บ้านติดๆ กันนั่นเอง!

คุณนายแฉล้มเป็นม่ายมาเกือบสิบปี มีลูกชายกับ ลูกสะใภ้ชื่อพิชัยกับนัยนา เพิ่งจะมีหลานย่าคนแรกเป็นผู้หญิงน่ารักมากๆ ผิวขาว ผมหยิก แก้มยุ้ย ชื่อน้องอุ้ย อายุราวขวบเศษ พ่อแม่รักเหมือนดวงตาดวงใจ ส่วนคุณยายแฉล้มน่ะถึงกับหลงหลานสาว ไม่ยอมให้ใครคว้าไปอุ้มเล่นง่ายๆ หรอกค่ะ ยกเว้นหนูเป็นแม่ที่สนิทสนมกันมานานแล้ว

เรื่องเศร้าเกิดขึ้นเมื่อตอนสงกรานต์ที่ผ่านมาเมื่อปีก่อนนี่เองค่ะ...

หนูลืมเล่าไปว่าพี่นัยนาเป็นคนเชียงราย มาเป็นข้าราชการที่นี่และได้พบรักกับพี่พิชัยที่เมืองสองแคว จนกระทั่งแต่งงานอยู่กินด้วยกันและมีน้องอุ้ยผู้แสนจะน่ารักคนนี้

พี่นัยนามักชวนสามีไปรดน้ำดำหัวพ่อแม่และญาติผู้ใหญ่ที่เชียงรายทุกปี ไม่นับยามมีโอกาสอื่นๆ ที่วันหยุดยาวอีกด้วย มาระยะหลังนี่แหละที่ไม่ได้ไปเพราะห่วงน้องอุ้ย พ่อแม่และญาติๆ ของเธอก็ลงมาเยี่ยม แหม! เห่อหลานไม่แพ้กันหรอกค่ะ

เคยออกปากทีเล่นทีจริงว่าจะขอน้องอุ้ยไปเลี้ยงให้ที่โน่น แต่คุณยายแฉล้มรีบขวางทันที พ่อแม่น้องอุ้ย ก็ไม่ยอม รับปากว่าอีกหน่อยโตกว่านี้จะพาขึ้นไป เยี่ยมบ่อยๆ

มาปีนี้เห็นว่าลูกหย่านมแล้วก็เลยขอไปกับสามีเพื่อเยี่ยมพ่อแม่อย่างที่เคยทำมาแบบปีก่อนๆ บอกว่าไปค้างคืนเดียวก็จะรีบกลับเพราะคิดถึงน้องอุ้ยเหมือนกัน ระยะทางก็ไม่ถึงกับไกลเกินไป

พี่นัยนาคงห่วงลูกจริงๆ เพราะถึงกับมาฝากฝังกับแม่หนูให้ช่วยดูแลลูกอีกคน...ขนาดซื้อข้าวมันไก่ตอนจากร้านพังกี่มาฝากบ้านเรา เพราะรู้ว่าแม่ชอบกินเป็นพิเศษ

ที่หนูว่าเป็นเรื่องเศร้าก็เพราะสองผัวเมียเกิดอุบัติเหตุรถชนกันตอนบึ่งกลับใกล้จะถึงบ้านอยู่แล้ว พี่นัยนาตายคาที่ พี่พิชัยบาดเจ็บสาหัส คุณยายแฉล้มรู้ข่าวก็กอดหลานร้องไห้ปิ่มว่าจะขาดใจ อุ้มน้องอุ้ยไปเยี่ยมลูกชายที่โรงพยาบาล

พ่อแม่พี่นัยนาก็มารับศพลูกสาวไปบำเพ็ญกุศลที่เชียงราย แม่พร่ำแต่ว่าทำใจไม่ได้ ส่วนพ่อบอกว่ามีโอกาสจะลงมาหาหลานอุ้ยที่นี่ให้ได้

เพื่อนบ้านก็ทยอยกันไปเยี่ยม พี่พิชัยยังมีสติกับเบลอเป็นพักๆ สลับกัน...คุณยายแฉล้มกลับมาเล่าหน้าซีดหน้าเซียวว่าลูกชายถามถึงเมียบ่อยๆ ว่าหายไปไหน? ต้องบอกไปว่านอนรักษาตัวอยู่ที่นี่ แต่พี่พิชัยกลับบอกว่าพี่นัยนาไม่ได้เป็นอะไรมาก เมื่อสักครู่ยังมาเยี่ยมถึงเตียงเขานี่นา!

หนูเองได้ยินแล้วยังขนหัวลุกซ่าไปทั้งตัวเลยค่ะ!

แม่สงสารคุณยายแฉล้มก็เข้าไปเป็นเพื่อนพูดคุยให้หายเหงา กลับมาเล่าว่าในบ้านนั้นเย็นยะเยือกชอบกล มองดูรูปถ่ายของพ่อแม่น้องอุ้ยก็เห็นพี่นัยนาน้ำตาไหล จ้องมองอย่างวิงวอนคล้ายจะเอ่ยปากฝากฝังให้ช่วยดูแลลูกน้อยของเธอตามที่เคยขอร้องเอาไว้

น้องอุ้ยหัวเราะเอิ๊กอ๊ากกับใครที่มองไม่เห็น สองมือไขว่คว้า ส่งเสียงอ้อๆ แอ้ๆ ประสาเด็กสอนพูด...แม่ มาแย้ว...แม่มาแย้ว! เล่นเอาแม่หนูเข่าอ่อน หูอื้อตาลายไปเลย

คืนหนึ่ง หนูก็ประสบกับภาพน่าสยดสยองพองขนโดยไม่นึกไม่ฝัน

คืนนั้นหนูเคลิ้มหลับไปไม่นานก็สะดุ้งตื่นเพราะเสียงหมาเห่าหอนไปทั้งซอยโดยเฉพาะแถวหน้าบ้าน กำลังจะพลิกตัวนอนต่อเพราะรู้สึกหวาดๆ ก็พอดีได้กลิ่นหอมกรุ่นที่คุ้นเคย...หันขวับไปทางประตูโดยไม่ตั้งใจ

คุณพระช่วยในแสงเลือนรางจากโคนถนน หนูเห็น พี่นัยนายืนสะอึกสะอื้นอยู่ข้างเตียง มีเสียงวู่หวิวดัง ออกมาว่า...เฟินจ๋า...พี่ฝากลูกด้วย ช่วยดูแลน้องอุ้ยให้พี่ด้วยนะ...

แทบจะช็อกคาที่ หัวใจคล้ายจะหยุดเต้นไปชั่วขณะ เย็นยะเยือกไปทั้งแผ่นหลังราวกับถูกนาบด้วยก้อนน้ำแข็ง

น้ำตาหนูไหลพรากอาบหน้า เนื้อตัวแข็งทื่อเหมือนกลายเป็นหิน ได้แต่นึกอยู่ว่า...ค่ะๆ หนูรับปาก...หนูกลัวแล้ว! ร่างของพี่นัยนาจึงค่อยๆ เลือนรางจางหายไป ท่ามกลางเสียงหมาเห่าหอนโหยหวนไม่หยุดหย่อน...

นึกถึงแล้วยังขนหัวลุกมาถึงทุกวันนี้เลยค่ะ

ขอบคุณ แหล่งที่มาหนังสือพิมพ์ ข่าวสด


วันเสาร์ที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

ขุดจอมปลวก จนของเข้าตัว กระโจนขึ้นต้นไม้

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า (16 พ.ค.) สภ.ลำปาง รับแจ้งเหตุมีคนคลุ้มคลั่งปีนขึ้นไปอยู่บนต้นไม้ ภายในวัดพระธาตุกู่สี่ขันธ์ ต.ปงแสนทอง อ.เมือง

ที่เกิดเหตุพบชายคนหนึ่งมีอาการคลุ้มคลั่งส่งเสียงดังเอะอะโวยวาย อยู่บนต้นไม้สูง 5 เมตร ทราบชื่อ นายเก่ง (นามสมมุติ) อายุ 15 ปี

ซึ่งเจ้าหน้าที่พยายามเรียกให้ลงจากต้นไม้ แต่กลับได้ยินเสียงลมหายใจที่รุนแรงดังขึ้นหลายครั้ง รวมทั้งนิ้วทั้งสองข้างที่แข็งแกร่ง

ก่อนที่เจ้าตัวจะโหนต้นไม้จากกิ่งหนึ่งไปอีกกิ่งหนึ่งอย่างรวดเร็ว โดยชาวบ้านระบุว่ามีลักษณะคล้ายลิงลม กระทั่งผ่านไป 30 นาที ชาวบ้านจึงจุดธูปเพื่อขอขมาสิ่งศักดิ์สิทธิ์

 โดยหลังปักธูปครู่เดียว นายเก่งก็มีอาการดีขึ้นทันตา และปีนลงมาจากต้นไม้ลงมาด้านล่าง แต่ยังมีอาการเอะอะโวยวายอยู่

 เจ้าหน้าที่จึงท่องคาถาตามความเชื่อและเอาเครื่องลางของขลังมากดที่ลำตัว จนในที่สุดนายเก่งจึงสงบลง

จากการสอบถามหลวงพ่อสุรินทร์ ปะสัณโน เจ้าอาวาสวัดพระธาตุกู่สี่ขันธ์ กล่าวว่า นายเก่งมาทำงานก่อสร้างภายในวัดตั้งแต่วันที่ 14 พ.ค.

 ก่อนเกิดเรื่องได้สั่งให้นายเก่งและเพื่อนคนงานอีกคนเข้าไปทำความสะอาดกู่เจดีย์เก่า หรือสถูปโบราณ ซึ่งมีอายุ 100 ปี

เนื่องจากมีปลวกมาทำรังจนกลายเป็นจอมปลวกขนาดใหญ่ ซึ่งต้องการให้เอาจอมปลวกออกไป แต่เนื่องจากเพื่อนคนงานติดธุระนายเก่งจึงเข้าไปทำความสะอาดคนเดียว

สักพักเจ้าตัวก็ตะโกนลั่นออกมาพร้อมเอะอะโวยวายฟังไม่ได้ศัพท์ ก่อนจะกระโจนขึ้นต้นไม้อย่างรวดเร็ว ซึ่งชาวบ้านที่พบเห็นต่างลงความเห็นกันว่า

นายเก่งน่าจะไปลบหลู่สิ่งศักดิ์สิทธิ์และพยายามขุดจอมปลวกเลยเกิดอาการเหมือนของเข้าดังกล่าว

นำเสนอข่าวโดยทีมงาน Sanook.com

ผี เรื่องผี เรื่องเล่าสยองขวัญ ประสบการณ์ขนหัวลุก จากแม่น้ำโขง


สายทิพย์ เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากแม่น้ำโขง

คิดว่าท่านผู้อ่านส่วนใหญ่คงจะเคยได้ยินเรื่อง "บั้งไฟพญานาค" หรือพญานาคในแม่น้ำโขงมาพอสมควรแล้วนะคะ ดูเหมือนว่าจะมีที่จังหวัดหนองคายแห่งเดียวเท่านั้น ถ้ามีที่จังหวัดอื่นๆ ก็ต้องขออภัยด้วยค่ะ

ลูกไฟที่โผล่จากแม่น้ำโขงตอนค่ำๆ เหมือนมีใครจุดพลุพุ่งวาบขึ้นไปบนท้องฟ้า ทีละลูกสองลูก รวมแล้วก็หลายสิบลูกนั่นแหละค่ะ ที่เรียกกันว่าบั้งไฟพญานาค

ที่น่าแปลกประหลาดสุดๆ ก็คือ บั้งไฟพญานาคจะเกิดขึ้นในวันออกพรรษาเท่านั้น...เชื่อกันว่าพญานาคสำแดงอิทธิฤทธิ์เพื่อเป็นการร่วมทำบุญกับพุทธศาสนิกชนนั่นเอง!

เคยมีผู้กังขาทั้งไทยและเทศว่าคงไม่ใช่เรื่องลี้ลับหรือมหัศจรรย์นอกเหนือธรรมชาติแต่คงจะมีใครอุตริไปจุดพลุอยู่ใต้น้ำแน่ๆ จนมีการส่งนักประดาน้ำลงไปสำรวจทั้งฝั่งไทยและลาวหลายครั้ง แต่ก็ไม่พบว่ามีใครแอบซุกซ่อนกระทำการที่ว่าแม้แต่คนเดียว

ในที่สุดก็โมเมว่าคงเป็นก๊าซบางชนิดที่ก่อตัวเป็นแสงเรืองๆ ตามป่าดงที่มีใบไม้ทับถมกันเป็นหญ้าเน่า รวมทั้งตามห้วยบึงต่างๆ ที่เราเชื่อว่าเป็นผีกระสือนั่นไงคะ!

แต่ก็หาคำอธิบายไม่ได้อยู่ดีว่า เหตุใดบั้งไฟพญานาคจึงปรากฏในวันออกพรรษาตรงเผงทุกปี?

ดิฉันคิดว่าตัวเองได้คำตอบเรื่องนี้เมื่อสงกรานต์ที่ผ่านมาหยกๆ นี่ล่ะค่ะ

ครอบครัวเราตัดสินใจหนีความวุ่นวายน่าปวดหัวในกรุงเทพฯ โดยซื้อทัวร์ไปเที่ยวรายการ "อีสานเลาะโขง" กับชัยทัวร์ ตั้งแต่วันที่ 10 ถึง 15 เมษายน มีกำหนดการไปสู่เพชรบูรณ์ ด่านซ้าย และเชียงคาน จังหวัดเลย เลียบเลาะลำน้ำโขงเรื่อยไปถึงอำเภอปากชม อำเภอสังคม เข้าสู่อำเภอศรีเชียงใหม่ หนองคายแล้ววกไปนครพนม มุกดาหารและอุบลราชธานี ก่อนจะเดินทางกลับผ่านสุรินทร์และนครราชสีมา

วันที่ 11 เมษายน นั่นเองที่เราเข้าสู่อำเภอศรีเชียงใหม่ แวะชมวัดพัฒนาตัวอย่างอยู่ติดกับริมแม่น้ำโขง มีทัศนียภาพสวยงามมาก

นั่นคือวัดหินหมากเป้งอันมีชื่อเสียงเพราะเป็นวัดของท่านอาจารย์เทสก์ เทสรังสี หรือ "หลวงปู่เทสก์" ที่เราๆ ท่านๆ ย่อมจะรู้จักและเคยได้ยินชื่อเสียงท่านเป็นอย่างดี

เมื่อลงจากบันไดหินลงไปสู่ลานวัดก็คลายร้อน เพราะร่มรื่นด้วยกิ่งใบของต้นไม้น้อยใหญ่ มีพระกำลังกวาดใบไม้แห้งบ้าง รดน้ำต้นไม้บ้าง เมื่อเข้าไปนมัสการท่านก็ได้รับความรู้ที่น่าประหลาดใจ...วัดใหญ่โตแต่มีภิกษุอยู่เพียง 7 รูปเท่านั้นเอง

ลูกสาวดิฉันจูงมือพ่อแม่วิ่งเข้าไปในศาลาริมแม่น้ำ ลูกทัวร์คนอื่นๆ ก็กระจายกันไปถ่ายรูปบ้าง ไหว้พระบ้าง และมี 4-5 คนมาเกาะระเบียงมองดูลำน้ำเปี่ยมฝั่งผิดกับที่อื่นนับว่าน่าแปลกประหลาดเอาการ

เสียงใครพูดแจ้วๆ ว่ามีผึ้งหลวงมาทำรังใหญ่โตที่ต้นไม้ข้างหน้า ทำให้ทุกคนเงยหน้าขึ้นดูก็เห็นภาพนั้นจริงๆ พอดีอาจารย์ไสวผู้เป็นนักธรณีวิทยา อายุราว 70 เศษ หน้าตายิ้มแย้มแจ่มใสอารมณ์ดี ชี้ให้ดูฝั่งตรงข้าม เล่าว่าทางลาวเห็นวัดฝั่งเราใหญ่โตน่าเลื่อมใสก็เลยสร้างวัดขึ้นมาประชัน ถึงหน้าเทศกาลงานบุญก็ลงเรือข้ามฟากไปมาหาสู่กันเพื่อทำบุญแบบบ้านพี่เมืองน้อง

ขณะนั้นฟ้าครึ้มเหมือนฝนจะตก ลมพัดมาเย็นสบายจนทำให้ดิฉันนึกถึงงานสงกรานต์ที่จะเริ่มต้นพรุ่งนี้แล้ว...พอดีอาจารย์ไสวพูดถึงบั้งไฟพญานาคในแง่วิทยาศาสตร์ โดยอธิบายว่า ริมน้ำด้านนี้มีซอกซอยคดเคี้ยวอยู่มากมาย เมื่อถึงหน้าน้ำหลากแทบท่วมหัว ฝูงปลาน้อยใหญ่จึงเข้ามาหาอาหารกินเพลิดเพลินจนลืมตัว...

เมื่อน้ำลดจึงออกไม่ทัน ตกคลั่กจนแห้งตาย สะสมกันมากเข้ากลายเป็นก๊าซบิวเทนที่ติดไฟง่าย เมื่อถึงหน้าน้ำก็ทะลักทลายออกไป...

และนี่คำตอบว่าทำไมจึงเกิดบั้งไฟพญานาคขึ้นมา!

ทันใดนั้นเอง ลูกสาวดิฉันก็ตะโกนเรียกพ่อแม่จนหันไปมอง ก็เห็นแกชี้ไม้ชี้มือไปที่กลางแม่น้ำโขง ร้องเสียงลั่นๆ ว่า...งูยักษ์! ดูงูยักษ์ซีแม่ มีตั้งสองตัวแน่ะ!

ดิฉันอดยิ้มไม่ได้เมื่อนึกถึงความช่างคิดช่างฝันของเด็กๆ ที่ได้ยินได้ฟังหรือได้อ่าน นิทานก็จดจำจนเอาไปคิดว่าเป็นความจริง แต่เมื่อหันไปมองตามมือแกก็รู้สึกม่านตาพร่าพรายเต็มทีใจสั่นหวิวๆ เหมือนจะเป็นลม

คุณพระช่วย! สิ่งที่ปรากฏอยู่เกือบกลางลำน้ำโขงนั่น ไม่ใช่เพราะดิฉันตาฝาดไปเองอย่างแน่นอน

ท่ามกลางฟ้ามืดครึ้มก็ยังมองเห็นภาพงูยักษ์สองตัวพ่นน้ำคึกคะนองอย่างเลือนราง ได้แต่ครางว่า...พญานาคมีจริงหรือนี่? ขนหัวลุกจริงๆ ค่ะงานนี้!

ขอบคุณ แหล่งที่มาหนังสือพิมพ์ ข่าวสด

วันพฤหัสบดีที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

ผี เรื่องผี เรื่องเล่าสยองขวัญ ขนหัวลุกจากเด็กตกน้ำตาย

สายป่าน เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากเด็กตกน้ำตาย

เดือนเมษายนของทุกๆ ปีได้ข่าวว่ามีเด็กๆ ตายมากที่สุด ส่วนใหญ่คือตกน้ำตาย และอุบัติเหตุภายในบ้าน เช่น ถูกไฟดูด ตกจากที่สูง ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าสลดใจ มากๆ ค่ะ

สาเหตุมาจากช่วงปิดเทอม เด็กๆ อยู่กับบ้าน โดยที่พวกผู้ใหญ่ไม่มีเวลามาคอยดูแลแกทั้งวี่ทั้งวัน อย่างเพื่อนบ้านของดิฉันในย่านภาษีเจริญนี่ล่ะ พวกเขาหาเช้ากินค่ำ ยายทำขนม แม่ขายผัก พ่อขับแท็กซี่ ปิดเทอมทีก็จะทิ้งลูกๆ หลานๆ เป็นโขยงให้อยู่กันเอง

แม้ฐานะจะแตกต่างแต่พวกเราก็เข้ากันได้ดี เวลาคุณแม่ทำกับข้าวอร่อยๆ ก็มักจะแบ่งไปให้บ้านนั้นบ้าง ส่วนยายขาวก็จะตอบแทนโดยเอาขนมกล้วย ขนมตาลมาให้ที่บ้านดิฉัน

ยายขาวเป็นคนน่ารักค่ะ ขจี-ลูกสาวแกก็นิสัยดี ขยันขันแข็งจนน่าสงสาร แม้ขจีโชคดีที่ได้สามีเป็นคนทำมาหากิน แต่ชีวิตก็ไม่วายลำเค็ญ...แหม! ลูกเธอยังกับกระต่าย เบ่งออกมาตั้ง 5 คน

คนโตเป็นเด็กชายชื่อจ้อย คนสุดท้องคือแจ๊ก อายุแค่ 3 ขวบเศษ ยังไม่เข้าโรงเรียนเลย ปกติยายจะพาไปขายขนมที่ตลาดด้วยกัน แต่พอปิดเทอมพวกพี่ๆ เขาอยู่บ้าน แจ๊กน้อยก็อยู่กับเขาด้วย

ทุกเย็น เวลาดิฉันกลับบ้าน จะได้ยินเสียงเด็กๆ เล่นกัน คือมีเด็กๆ จากบ้านอื่นมาเล่นที่บ้านยายขาวเพราะมักได้กินขนม และบ้านยายขาวก็อยู่ติดริมคลอง มันน่าสนุกจะตาย เด็กๆ จะโดดน้ำกันเล่นตูมๆ ล้วนแต่ว่ายน้ำเก่งกันทั้งนั้น ยกเว้นแต่แจ๊กรูปหล่อ-ยอดดวงใจของ ยายขาว

แกเป็นเด็กน่ารักมาก ไม่ซนไม่โยเยเลย เจอดิฉันแต่ละทีก็จะเอานิ้วเข้าปาก ยิ้มเอียงอายรูปร่างหน้าตาและผิวพรรณก็ดียิ่งกว่าพวกพี่ๆ ทุกคน

บ่ายวันเสาร์ที่ดิฉันหยุดอยู่บ้าน กำลังเอาที่นอนหมอนมุ้งออกมาตากเพราะแดดแรงดี ก็พลันได้ยินเสียงจุ๋ม เด็กหญิงที่เป็นพี่สาวแจ๊กร้องเสียงลั่นว่า...แจ๊กหาย!!

เอาล่ะซิ...เด็กก็คือเด็ก พวกแกเล่นกันเพื่อนๆ ต่างคนต่างก็เพลิน จ้อยและโจอยู่ในกลุ่มผู้ชาย ส่วนจุ๋มกับจ้าก็เล่นอยู่อีกทาง...แจ๊กหายไปตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่มีใครรู้

ดิฉันกับสาวใช้ชะโงกข้ามรั้วไปดู จ้อยกับโจเข้ามามองหาแล้ววิ่งไปตามยายที่ตลาด

พวกเราหาแจ๊กกันวุ่นไปหมด ยายขาวตกใจมาก ไม่รู้ว่ามีคนมาลักขโมยหรือหลานตกน้ำตาย ตั้งแต่บ่ายจนพลบค่ำยังหาแจ๊กไม่เจอ เพื่อนบ้านช่วยกันดำน้ำงมหา ทว่าไม่มีวี่แววอะไรเลย

ดึกดื่น ผู้คนที่บ้านยายขาวไม่เป็นอันหลับอันนอน เพราะความทุกข์แสนทุกข์ค่ะ!

แสงไฟส่องไปตามลำน้ำด้วยความแน่ใจว่าแจ๊กคงจะจมน้ำตาย ไม่มีทางที่แจ๊กจะเดินไปไหนเองโดยเพื่อนบ้านไม่เห็น เพราะหน้าบ้านยายขาวมีร้านขายก๋วยเตี๋ยว ผู้คนก็ไม่ใช่น้อย บางคนนั่งกินไปคุยไป ถ้าแจ๊กออกจากประตูบ้าน ไม่ว่าจะมีใครอุ้มหรือเดินออกมาเอง คนเหล่านั้นก็ต้องเห็น

ตีสอง ดิฉันลุกเข้าห้องน้ำ เสียงยายขาวร้องไห้ และพร่ำบ่นว่าเป็นความผิดของแกเอง...น่าจะพาหลานไป ด้วยกัน!

ดิฉันมองจากหน้าต่างชั้นบนไปที่บ้านแก...อะไรนั่น? แจ๊กนั่งอยู่ข้างหลังยายขาวนี่นา! เออ...แล้วยายขาวร้องไห้ทำไม?

แจ๊กกลับมาแล้ว นั่งตาแป๋วเชียว ดิฉันอดโล่งใจไม่ได้ ยายขาวคงตกใจเสียขวัญมากถึงจะได้หลานกลับมาก็ยังผวากับเหตุการณ์น่าอกสั่นขวัญแขวนตลอดวันนั้นอยู่ ไม่รู้หาย

ขณะที่คิดเพลินๆ เด็กน้อยก็เงยหน้าขึ้นสบตากับดิฉัน แกยิ้มน้อยๆ และยกมือป้อมๆ ขึ้นโบกให้ ดิฉันเผลอโบกตอบ...เฮ้อ! โล่งอกซะที คืนนี้หลับสบาย พรุ่งนี้ค่อยไปแสดงความยินดีรับขวัญพวกเขาแล้วกัน

รุ่งเช้าดิฉันสะดุ้งตื่นเพราะเสียงร้องไห้โฮ ระงมดังลั่น...อะไรกันนี่? ดิฉันตะกายจากที่นอน ลุกตรงไปที่หน้าต่าง...และแล้วก็ได้เห็นภาพนั้นเต็มตา

นั่นคือ ชายคนหนึ่งกำลังอุ้มร่างแข็งทื่อของเด็กชายตัวกระจ้อยร่อยขึ้นมาจากน้ำ!

ภาพที่เห็นทำให้ดิฉันงงงัน สับสน เมื่อรีบแต่งตัวลงไปก็ได้ความว่า เมื่อคืนนี้ตอนดึกพวกเขาจุดธูปบอกเจ้าที่ หรือสิ่งใดก็ตามแต่ให้ได้ร่างของแจ๊กกลับมา เพราะแน่ใจว่าแกตกน้ำตาย

ถ้าอย่างนั้นก็แปลว่า แจ๊กที่ดิฉันเห็นเป็นวิญญาณ...ไม่ใช่คน!

ตั้งแต่นั้นมา ตลอดเวลาหลายเดือน ดิฉันกลัวแจ๊กสุดขีด เวลานอนต้องให้สาวใช้มาอยู่เป็นเพื่อน แต่เมื่อเวลาผ่านไปความกลัวก็เลือนรางจางหาย เหลือแต่ความเวทนา และเรื่องเล่าที่น่าพิศวงเป็นประสบการณ์ของตัวเอง

แจ๊กตายไป 6-7 ปีแล้ว ถ้าแกอยู่ป่านนี้คงจะมีอายุราว 10 ขวบ...ความตายของแกทำให้พ่อแม่บ้านอื่นๆ แถวนี้ดูแลลูกเต้าอย่างใกล้ชิดขึ้นอีกพะเรอ

ส่วนดิฉันน่ะคงจะไม่มีวันลืมสายตาที่จ้องมองขึ้นมา รอยยิ้มและมือน้อยๆ ที่โบกให้...นึกทีไรก็ขอให้แกไปสู่สุคติ แกเป็นวิญญาณบริสุทธิ์ ไม่น่ากลัว แต่ทำให้ขนหัวลุกเกรียวเชียวล่ะค่ะ!

ขอบคุณ แหล่งที่มาหนังสือพิมพ์ ข่าวสด

วันพุธที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

ผี เรื่องผี เรื่องเล่าสยองขวัญ วิญญาณเฮี้ยน ผีเด็กแมนชั่น

เรื่องราวสยองขวัญเผชิญวิญญาณที่จะเล่าต่อไปนี้เกิดขึ้นกับตัวดิฉันเอง ที่ดิฉันเจอ มันจะมาในลักษณะคล้ายกับโดนผีอำ แต่มัน น่ากลัวมาก ๆเหมือนจริง

 เรื่องราวนี้เกิดขึ้นกับดิฉันตอนเช่าแมนขั่นอยู่กับญาติ ๆ แมนชั่นแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นมาประมาณ 10 กว่า ปีแล้ว บรรยากาศภายใน เงียบ มากจนทำให้เข้ามาเดินแล้วรู้สึกขนลุกอย่างบอกไม่ถูก

มีอยู่วันหนึ่งขณะที่ดิฉันนอนหลับกลางวันอยู่บนเตียงนอน ดิฉันก็เห็นเด็กสองคนอายุประมาณ 4 ขวบ วิ่งเล่นกันอย่าง สนุกสนาน เสียงดังมากจนดิฉันรู้สึกหนวกหูอย่างมากเลยลุกขึ้นมาต่อว่าให้เด็กสองคนนั้นเงียบ ๆ หน่อย เด็กสองคนนั้นพอได้ยินดิฉันว่า ก็หยุด และหันมามองดิฉัน เป็น ตาเดียวกัน ท่าทางของเด็กสองคนไม่ค่อยพอใจดิฉันนัก

ตอนนั้นความรู้สึกของ ดิฉันมันคล้ายกับครึ่งหลับ ครึ่งตื่น ครึ่งจริงครึ่งไม่จริง จะลุกขึ้นก็ไม่มีแรง แล้วเด็กสองคนนั้นก็ฉุดรั้งแขนดิฉันให้ลุกออกมาจากเตียงนอนพร้อมกับพูดกับดิฉันว่า “เตียงของหนู … เตียงของหนู” แต่ดิฉันก็ไม่สนใจที่จะทำตามที่เด็กสองคนนั้นพูด

 แล้วเสี้ยววินาทีดิฉันก็ต้องเบิกตาสว่างทันที เพราะเด็กสองคนนั้นส่งเสียงดุดิฉัน พร้อมกับทำท่าทางใบหน้าขึงขังน่ากลัว นัยน์ตาทั้งสองคู่ของเด็ก สองคนนั้น จาก ปกติก็ค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นแดงก่ำเหมือนดวงไฟ แล้วก็แสยะยิ้มให้อย่างน่ากลัว เสียงเล็ก ๆ ของเด็กก็ค่อย ๆ เปลี่ยนกลายเป็นเสียงทุ้มฟังแล้วขนลุกขนพอง แล้วก็พูดขึ้นว่า “ลุกไป ! ลุกไป !”

ตอนนั้นดิฉันกลัวมากแต่ไม่มีเรี่ยวแรงส่งเสียงเรียกใครเลย แต่ดิฉันก็ไม่ละความพยายามที่จะส่งเสียงตะโกนเรียกคนให้มาช่วย เด็ก สองคนนั้นก็แสดงท่าทางหลอกดิฉันอย่างน่ากลัวดิฉันพยายามทั้งดิ้นทั้งร้อง ให้คนช่วย จนในที่สุดเฮือกสุดท้ายดิฉันก็ ตื่น ลุกขึ้น มา นั่งจนได้ หลังจากผ่านพ้นเหตุการณ์ครั้งนี้ไปแล้ว คิดว่าตัวเองคงจะโดนผีอำธรรมดา

 ต่อมาดิฉันก็มานอนที่เตียงนี้อีก แล้วก็เจอกับ เด็กสองคนท่าทางของเด็กน่ากลัวขึงขังตั้งแต่แรกเห็น ท่าทางไม่พอใจอย่างมากที่ดิฉันมานอนที่เตียงอีก เด็กสองคนเดินดิ่งเข้ามาหาดิฉันด้วยใบหน้าน่ากลัว ได้แต่แสยะยิ้ม ลูกนัยน์ตา เหลือกถลนจนปลิ้น ออกมานอกเบ้า

เท่านั้นยังไม่พอเด็กทั้งสองยังช่วยกันกดทับที่ไหล่พร้อมกับแลบลิ้นปลิ้นตาหลอกจนดิฉัน กลัว สุดขีด ส่งเสียงร้องให้คนช่วยจนเหนื่อย อ่อนไม่มีแรง แต่ก็ไม่มีใครได้ยินเสียงดิฉันสักคนแต่ดิฉันก็ไม่ละ ความ พยายามที่จะหลุดพ้นจากมิติลี้ลับที่กำลังเผชิญกับผีเด็กทั้งสองให้ได้ ดิฉันเลยตั้งจิตภาวนา พุทโธ พุทโธ พร้อมกับออกแรงยันตัวเพื่อ ลุกขึ้นนั่งในที่สุดดิฉันก็หลุดออกมา จากอีก มิติหนึ่งจนได้ ตั้งแต่นั้นมาดิฉันก็ไม่กล้านอนที่เตียงนี้อีกเลย

ขอบคุณ แหล่งที่มาหนังสือพิมพ์ รักดารา

วันจันทร์ที่ 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

ผี เรื่องผี เรื่องเล่าสยองขวัญ โรงแรมผีสิง

ญาดา เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากโรงแรมผีสิง

ดิฉันไม่ค่อยได้ไปเปิดหูเปิดตาที่ต่างจังหวัด นอกจากจะใช้ชีวิตอยู่ในกรุงเทพฯ ตั้งแต่เด็กๆ มาแล้ว สาเหตุสำคัญที่กล้ายอมรับอย่างไม่อายก็คือ...กลัวผีค่ะ!

คิดดูซิคะว่าถ้าไปเที่ยวต่างจังหวัดก็ต้องนอนโรงแรม ไม่ว่าจะไปกับญาติมิตรสนิทสนมแค่ไหนก็ต้องนอนโรงแรมวันยังค่ำ...ไม่ว่าจะโรงแรมชั้นหนึ่ง หรูหราขนาดไหนก็ตาม เมื่อนึกถึงสภาพต่างๆ แล้วขนลุกขนพองยังไงบอกไม่ถูก

ใครต่อใครล้วนแต่เคยมาอยู่ มาหลับนอน รวมทั้งกิจกรรมอะไรต่อมิอะไรอีกมากมาย และไม่ทราบว่าเคยมีเหตุการณ์ร้ายแรงเกิดขึ้นมาก่อนหรือไม่? รุนแรงน่ากลัวมากน้อยเพียงใด? นอกจากจะไม่สนิทใจแล้วยังรู้สึกผิดที่ผิดทางด้วยค่ะ!

เคยมีประสบการณ์มาก่อนเพราะไปเที่ยวต่างจังหวัดกับเพื่อนๆ นับครั้งได้ แต่ยังไม่เคยนอนคนเดียวสักครั้ง! อ้อ...ไม่คิดจะลองด้วยค่ะ ขนาดนั้นยังนอนไม่ค่อยหลับ

จนกระทั่งครั้งล่าสุด ดิฉันไปเที่ยวหัวหินกับสามีเมื่อปลายปีที่แล้วนี่เอง...

เราเพิ่งแต่งงานกันได้ไม่นาน ยอมรับว่ายังมีอารมณ์โรแมนติกตามประสาคนที่รักกัน...ไปไหนก็ไป ยิ่งเป็นสถานตากอากาศชายทะเลระดับคลาสสิค โดยเฉพาะไปกับคนที่เรารักด้วยแล้ว...เรื่องกลัวผีก็กลายเป็นเรื่องรองๆ ลงไปเลย

แต่คืนแรกเท่านั้นเอง ดิฉันก็เจอดีเข้าอย่างจัง!

เราได้ห้องพักของโรงแรมชายทะเล แม้ว่าจะค่อนข้างเก่าแต่ก็สะอาดสะอ้านมีต้นไม้ใหญ่น้อยร่มครึ้ม ครั้นเราลงไปเดินเล่นที่ชายหาดก็รู้สึกเพลิดเพลินกับเสียงคลื่นเสียงลม มองดูหนุ่มสาวเดินคลอคู่กันผาสุก เด็กๆ วิ่งเล่นไล่กัน และบ้างก็ขุดดินขุดทราย อยู่ใกล้ๆ คุณแม่ ส่วนคุณพ่อถ่ายวิดีโออย่างตั้งอกตั้งใจ

หลังจากออกไปหาอาหารที่ตลาด เราก็กลับมาพักผ่อนหลับนอน กะโปรแกรมที่จะไปเที่ยวน้ำตกป่าละอู ไม่ต้องกลัวภัยจากน้ำป่าเหมือนฤดูฝน...

สามีหลับสนิทอยู่เคียงข้าง ได้ยินเสียงหายใจดังสม่ำเสมอ ส่วนดิฉันหลับตาอยู่ในความมืดเพราะเราชอบดับไฟนอนตรงกัน...นึกแปลกใจว่าน่าจะหลับตั้งนานแล้วนะ แต่ทำไมถึงไม่รู้สึกง่วงนอนเสียเลย

นอกจากเสียงคลื่นเสียงลมที่ดังแว่วมา สรรพสิ่งก็เงียบเชียบจนแทบจะได้ยินเสียงเต้นของหัวใจ แอร์เย็นฉ่ำกำลังสบาย...พรุ่งนี้ไปเที่ยวน้ำตกป่าละอูแล้วจะไปไหนอีกนะ ตอนกลางวันกินอาหารร้านไหน? ห้องนี้เคยมีเหตุการณ์น่ากลัวเกิดขึ้นมาก่อนไหม?

อ้อ...มีผีหรือเปล่าหนอ?

ดิฉันรู้ว่าตัวเองกำลังคิดฟุ้งซ่าน พยายามข่มใจหลับเต็มที่ด้วยการนับหนึ่งถึงสิบซ้ำไปซ้ำมา...พอความคิดวอกแวกก็กลับมาเริ่มต้นใหม่หลายครั้ง...จนกระทั่งความรู้สึกเริ่มเคลิบเคลิ้มเข้าสู่ภวังค์...

เสียงหอบหายใจแรงๆ ดังขึ้นใกล้ๆ หูนี่เอง

สามีเหรอ...ไม่ใช่นะ! มันดังมาจากอีกด้านของเตียงข้างๆ ต่างหากล่ะ แต่มันว่างเปล่านี่นา! ดิฉันไม่แน่ใจว่าตัวเองฝันไปหรือเปล่า แต่จำได้ว่าค่อยๆ เบือนหน้าไปมอง

คุณพระช่วย! หญิงชายคู่หนึ่งกำลังกอดรัดกันเนบแน่น เรือนร่างเปลือยเปล่าเหมือนทารกแรกเกิดทั้งคู่ แม้ว่าจะมีเพียงแสงรางๆ ส่องผ่านม่านเข้ามา ก็ยังเห็นชัดว่าเขากับเธอกำลังปล่อยอารมณ์ให้โลดแล่นไปกับไฟเสน่หาไม่ยับยั้ง

วูบหนึ่ง ดิฉันชาไปทั้งตัว แขนขาแข็งทื่อหนักอึ้งราวท่อนเหล็กเมื่อเพิ่งนึกได้ว่า...หนุ่มสาวคู่นั้นเข้ามาแสดงความพิศวาสเผ็ดร้อนในห้องพักของเราได้ยังไงกัน?

เสียงหอบหายใจไม่หยุดหย่อน ดังขึ้น...ดังขึ้นประหนึ่งกลายเป็นเสียงกลองที่กำลังกระหน่ำอยู่ในทรวงอกดิฉัน เล่นเอาเหงื่อกาฬแตกซิก ปากคอแห้งผากไปหมด แม้ว่ายังขยับเขยื้อนเนื้อตัวไม่ได้เลย

นัยน์ตาเบิกค้าง ลืมโพลง อยากจะร้องเรียกสามีแต่ก็อ้าปากไม่ขึ้น เหงื่อหยดเผาะ กลั้นลมหายใจ กระเดือกน้ำลายลงคออย่างยากเย็น อยากหลับตา อยากร้องไห้ แต่เสียงหอบหายใจยิ่งดังขึ้นราวกับจะกระหึ่มไปทั้งห้อง...

เกือบพร้อมๆ กับที่หนุ่มสาวคู่นั้นหันขวับมามองดิฉันในพริบตา!

แก้วหูแทบจะลั่นเปรี๊ยะเพราะเสียงกรีดร้องของตัวเอง สามีลุกพรวดขึ้นนั่งเปิดไฟหัวเตียง ดิฉันร้องไห้โฮโผเข้ากอดเขา หลับตาชี้ไปที่เตียงนั้นแต่สามีบอกว่าไม่มีอะไร

ไม่มีน้ำตกป่าละอูหรือที่ไหนอีกแล้วค่ะ รุ่งขึ้นเราก็บึ่งกลับกรุงเทพฯ ทันที...ต่อไปนี้สาบานว่าจะไม่ยอมไปนอนโรงแรมไหนๆ อีกแล้ว ขนหัวลุกค่ะ!

ขอบคุณ แหล่งที่มาหนังสือพิมพ์ ข่าวสด

วันเสาร์ที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

ผี เรื่องผี เรื่องเล่าสยองขวัญ เปลอาถรรพณ์

ชมนาด เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากเปลอาถรรพณ์

เอ่ยถึงคลองบางระมาด ย่านตลิ่งชันเมื่อ 20-30 ปีก่อน แทบจะไม่มีใครรู้จักก็ได้ค่ะ แต่มาถึงสมัยนี้บ้านเมืองเจริญขึ้นผิดตา คลองลัดมะยมที่อยู่ใกล้ๆ กันก็ถึงกับติดตลาดนัดเสาร์อาทิตย์มีของกินของใช้ ไม้ประดับ รวมทั้งผลหมากรากไม้สดๆ จากสวนมาวางขายในสนนราคาย่อมเยา

ลูกค้าส่วนใหญ่ขับรถขับรามาจากต่างถิ่นกันทั้งนั้นแหละค่ะ

พวกผู้ใหญ่ท่านเล่าว่าชุมชนใหญ่อย่างวัดจำปา ตลิ่งชันนี่มีมาตั้งแต่สมัยอยุธยาแล้ว ถือว่าเป็นชุมชนใหญ่ จากวัดโพธิ์เดินไปทุ่งนากลางทุ่งจะเห็นเจดีย์ศรีประวัติ จังหวัดนนทบุรี หรือถ้าขึ้นต้นตาลก็จะมองเห็นภูเขาทองและสนามหลวงได้ชัดเจนทีเดียว

สมัยเด็กๆ ครอบครัวดิฉันก็อยู่ข้างคลองบางระมาดนั่นเอง ไหนจะใช้อาบกิน ทำสวนและอาศัยในการล่องเรือเดินทางเพราะไม่มีถนนตัดผ่านละลานตาเช่นทุกวันนี้

หน้าน้ำหลากพวกเด็กๆ จะสนุกสนานกับการเล่นน้ำจนตัวดำเป็นเหนี่ยง ดำผุดดำว่ายเล่นไล่จับ หมาเน่าลอยน้ำ แข่งกันดำอึดดำทน หรือไม่ก็ข้ามฟากไปถึงตลิ่งโน้นที่มีแต่พงอ้อกอหญ้ารกทึบ ที่ใต้ต้นหว้าริมตลิ่งมีเปลญวนทำด้วยผ้าขาวม้าเก่าๆ

ตอนบ่ายถึงเย็นมีเจ้าของคือน้าชื่นกับลูกชายวัย 2-3 ขวบชื่อน้องชัยมานั่งๆ นอนๆ ไกวเปลเล่นเป็นประจำ ทั้งรับลมเย็นๆ กับดูพวกเด็กๆ เล่นน้ำกันอย่างมีความสุข

น้องชัยเคยดิ้นรนจะไปดูพวกเราเล่นน้ำ ส่งเสียงหัวเราะร่าเริง ดังก้องไปในอากาศ...แต่แม่จะคว้าตัวขึ้นมาบนเปลจนได้

น้าชื่นใช้เชือกผูกโคนต้นไม้แล้วเหนี่ยวให้เปลแกว่งไกวตามใจชอบ พวกเด็กๆ อยากจะไปขอเล่นมั่งก็ไม่ได้ เพราะน้าชื่นกับลูกชายไม่ยอมลงจากเปลจนกว่าจะกลับ

เย็นหนึ่งก็เกิดเหตุร้ายขึ้น!

ขณะที่พวกเราเล่นแข่งว่ายน้ำข้ามฟากกัน เสียงตูม! ก็ดังมาเข้าหูแต่ไม่น่าสนใจเท่ากับเสียงร้องกรี๊ดสุดเสียง...พอหันขวับไปมองก็เห็นน้าชื่นกระโดดน้ำลงมาเรียกหาลูกชายที่กำลังผลุบๆ โผล่ๆ เล่นเอาพวกเราใจหายไปตามๆ กัน ร้องแต่ว่า...น้องชัยตกน้ำๆๆ

ร่างเล็กๆ นั่นทะลึ่งพรวดขึ้นมาหูตาเหลือกเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะจมหายไปต่อหน้าต่อตาของทุกคนที่จ้องมองตกตะลึง

พวกเรา 3-4 คนรีบว่ายเข้าไปหา น้าชื่นดำน้ำลงไปแล้วพลอยหายไปอีกคน ดิฉันใจเต้นตูมๆ ไม่รู้จะช่วยอะไรได้ ขณะนั้นเอง ชาวบ้านกลุ่มหนึ่งได้ยินเสียงร้องก็วิ่งเข้ามาดู บ้างรีบกระโดดน้ำลงมาช่วย...แต่ทุกสิ่งทุกอย่างก็สายเกินไป!

ต่างคนต่างงมหาสองแม่ลูกอยู่เกือบครึ่งชั่วโมง จึงได้พบศพของน้าชื่นกับน้องชัยจมอยู่ก้นคลอง...

น้าเอิบผู้สูญเสียลูกและเมียไปพร้อมๆ กัน บอกกับเพื่อนบ้านด้วยเสียงสะอื้นว่าไม่อาจจะทนอยู่ที่นั่นได้อีกต่อไป...หลังจากทำศพลูกเมียแล้วก็อพยพไปอยู่ที่อื่น

วิญญาณอันเจ็บปวดและทนทุกข์ทรมานของสองแม่ลูกก็กลับมา!

แม้ว่าจะไม่มีเจ้าของเปลญวนอีกต่อไป แต่ไม่มีใครกล้าไปนั่งๆ นอนๆ เล่นที่เปลนั้นเลย ได้แต่เมียงมองอย่างหวาดๆ บางครั้งก็ต้องสะดุ้งโหยง เมื่อเห็นเปลว่างเปล่านั้นแกว่งไกวไปมาช้าๆ ทั้งที่ไม่มีสายลมพัดมาเลยแม้แต่น้อยนิด

หนักเข้าก็ไม่มีใครกล้าเฉียดกรายไปใกล้เปลนั่นเลย เวลาจะลงน้ำก็กระเถิบห่างออกไป...มีเสียงเล่าลือว่ามีคนเห็นน้าชื่นกับน้องชัยนั่งตัวแข็งทื่ออยู่ในเปล เล่นเอาต้องวิ่งเตลิดเปิดเปิงไม่คิดชีวิตไปตามๆ กัน

จนกระทั่งวันหนึ่ง...วันที่จะติดตาตรึงใจพวกเราไปจนชั่วชีวิตสลาย!

วันนั้นราวห้าโมงเย็น เราลงไปเล่นน้ำกันอย่างสนุกสนานประสาเด็ก ลืมเรื่องผีๆ สางๆ ไปชั่วขณะ แต่เมื่อเวลาผ่านไปไม่นาน แสงแดดจางหายแต่แสงสว่างยังหลงเหลืออยู่ ใครบางคนกำลังแหงนหน้ามองขึ้นไปบนตลิ่งอันเป็นที่ตั้งของเปลญวน

สายตาทุกคู่มองไปเป็นตาเดียวกัน...คุณพระช่วย! น้าชื่นกับลูกชายกำลังนั่งอยู่ในเปลญวนที่แกว่งไกวไปมาช้าๆ ราวกับยังมีชีวิตอยู่

เสียงแผดร้องแสบแก้วหู พวกเราแตกฮือไปคนละทางสองทาง ต่างตะเกียกตะกายป่ายปีนขึ้นฝั่ง ครั้นหันไปเห็นภาพอุบาทว์นั้นก็ร้องวี้ดว้าย หล่นตูมลงน้ำไปอีก...กว่าจะขึ้นได้หมดก็ทุลักทุเลเต็มที บางคนร้องไห้โฮๆ เหมือนคนสติแตกไปแล้ว

ตั้งแต่นั้นมา เราไม่กล้าไปเล่นน้ำในคลองอีกเลย จนกระทั่งเปลผ้าขาวม้านั้นเปื่อยขาดไปตามกาลเวลา...

ชาวบ้านเชื่อกันว่าวิญญาณของสองแม่ลูกก็คงจะพลอยไปผุดไปเกิดแล้วล่ะค่ะ!

ขอบคุณ แหล่งที่มาหนังสือพิมพ์ ข่าวสด

วันศุกร์ที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

ผี เรื่องผี เรื่องเล่าสยองขวัญ ขนหัวลุกจากวงศ์สว่าง

สุชิน เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากวงศ์สว่าง

สมัยเด็กผมอยู่แถววงศ์สว่างใกล้ๆ อู่รถเมล์ศิริมิตร บ้านช่องยังไม่หนาตานัก แต่ก็มีมากขึ้นทุกทีเพราะความเจริญมาถึงอย่างรวดเร็ว

เขาลือกันว่าแถวนั้นเป็นป่าช้าเก่าครับ!

เท็จจริงยังไงไม่รู้ แต่เด็กๆ อย่างพวกเราก็กลัวกันทุกคน โธ่! เด็กที่ไหนไม่กลัวผีล่ะ? ขอถามหน่อยเถอะ ขนาดผู้ใหญ่หลายๆ คนยังกลัวนี่นา คนแก่เฒ่าก็ยังไม่วายกลัวผี ผมเคยได้ยินยายหุ่นขายห่อหมกที่หน้าอู่แกพูดกับลูกหลานบ่อยๆ ว่า

"ถ้าข้าตายละก็อย่าทิ้งข้าไว้ที่วัดคนเดียวนะ ข้ากลัวผีว่ะ!"

ขนาดคิดว่าตัวเองตายไปแล้ว กลายเป็นผีไปแล้ว แกยังไม่วายกลัวผี...พวกหนุ่มๆ ปากคะนองบางคนก็หัวเราะขบขัน บางคนยังพูดจาล้อเลียนแกเล่นอย่างสนุกปาก

"ยายไม่คิดมั่งเหรอ ว่าผีมันเห็นยายมันก็กลัวตัวสั่นเหมือนกันนะยาย"

ยายหุ่นด่าโขมงโฉงเฉง พวกเด็กๆ หัวเราะชอบใจ แต่ตกเย็นหรือโพล้เพล้หน่อยก็รีบแยกย้ายกันกลับบ้านแล้วละครับ

ทางเข้าหมู่บ้านก็ขรุขระพอๆ กับทางเข้าอู่รถเมล์ แถมยังเปล่าเปลี่ยวกว่าด้วยซ้ำเพราะไม่ได้ติดถนนใหญ่ แสงไฟฟ้าอย่าไปฝันให้ยาก สองข้างทางมีแต่ต้นไม้ใหญ่ๆ กับพวกไม้ล้มลุก ป่าละเมาะกับพงหญ้ารกครึ้ม...จะมีอะไรซุกซ่อนจ้องมองเราอยู่ก็ไม่รู้

มีเนินโล่งๆ ใต้ต้นมะขามเฒ่า เพราะเนินเจ้ากรรมนี่เองที่ทำให้ชาวบ้านลือกันเป็นตุเป็นตะว่าเป็นหลุมศพ เป็นป่าช้าเก่า...ยืนยันว่าผีดุบรรลัยจริงๆ เอ้า!

คนที่เดินผ่านเนินมรณะนั่นตอนกลางคืน หรือแม้แต่ตอนเย็นๆ ที่แดดผีตากผ้าอ้อมเหลืองอร่ามก่อนจะจางหาย เคยเห็นภาพชวนขนหัวลุกมาเล่าตรงกันทุกคนเลยครับ

นั่นคือ หันไปมองที่เนินนั่นโดยไม่รู้ตัว เหมือนกับมีอะไรดลใจ หรือดึงดูดสายตา...เห็นชายคนหนึ่งนั่งยองๆ สูบยาแดงวาบๆ ท่อนบนไม่สวมเสื้อเห็นชัดว่าผอมกงโก้ ส่วนท่อนล่างจะเป็นกางเกงขาก๊วยหรือโสร่งก็เห็นไม่ชัด แต่จะนั่งหันข้างให้...

ดูโดดเด่นตัดกับทิวไม้ทิศตะวันตกที่ฟ้าแดงฉาน เพราะดวงอาทิตย์เพิ่งจะลับทิวไม้ไปหยกๆ

...และแล้วใบหน้าที่เป็นรูปเงาดำๆ ก็ค่อยๆ หันมามองอย่างเชื่องช้า แสยะยิ้มเห็นฟันขาวแต่ตาแดงจ้าปานแสงไฟ เสียงหัวเราะแหบโหยดังแว่วมากระทบหูบัดดล

วิ่งครับวิ่ง! วิ่งกันไม่คิดชีวิต วิ่งล้มลุกคลุกคลาน วิ่งชนิดกระเซอะกระเซิง จนแทบจะขาดใจไปตามๆ กัน!

วันหนึ่งผมก็เจอเข้ากับตัวเองอย่างจังๆ

วันนั้นผมไปที่อู่รถกับเพื่อนสองคน คือไอ้ห้อยหลานยายหุ่น กับไอ้เอิ๊กลูกป้าอบ แกขายข้าวโพดต้มกับถั่วลิสงต้มที่นั่นเหมือนกัน ป้าอบใจดีให้ข้าวโพดกับถั่วต้มผมกินบ่อยๆ ยายหุ่นก็ให้ไอ้ห้อยเอาห่อหมกไปให้พวกคนขับกับช่างเครื่องแกล้มเหล้าเช่นกัน

หน้าหนาวค่ำเร็ว เราเจอะเพื่อนรุ่นเดียวอยู่แถวนั้นอีกสองคน เลยเล่นหยอดหลุมเอาหนังยางกัน...ผมกินหนังยางจนแทบล้นข้อมือ หันไปเห็นแดดผีตากผ้าอ้อมเหลืองอร่ามอยู่ในม่านฝุ่นสีแดงก็ใจหาย

"กลับบ้านเถอะโว้ย เดี๋ยวโดนผีหลอก!" ผมร้องแล้วออกวิ่งแจ้น เพื่อนทั้งคู่วิ่งตึ๊กๆ ตามมาด้วย ส่วนเพื่อนอีกสองคนมันอยู่คนละทางกับเรา

...มารู้ตัวอีกทีก็กำลังหยุดหอบแฮกๆ ตรงเนินอาถรรพณ์นั่นพอดิบพอดี!

หันขวับไปมองฟ้าสีแดงเข้มจนเกือบดำ แต่ก็เห็นผู้ชายนั่งกอดเข่า ผมยาวปลิวกระเซิงตามแรงลมกำลังสูบยาแดงวาบๆ เข้าทันใด

"เฮ้ย..." ใครคนหนึ่งหลุดปากออกมา ขณะที่อากาศเย็นยะเยือกจนขนลุกซ่า ผมอยากจะหันหน้ากลับ อยากจะออกวิ่งต่อไปให้ถึงบ้านเร็วที่สุด แต่แข้งขาแข็งทื่อจนขยับไม่ได้เลย นอกจากอ้าปากค้าง ตาลืมโพลงเหมือนโดนสะกดจิต

ไอ้เอิ๊กกับไอ้ห้อยก็คงไม่แตกต่างกัน!

ใบหน้าที่แทบจะกลืนหายไปกับความมืดค่อยๆ หันมามองอย่างเชื่องช้า แต่แน่นอนเหนือสิ่งอื่นใด! ผมอยากจะร้องไห้ คิดว่าหัวใจกำลังจะหยุดเต้น...จู่ๆ ร่างนั้นก็ลุกพรวดพราดขึ้นยืนตระหง่านทันใด...

เสียงใครร้องจ้าดังแสบแก้วหู พร้อมๆ กับที่เรากระโจนอ้าวไม่คิดชีวิต

เสียงหัวเราะดังไล่หลังมา เราวิ่งลมออกหูรวดเดียวถึงบ้าน...ถึงจะไม่มีอะไรยืนยันว่าที่นั่นเป็นหลุมศพ หรือป่าช้าเก่ามาก่อน แต่ภาพนั้นยังติดตามาถึงทุกวันนี้เลยครับ!

ขอบคุณ แหล่งที่มาหนังสือพิมพ์ ข่าวสด

วันพฤหัสบดีที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

ผี เรื่องผี เรื่องเล่าสยองขวัญ วิญญาณใส่บาตร

พิมพ์พร เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกเมื่อเห็นวิญญาณใส่บาตร

ตั้งแต่เด็กๆ มาแล้วที่ดิฉันได้ฟังเรื่องผีมากมายนับไม่ถ้วน บางเรื่องก็ชวนให้ฉุกคิดค่ะ เช่นคนที่ขับรถชนคนตายแล้วบึ่งหนี วันดีคืนดีก็ได้กลิ่นศพในรถ หรือเห็นใครมานั่งตัวแข็งทื่ออยู่ที่เบาะหลัง...วิญญาณอาฆาตติดตามทวงหนี้ชีวิตจนตกใจขับรถพุ่งออกนอกถนนไปเลย

ยิ่งคนที่ฆ่าเขาตายยิ่งน่าขนลุกนะคะ!

ลองนึกดูซิ ถึงจะรอดตัวจากมือกฎหมายไปได้ แต่เขาจะต้องนึกถึงหน้าตาของคนที่ตัวฆ่าอยู่ตลอด นัยน์ตาที่เจ็บปวด โกรธเกรี้ยว ติดตามจ้องมองอย่างไม่ลดละ ไม่ว่าตื่นหรือหลับ...ถ้าเกิดมาโผล่ที่หน้าต่างหรือเคาะประตูเรียก มองเห็นเต็มตาจะตกใจปานใด

วันดีคืนดีอาจจะนอนรออยู่บนเตียงก็ได้...สยองค่ะ!

ดิฉันเองเคยพบผีมาแล้ว แต่ก็ไม่เหมือนกับเรื่องผีที่เคยฟังมาก่อนเลย ขอยืนยันว่าเป็นประสบการณ์ที่แปลกประหลาดที่สุดในชีวิตก็แล้วกัน

สมัยเด็กๆ ดิฉันอยู่เทเวศร์ซอย 1 กับป้าขวัญ พี่สาวของพ่อ ตอนเช้าๆ จะตื่นพร้อมป้าไปใส่บาตรที่หน้าบ้านเป็นประจำ พระจากวัดนรนารถจะเดินอุ้มบาตรช้าๆ เข้าซอยมา ชาวบ้านก็ตั้งโต๊ะวางของใส่บาตรบ้าง ถือขันข้าวและถุงแกงหรือผัดบ้าง ถ้าใส่บาตรพระรูปเดียว

ป้าขวัญต้องตั้งโต๊ะเพราะใส่บาตรพระวันละ 3 รูป คุณยายนวลบ้านเยื้องๆ กันจะใส่บาตรพระรูปเดียว ส่วนมากมักจะเป็นหลวงตาชื่น จนคนแถวนั้นพูดกันล้อๆ ว่าเป็นพระขาประจำ

พอหลวงตาชื่นรับบาตรจากคุณยายนวล และให้ศีลให้พรเรียบร้อยแล้ว จึงข้ามถนนมาทางบ้านเรา

คุณยายนวลอายุราว 70 ปี รูปร่างแบบบาง ผมสีขาวเกล้ามวยไว้เรียบร้อย สวมเสื้อแพรแขนสั้นสีอ่อน นุ่งซิ่นสีเข้ม หน้าตาผ่องใสใจดี ใช้ชีวิตบั้นปลายอยู่กับลูกหลานอย่างมีความสุข คุณยายจะยิ้มให้ดิฉันทุกเช้า บางวันรอพระก็ทักทายกับป้าขวัญ

วันหนึ่งก็ได้ข่าวร้าย คุณยายนวลเป็นลมหมดสติในบ้าน ลูกหลานรีบนำส่งวชิรพยาบาล แต่พอไปถึงคุณยายก็สิ้นใจอย่างสงบ

"คุณยายนวลเป็นคนดี" ป้าขวัญบอกดิฉันเสียงเศร้าๆ วันไปฟังสวดศพที่วัดมกุฏฯ "ทำแต่บุญกุศลมาตลอดชีวิต ป้าคิดว่าแกต้องไปสู่สุคติแน่นอน"

"ไปสวรรค์ใช่ไหมคะ?"

ดิฉันเอียงคอถาม ป้าขวัญก็พยักหน้ายิ้มๆ แทนคำตอบ...ดิฉันมองไปที่รูปถ่ายคุณยายนวลที่ตั้งอยู่หน้าโลง ดูเหมือนนัยน์ตาคู่นั้นจะจ้องมองดิฉันตลอดเวลา ปาก บางๆ ติดรอยยิ้มก็ดูจะกว้างขวางขึ้นกว่าเดิม

น่าแปลกที่ดิฉันไม่รู้สึกกลัวแม้แต่นิดเดียว...อาจจะเป็นเพราะเราพบกัน ยิ้มให้กันแทบทุกเช้าก็เป็นได้ นะคะ

วันรุ่งขึ้น เราสองคนป้าหลานก็ออกไปใส่บาตร ตามเคย!

ดิฉันมองไปที่บ้านคุณยายนวลด้วยความเคยชิน เห็นแต่ประตูปิดเงียบ ไม่มีร่างเล็กบางของคุณยายมายืนอุ้มขันเงินรอใส่บาตร บางทีก็ส่งยิ้มมาให้ดิฉัน...คิดแล้วใจหายไม่น้อยและก็พลอยเกลียดความตายมากๆ เลยค่ะ

และแล้ว...หลวงตาชื่นเดินนำหน้าพระรูปอื่นๆ เข้าซอยมา ท่ามกลางแสงแดดอบอุ่นของยามเช้า ป้าขวัญขยับตัวเพื่อจะใส่บาตรตามความเคยชิน ดิฉันก็ยืนข้างๆ อย่างเตรียมพร้อม...ก่อนจะย่นคิ้วประหลาดใจ

ภาพที่เห็นคือหลวงตาชื่นยืนเปิดฝาบาตร ก้มหน้านิดๆ อยู่หน้าบ้านคุณยายนวลนั่นเอง ทั้งๆ ที่ไม่มีร่างของคุณยายอยู่ที่นั่น แถมประตูรั้วก็ปิดสนิท...ดิฉันสะกิดแขนป้าขวัญด้วยความสงสัยแต่โดนดุเสียงแหบเครือว่า...เงียบนะ!

หลวงตาชื่นข้ามถนนมาที่บ้านเราแล้ว...ป้าขวัญตักข้าวใส่บาตรด้วยมือสั่นนิดๆ ดิฉันใส่ถุงผัดพริกขิงและขนมถ้วยฟู เสียงป้าขวัญสั่นเครือถามว่า...หลวงตาแวะรับบาตรที่บ้านคุณยายนวลด้วยหรือคะ?

"เจริญพร ถูกแล้วโยม" หลวงตาตอบเสียงอ่อนโยน "อีกสองวันก็จะเผาคุณโยมนวลแล้วใช่ไหม? เจริญพร..."

หลวงตาชื่นออกเดินโปรดสัตว์ต่อไป ดิฉันได้ยินเสียงป้าขวัญครางเบาๆ อยู่ในลำคอ มองเห็นร่างแบบบางของคุณยายนวลยืนอยู่ที่นั่น หลิ่วตายิ้มให้ดิฉันนิดๆ คล้ายจะยั่วเย้า ก่อนจะหมุนตัวกลับเดินช้าๆ หายลับไป...

ขอให้ขึ้นสวรรค์เร็วๆ นะคะ คุณยาย!

ขอบคุณ แหล่งที่มาหนังสือพิมพ์ ข่าวสด

วันพุธที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

ผี เรื่องผี เรื่องเล่าสยองขวัญ ลูกค้าขาประจำ

ทวนทอง เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากตลาดนัดสามเสน

ถึงผมจะเป็นคนตจว.เพิ่งเข้ากรุงเทพฯ เพื่อทำมาหากินได้ไม่กี่ปี แต่เรื่องผีๆ สางๆ นี่ผมไม่ค่อยเชื่อและไม่กลัวด้วย จนกระทั่งผมไปเจอดีเข้าจังๆ กับตัวเองที่ตลาดนัดริมทางรถไฟใกล้ๆ กับสถานีสามเสนเมื่อตอนต้นปีนี่เอง!

ผมเป็นพ่อค้าข้าวโพดปิ้งที่ตลาดนัดนั่นแหละครับ

โธ่! ใจจริงผมก็อยากทำงานบริษัทมีระดับ แต่งตัวดี หน้าตาผ่องใส ไม่ต้องตากแดดตากลม แถมกรำถ่านไฟร้อนระอุจนหน้าดำคร่ำเครียดแบบนี้ แต่อย่างว่าล่ะ! หนุ่มอีสานจบม.4 เข้ามาทำงานเมืองกรุง เก็บเงินทองส่งไปให้พ่อแม่และน้องนุ่งได้เรียนหนังสือ มันก็ต้องแต่งตัวมอซอเหงื่อไหลไคลย้อยยังงี้ล่ะคุณ

ผมเช่าห้องอยู่กับเพื่อนจังหวัดเดียวกันแถวบางซื่อ ต้องไปซื้อข้าวโพดที่ตลาดไทโน่นแน่ะ เขาว่าเป็นข้าวโพดพันธุ์ผสม "ไฮบริกซ์" เนื้อหวานอร่อยจากสระบุรี ลูกค้ากำลังนิยม ปิ้งทั้งเปลือกเพื่ออมน้ำชุ่มฉ่ำ ใครมาซื้อก็ปอกเปลือกใส่ถุงให้ทันใด

ตอนแรกๆ รับมากิโลละ 10 บาทเท่านั้นเองครับ แต่ไม่ช้าก็ปาเข้าไปกิโลละ 18 บาทแล้ว เอามาปิ้งขายฝักละ 13 บาท 2 ฝัก 25 บาท...วันไหนขายได้ 100 กิโลขึ้นไปก็พอจะมีกำรี้กำไรสี่ซ้าห้าร้อยบาท...พอคุ้มค่าเหนื่อยล่ะกัน

อ้อ! ผมไม่ได้ขายข้าวโพดปิ้งที่เดียวนะครับ เพราะที่นั่นติดตลาดนัดอาทิตย์ละแค่สองวัน คืออังคารกับศุกร์เท่านั้น ไม่งั้นคงไม่มีเงินพอส่งทางบ้านแน่ๆ แต่เปลี่ยนทำเลไปตามตลาดนัดต่างๆ แทบทุกวันก็ว่าได้...เพียงแต่มาเจอะเจอเรื่องขนหัวลุกเข้าที่ตลาดนัดย่านนั้น ซึ่งอยู่ใกล้ๆ กับกรมสวัสดิการทหารบกพอดี

ชีวิตพ่อค้าเร่นี่คิดอีกทีก็สนุกเหมือนกัน เพราะได้รู้จักกับเพื่อนฝูงพ่อค้าแม่ค้าด้วยกัน พอตลาดวายก็มีน้ำจิตน้ำใจแบ่งปันสินค้าให้กันและกันทุกครั้ง...ผัดถุงแกงถุง หมูปิ้ง ไส้กรอกอีสาน ขนมไทยๆ อย่างถั่วดำสาคูเปียก กล้วยบวชชี ฟักทองแกงบวด ฯลฯ

ถึงเราจะจนเงินก็ไม่จนน้ำใจหรอกครับ

ไหนจะมีโอกาสรู้จักลูกค้าทุกเพศทุกวัยอีกต่างหาก! ตั้งแต่เอ๊าะๆ ที่มากับแฟน คลอเคลียกันน่าอิจฉา หรือกิ๊วก๊าวมากับเพื่อนๆ กลุ่มใหญ่จนถึงรุ่นน้าคุณป้า คุณอาคุณลุง โดยเฉพาะลูกค้าขาประจำที่มักจะซื้อครั้งละ 4 ฝัก 50 บาท ชมว่าข้าวโพดปิ้งผมอร่อยถูกปากกว่าที่ปอกเปลือกปิ้งตั้งพะเรอ

พูดถึงลูกค้าขาประจำที่ผมคุ้นหน้ามาหลายเดือนแล้วก็คือคุณลุงที่อยู่ในกรมทหาร อายุราว 60 ปีแล้วคงใกล้เกษียณเต็มที รูปร่างผอมสูง ผมขาวตัดเกรียน นุ่งกางเกงขาสั้นสีขี้ม้า สวมเสื้อป่านคอกลม เดินลากรองเท้าแตะช้าๆ ท่าทางมีสง่าเหมือนพระยาน้อยชมตลาด...มองนั่นมองนี่เพลิดเพลินอย่างสบายอารมณ์

บางวันแวะซื้อปลาเล็กปลาน้อยที่เขาทอดใส่ถุงขาย บางวันก็ซื้อขนมถุง...แต่ที่แน่ๆ ต้องแวะมาซื้อข้าวโพดปิ้งผมเป็นประจำ!

พอเราคุ้นเคยกัน คุณลุงก็เล่าว่าหลานชายหลานสาวชอบกินข้าวโพดปิ้งมาก เคยรบเร้าจะมาด้วย แต่แม่แกไม่ยอมเพราะต้องข้ามถนนเข้ามา กลัวว่ารถราจะเฉี่ยวเอา...แล้วคุณลุงก็อวยชัยให้พรผม ขอให้ขายดีๆ มีกำไรเยอะๆ นะ จนผมต้องยกมือไหว้พลางขอบพระคุณอย่างจริงใจ

วันเกิดเหตุฟ้าครึ้มฝนมาตั้งแต่บ่าย พวกเราได้แต่ภาวนาว่าขอให้พระพิรุณอย่าได้โปรยปรายลงมาเลย ไม่งั้นลูกค้าหายจ้อย พลอยทำให้พวกเราทุนหายกำไรหดไปด้วย

ราวห้าโมงเย็นฝนยังไม่ตก พระยาน้อยของผมก็เดินช้าๆ มาแต่ไกล ผมรีบคัดข้าวโพดฝักงามๆ ออกมาตระเตรียมฉีกเปลือก 4 ฝัก...และก็ไม่ผิดหวังเมื่อคุณลุงเดินยิ้มเข้ามาหา พยักหน้าบอกว่าใส่ถุงมาเลยหลานชาย...

คราวนี้แกส่งแบงก์ร้อยให้ ผมจะล้วงหยิบเงินทอนแต่คุณลุงยกมือห้าม บอกว่าไม่ต้องทอนหรอกหลานชาย ขอบใจนะ...ขอให้จำเริญๆ เถอะ ทำมาค้าขึ้นจนร่ำรวยนะ พ่อคุณ!

ผมยกมือไหว้งงๆ แกก็เดินหายลับไปในกลุ่มคน เกือบจะพร้อมๆ กับผู้หญิงวัยเกือบสี่สิบปีจูงมือเด็กหญิงกับเด็กชายเดินตรงเข้ามา

"เอ้า! ข้าวโพดเจ้านี้ใช่ไหมที่ลูกอยากกินนัก? ทีหลังแม่จะมาซื้อแทนปู่ให้...เดี๋ยวเก็บไปกินที่วัดตอนพระสวดศพปู่แล้วกัน"

ผมเย็นวาบไปตามสันหลัง...ได้ความว่าคุณลุงขาประจำคนนั้นหัวใจวายตายมาสองวันแล้ว วิญญาณแกยังอุตส่าห์มาล่ำลาผมจนได้...ขนหัวลุกซีครับ! บรื๋ออ...

ขอบคุณ แหล่งที่มาหนังสือพิมพ์ ข่าวสด

วันอังคารที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

ผี เรื่องผี วิญญาณในวัง สมัยรัชกาลที่ 5

ยังมีเรื่อง ผี อยู่เรื่องหนึ่งที่เกิดขึ้นภายในรั้ววังสมัยรัชกาลที่ 5 ครั้งที่พระองค์ท่านย้ายวังมาประทับที่พระราชวังดุสิต ในรัชสมัยของพระองค์ท่านพระราชวังวสวนดุสิต ปลูกสร้างเสร็จใหม่ๆว่ากันว่าสวยงามราวเมืองสวรรค์ ภายในรอบบริเวณพระราชวังอบอวลไปด้วยหมู่ไม้ดอก ไม่ผล ร่มครึ้ม ทั่วบริเวณวัง

ผลหมากรากไม้ในพระราชวังแห่งนี้ ออกดอก ออกผลลูกเล็กลูกใหญ่ ห้อยระย้าเต็มต้น มีทั้งฝรั่ง ทับทิม มะม่วง กระท้อน ฯลฯ เมื่อผลไม้มีมากมายเช่นนี้ก็ย่อมเป็นที่ต้องการของชาววังมือดีทั้งหลาย 


ทั้งๆที่เป็นของที่อยู่ในเขตพระราชฐาน ผลไม้หลายๆต้นยังถูกสอยเอาไปรับประทานเป็นจำนวนไม่น้อยและเป็นประจำจนผิด สังเกต แถมผลไม้หลายๆลูกยังพบร่องรอยของฟันแทะไว้เป็นหลักฐานอีกด้วย

ครั้งนั้น เรื่องขโมยผลไม้ในวังกลายเป็นเรื่องใหญ่ถึงขนาดรัชกาลที่ 5 ต้องเสด็จมาทอดพระเนตรด้วยพระองค์เองและตรัสว่าไม่น่าจะใช่รอยฟันของกระรอก กระแต น่าจะเป็นรอยฟันของคนมากัดแทะเสียมากกว่า เห็นจะต้องหาตัวหัวขโมยมาลงโทษให้ได้ จึงมีการตั้งรางวัลในการจับขโมยเป็นเงินถึง 2 ตำลึงในสมัยนั้น

จึงกลายเป็นว่าตกกลางคืน บรรดาข้าหลวงนางกำนัลและมหาดเล็กก็ไม่ต้องหลับต้องนอนกัน เพราะต้องคอยมาดักซุ่มจับขโมยหวังเงินรางวัล และการมาซุ่มจับก็จะมาอยู่กันเป็นกลุ่มๆ หลายคืนผ่านไปก็ยังไม่มีใครท้อ เพราะต่างก็อยากจะรู้ว่าใครกันคือหัวขโมยใจกล้าผู้นั้น

แต่ในยามดึกๆเช่นนั้นทั่วทั้งวัง ก็เงียบเย็น และวังเวง ทำให้พวกที่มาดักจับขโมยรู้สึกหวาดๆ อยู่เหมือนกันเพราะที่วังแห่งนี้ร่ำลือกันมานานแล้วว่ามักจะมีผีเด็กไว้ผม จุกออกมาวิ่งเล่นตอนดึกอยู่บ่อยๆ ใครดวงดีก็จะได้เห็น!

การดักจับขโมยยังคงดำเนินอยู่ ทุกคืน บางคืนก็เจอเรื่องให้ขำเมื่อต่างฝ่ายต่างมีหลายกลุ่ม หลายตำหนัก ลงมาซุ่มจับขโมยแล้วมีการสงสัยจับกันเองระหว่างพวกที่มาซุ่มจับ จนเกิดอลเวงไปทั้งวัง เพราะที่แท้แล้วไม่ใช่กลายเป็นพวกเดียวกัน และขนาดช่วยกันดักจับอยู่ทุกคืน ยังน่าประหลาดที่ผลไม้ก็ยังหายอยู่เช่นเดิม

แถมบางลูกห่อกระดาษไว้อย่างดีก็ยังถูกเด็ดไปจนได้ กระทั่ง คืนหนึ่ง เล่ากันว่าเป็นคืนเดือนมืด ทั่วทั้งพระราชวังเงียบสงัด แต่พวกชาววังก็ยังซุ่มล่าหัวขโมยอยู่เช่นเดิม ชาววังกลุ่มหนึ่งมาแอบซุ่มอยู่ใกล้ต้นฝรั่งซึ่งกำลังออกผลเต็มต้น ใกล้จะสุกเก็บกินได้แล้ว และต้นนี้เองเป็นต้นเดียวกับที่ล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ 5 เคยทอดพระเนตรพบรอยแทะทิ้งไว้

คืนนั้นพอดึกสงัดก็ปรากฏมีเสียง ประหลาด พร้อมมีเงาดำๆวิ่งผ่านไปทางต้นฝรั่ง ทำให้ชาววังผู้ล่าหัวขโมยใจเต้นระทึก คาดว่าจะต้องเป็นหัวขโมยที่หวังจะจับแน่แล้ว จึงพากันแอบซุ่มมอง ทันใดก็เห็นเจ้าของร่างนั้นปีนขึ้นไปบนต้นฝรั่งนั่งกัดฝรั่งเคี้ยวกิน อย่างกระหายหิว พวกล่าจับหัวขโมยพากันดีใจกรูเข้าไปล้อมรอบโคนต้นฝรั่ง หวังจะดูหน้าหัวขโมยให้ชัดๆซะที ต่างจึงพากันร้องเรียกขู่ให้หัวขโมยลงมาจากต้นฝรั่ง เจ้านั่นก็ยังไม่ยอมลงมา ร้องเรียกอยู่นานจนในที่สุดเงาดำบนต้นก็กระโดดตูมลงมา ข้าหลวงชายพากันตะครุบจับแต่ก็จับไม่ได้เพราะตัวลื่นเป็นเมือกแถมยังว่องไว ปราดเปรียว ผิดปกติมนุษย์ธรรมดา

ฉับพลันทันใดก่อนที่ใครจะคาดคิด เจ้าหัวขโมยรายนี้ก็กระโจนพรวดเดียวลงไปใน สระอโนดาตภายในพระราชวัง แล้วจมหายไม่ขึ้นมาอีกเลย งานนี้ทุกคนเลยชวดเงินรางวัล เพราะไม่มีใครสามารถจับขโมยที่ไวดุจปรอทคนนี้ได้เลย 


นอกจากจะจับไม่ได้แล้ว แม้แต่หน้าก็ยังไม่มีใครได้เห็น มีสิ่งเดียวที่ทุกคนสัมผัสได้คือ กลิ่นตัวที่สาปรุนแรง คล้ายกลิ่นคนตาย ยิ่งไปกว่านั้นหลังจากที่หัวขโมยโดดหายลงไปในน้ำแล้ว ทุกคนจึงได้สติว่า ถูก “ผีหลอก” แล้วพากันวิ่งหนีร้องเสียงดังลั่นขวัญกระเจิง”

ขอบคุณ แหล่งที่มาหนังสือพิมพ์ รักดารา


วันจันทร์ที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

ผี เรื่องผี สงกรานต์สยอง

บุหงา เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากวันสงกรานต์

เมื่อราว 4-5 ปีมานี้ดิฉันไม่ได้ออกไปเที่ยวงานสงกรานต์เหมือนหลายๆ ปีก่อน เป็นเพราะสังขารไม่อำนวย กับจิตใจไม่นึกสนุกสนานเสียแล้ว ถ้าฝืนใจไปตามคำชวนของญาติมิตรก็จะตกเป็นภาระเขาเสียเปล่าๆ

ไหนจะเหตุการณ์น่าสลดหดหู่ใจในทางการเมือง ไหนจะข้าวของแพงขึ้นทุกวันจนแทบจรดไม่ลง เห็นแล้วหมดกะจิตกะใจจริงๆ อยู่บ้านดูข่าวทีวีเป็นวิธีดีที่สุดค่ะ!

นึกถึงสมัยก่อนเวลารดน้ำขอพรจากผู้ใหญ่ ท่านจะเอามือชุ่มน้ำมาลูบศีรษะเรา พึมพำให้ศีลให้พร ขอให้เจริญก้าวหน้า มั่งมีศรีสุข อย่าเจ็บอย่าไข้...บางครั้งก็เห็นท่านเช็ดมือเปียกๆ กับผ้าขนหนู ก่อนจะยื่นมารับน้ำอบจากคนต่อไป

สมัยนี้ เห็นผู้หลักผู้ใหญ่หลายคนนั่งแบมือให้คนนับสิบนับร้อยมารดน้ำ จนสองมือสั่นสะท้านด้วยความหนาวเหน็บเต็มประดา น่าสงสารและน่าเห็นใจจริงๆ เลย

เท่านั้นยังไม่พอค่ะ เด็กๆ ที่มารดน้ำกลับอวยพรผู้ใหญ่ให้แข็งแรง อายุมั่นขวัญยืนอีกต่างหาก...โอ๊ย! จะบ้าตาย!

ที่ไม่เคยพบของจริง นอกจากในทีวีก็คือถนนข้าวสารนี่เอง!

ต้องยอมรับว่าเป็นศูนย์เทศกาลสงกรานต์ที่มีชื่อเสียงโด่งดัง ได้รับความนิยมแพร่หลายไปทั่วโลก ใครมาเที่ยวแล้วติดอกติดใจทั้งนั้น ให้สัมภาษณ์ทีวีว่าปีหน้าจะมาเล่นสงกรานต์ที่เมืองไทยอีก หลายๆ รายก็กลับไปบอกกล่าวญาติมิตรแล้วชักชวนกันมาเที่ยวเป็นประจำ

การเล่นสงกรานต์ด้วยปืนฉีดน้ำและทาดินสอพอง กลายเป็นแฟชั่นไปเสียแล้ว เอามาละลายน้ำสาดกันบ้าง เอามาทาหน้าทาตากันบ้าง นิยมเรียกสั้นๆ ว่า "เล่นแป้ง"

เมื่อ 2-3 ปีมาแล้ว มีการห้ามนำแป้งเข้าไปเล่นสงกรานต์ที่ถนนข้าวสาร หรือถนนรามบุตรี ตำรวจจะตั้งด่านสกัดทั้งทางถนนจักรพงษ์ ใกล้สน.ชนะสงคราม กับถนนตะนาวที่จะออกสี่แยกคอกวัว ถนนราชดำเนิน กลาง

ใครนำแป้งใส่ขันเข้าไปก็จะถูกยึดไว้เป็นกองพะเนินเทินทึก ทีวีถ่ายให้เห็นจนน่าขัน...เพราะภาพต่อมาคือหนุ่มๆ สาวๆ ทั้งไทยและเทศเอาแป้งไล่ทาหน้าตากับเนื้อตัวกันครึกครื้น แทบจะขาวโพลนไปทั้งถนนข้าวสารก็ว่าได้

ที่น่าตลกยิ่งกว่านั้นก็ภาพของเจ้าหน้าที่ตำรวจยืนหลับตาปี๋ ท่ามกลางหนุ่มๆ สาวๆ มะรุมมะตุ้มรุมล้อมละเลงแป้งจนหน้าขาววอก!

เรื่องป้องกันอุบัติเหตุก็ย้ำนักย้ำหนาว่าเกิดจากสุรากับไม่สวมหมวกนิรภัย! แต่ตามถนนหนทางทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด คนขับมอเตอร์ไซค์และคนซ้อนท้ายไม่สวมหมวกกันน็อกครึ่งต่อครึ่ง

ลูกหลานที่ออกไปเที่ยวสงกรานต์ เล่าว่าย่านไหนๆ ในกรุงเทพฯ ก็เห็นแต่รถกระบะกับมอเตอร์ไซค์ยกโขยงกันมาไล่ฉีดน้ำคนข้างถนน...มา 10 คันสวมหมวกนิรภัยกันแค่ 2-3 คนเท่านั้น การซ้อน 3 ก็ห้ามกันนักห้ามกันหนา แต่มอเตอร์ไซค์ซ้อน 3 กันเกร่อกรุง!

ตำรวจไม่ได้จับหรือแม้แต่เรียกมาตักเตือน ถ้ามองในแง่ดีก็เห็นใจเจ้าหน้าที่หรอกค่ะ เพราะถ้าเรียกมาหมดทุกคน มีหวังรถติดยาวเหยียดไปทั่วกรุงเทพฯ อย่างแน่นอน

ขนาดซ้อน 2 อย่างนายแม็ค-ลูกชายวัยรุ่นของ เพื่อนบ้านดิฉัน ก็ยังทำให้พวกเราขนหัวลุกไปตามๆ กันนี่คะ...

ขณะที่ชมรมผู้สูงอายุของหมู่บ้านชานกรุง กำลังนั่งกินอาหารเย็นกันที่โต๊ะใกล้ๆ ต้นคูนดอกเหลืองอร่ามไปทั้งต้น นายแม็คขี่มอเตอร์ไซค์เข้าประตูรั้วมากับเพื่อนที่ซ้อนท้าย เนื้อตัวเปียกชุ่มโชกทั้งสองคน

มาถึงก็จอดรถเดินทื่อเข้าบ้าน ไม่มีการทักทายผู้ใหญ่ที่นั่งกันเกือบสิบคนแน่ะ! พ่อแม่แกทำหน้าไม่ค่อยเสบย ดิฉันบอกว่าไม่มีใครถือสาเด็กหรอก อย่าคิดมาก

เงียบไปนานจนชักเอะใจ...

พอดีนายแม็คแต่งตัวใหม่โผล่ออกมา บอกว่าเกิดอุบัติเหตุเพราะมีพวกวิตถารดักสาดน้ำด้วยถังใหญ่ จนรถคว่ำเพื่อนที่ซ้อนท้ายสลบคาที่ ต้องนำส่ง โรงพยาบาล...แม่เขารีบลุกไปหาแล้วถามถึงเพื่อนที่ซ้อนท้ายมาด้วยกันล่ะ?

"เพื่อนอยู่โรง?บาลไงฮะ แม็คกลับมาคนเดียว...สงสัยแม่ตาฝาดแล้ว"

พวกเราลุกพรวดพราดขึ้นทุกคน ยืนยันว่ามีเพื่อนซ้อนท้ายมาจริงๆ คราวนี้นายแม็คหน้าซีด เข่าอ่อน...ถึงไม่บอกก็คงเดาได้นะคะว่าเพื่อนที่เห็นซ้อนท้ายรถนายแม็คมาน่ะ สิ้นใจตายแล้วที่โรงพยาบาล!

ขอบคุณ แหล่งที่มาหนังสือพิมพ์ ข่าวสด

วันอาทิตย์ที่ 4 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

ผี เรื่องผี เรื่องเล่าสยองขวัญ ขนหัวลุกจากข้างบ้าน

หนูแนน เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากข้างบ้าน

หนูเป็นเด็กต่างจังหวัดมาเรียนหนังสือต่อใน กรุงเทพฯ เมื่อเดือนที่แล้วนี่เอง โดยอาศัยอยู่กับป้านวล พี่สาวของแม่ ป้ามีลูกชายสองคนกำลังเรียนมหาวิทยาลัย นิสัยดีทั้งคู่ ไม่ชอบเที่ยวเตร่นอกจากดูหนังสือหรือเล่นเกมเล่นเน็ตอยู่ในห้อง

นักเรียน ม.4 อย่างหนูก็ได้อาศัยพี่เอกับพี่บีนี่แหละค่ะ ที่ช่วยให้คำแนะนำเรื่องการเรียน และคงจะช่วยติวให้ไปอีกนานเชียวล่ะ ถ้าหนูอยู่บ้านนี้ไปนานๆ

ทราบว่าคุณลุงที่เพิ่งเสียชีวิตไปไม่นานด้วยโรคหัวใจเป็นคนรักต้นไม้ ทั้งไม้ดอกและไม้ใบ ท่านปลูกไว้เต็มแทบรอบๆ บ้านเลยค่ะ หนูรู้จักแต่พวกมะค่า มะยม ทับทิม กับมะลิ กุหลาบ มหาหงส์ วาสนา กับอัญชัน บานเช้าและบานเย็นที่ดูเหมือนว่าจะขึ้นเองตามที่ว่างๆ

อ้อ! ที่ริมรั้วมีต้นจำปีสูงมากจนต้องแหงนคอตั้งบ่า หนูว่าคงจะสูงกว่าหลังคาตึกสองชั้นแน่ๆ ใครจะมีปัญญาปีนป่ายขึ้นไปเก็บดอกสวยๆ และหอมกรุ่นของมันล่ะคะ?

บางวันหนูเห็นพวกสาวๆ ในซอยเดินผ่านไปมา แทบทุกคนจะชะเง้อมองดอกขาวๆ ของมันอย่างเสียดมเสียดายทั้งนั้น...แหม! ถ้าต้นไม่สูงนักหนูคงจะปีนป่ายขึ้นไปเก็บมาแจกจ่ายให้พวกเธอหรอกค่ะ

อ้าว? ใกล้ๆ กำแพงรั้วนั้นมีบันไดไม้เตี้ยๆ ราว 5-6 ขั้นวางทิ้งจมพงหญ้า...ที่แท้ก็เป็นบันไดพาดต้นไม้นั่นเอง รูปสี่เหลี่ยมคางหมู หนูเลยลองเอามาพาดที่ต้นจำปี...พอดีเลยค่ะ

เย็นนั้น จากบันไดขั้นบนสุด หนูก็ปีนป่ายไปตามกิ่งก้านอื่นๆ อย่างคล่องแคล่วตามประสาเด็กบ้านนอก จัดแจงเด็ดจำปีดอกสวยๆ หอมกรุ่นใส่กระเป๋าเสื้อ...มองลงไปเห็นพวกสาวๆ เดินผ่านมาแล้วชี้ชวนกันให้ดูดอกจำปีขาวสล้างแทบเต็มต้น แน่ละว่าอยากได้กันทุกคน!

จู่ๆ เสียงวี้ดว้ายจากสาวๆ ราว 4-5 คนก็ดังลั่นเข้าหู จนหนูหวิดร่วงจากกิ่งใหญ่ด้วยอารามตกใจ มองเห็นสาวๆ พวกนั้นวิ่งกระเจิงเหมือนมดแดงแตกรัง เล่นเอาหนูชักใจคอไม่ค่อยดีเพราะตอนนั้นเย็นมากแล้ว...

หลังจากค่อยๆ ไต่ลงบันไดมาถึงพื้นดิน เดินไปที่ประตูด้วยความสงสัยว่าพวกสาวๆ รุ่นพี่ตกใจเรื่องอะไรกัน? เห็นพวกคุณน้าคุณป้า 2-3 คนผ่านมาหนูก็ล้วงดอกจำปีส่งให้ บอกว่าเพิ่งขึ้นไปเก็บมาหยกๆ แม่สอนว่าคนเราควรมีน้ำจิตน้ำใจกับคนอื่นบ่อยๆ ค่ะ

มีมิตรร้อยคนยังนับว่าน้อยไป มีศัตรูคนเดียวถือว่ามากไป!

หนูได้รับคำชมเชยว่ามีน้ำใจ แถมเก่งที่กล้าปีนป่ายขึ้นต้นไม้สูงๆ ได้ด้วย พอดีสาวๆ ที่วิ่งหนีตอนแรกย้อนกลับมาดู หนูก็เลยแจกดอกจำปีที่เหลือให้จนหมด ถามว่าพี่ๆ วิ่งหนีอะไรกันคะ แถมร้องจนหนูตกใจหวิดตกจากต้นจำปี

ตอนนี้เองค่ะ ที่หนูได้รับฟังเรื่องราวน่าขนหัวลุก!

ลำดวนเคยเป็นสาวใช้ของบ้านป้านวลมาหลายปี แต่แล้วก็เกิดท้องไม่มีพ่อขึ้นมา ป้านวลปลอบใจว่าไม่เป็นไรหรอก ไหนๆ เรื่องก็ล่วงเลยมาถึงป่านนี้แล้ว ออกลูกออกเต้าที่นี่แหละ แล้วจะช่วยเลี้ยงดูให้...ขออย่างเดียวอย่าไปทำแท้ง ก่อเวรสร้างกรรมฆ่าเด็กก็แล้วกัน

แต่ลำดวนคิดสั้นใช้บันไดปีนขึ้นไปผูกคอตายในตอนดึกที่จำปีต้นนั้นเอง!

ข่าวคราวว่าผีลำดวนดุร้ายนัก เพราะเป็นผีตายทั้งกลมก็ร่ำลือไปทั้งซอย เดี๋ยวคนนั้นมองเห็นบนต้นจำปี เดี๋ยวคนนี้มองเห็นร่างห้อยต่องแต่งน่าสยดสยอง...ช่วงหลังๆ ซาไป แต่เมื่อพวกสาวๆ กลุ่มนั้นเกิดแหงนหน้าขึ้นมาเห็นหนูเข้าก็เลยตกใจนึกว่าโดนผีหลอก ถึงได้หวีดร้องโหยหวน วิ่งกระเจิงจนผ้าผ่อนแทบจะหลุดไปตามๆ กัน

พวกสาวๆ ที่เคยมาด้อมๆ มองๆ ก็ซาไป บางคนบอกว่าจะไปขอป้านวลโดยใช้ไม้สอยเอา แต่เมื่อนึกถึงปีศาจดุร้ายที่สิงสู่อยู่ก็อ่อนอกอ่อนใจไปเอง

"ป่านนี้วิญญาณเธอคงไปผุดไปเกิดแล้วค่ะ" หนูบอกกับทุกๆ คน ใจจริงไม่เชื่อว่าจะมีภูตผีสิงต้นไม้ในบ้านอยู่จนป่านนี้ ถึงแม้ว่าจะเป็นผีผูกคอตายก็เถอะ เผลอๆ คนที่บอกว่าโดนผีหลอกอาจจะอุปาทานไปเอง จนเกิดตาฝาดก็เป็นได้

เย็นนั้น หนูลงไปเดินเล่นที่สนาม หรือจะเรียกว่าสวนดอกไม้ร่มรื่นน่าสบายใจก็ยังได้ เห็นผู้คนเดินผ่านไปมา หลายๆ คนหันมามอง ชี้มาที่หนูแล้วหัวเราะกันคิกคัก พอจะเดาได้ว่าเขาคงพูดกันถึงเรื่องที่หนูขึ้นไปเก็บดอกจำปีวันก่อน

แหม! แหงนหน้ามองเห็นดอกขาวสะพรั่ง แทบจะได้กลิ่นติดจมูกแน่ะค่ะ...หนูตัดสินใจแน่วแน่ว่าจะไต่บันได ปีนขึ้นไปเก็บดอกจำปีมาดอมดมก็ชื่นใจ...

ก้าวขึ้นบันไดได้แค่ 2-3 ขั้นก็ต้องหยุดชะงัก เพราะแดดครึ้มลงกะทันหัน ยอดไม้ไหวซ่าน่าเอะใจ หนูแหงนหน้าขึ้นมองก็ต้องชาวาบไปทั้งตัว เมื่อเห็นหญิงสาวผู้หนึ่งสวมเสื้อยืดนุ่งกางเกงขาสั้นนั่งแกว่งขาอยู่บนกิ่งใหญ่ กำลังก้มหน้าลงมามองยิ้มๆ

แม้จะไม่เป็นร่างภูตผีน่ากลัว แต่หนูก็รู้อยู่เต็มอกว่าผู้หญิงนั่นคือใคร...มืออ่อนจนปล่อยขั้นบันไดหล่นตุ๊บลงดิน...ตั้งแต่นั้นมาหนูก็เลิกสนใจจำปีผีสิงต้นนั้นไปเลยค่ะ!

ขอบคุณ แหล่งที่มาหนังสือพิมพ์ ข่าวสด

วันพฤหัสบดีที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

ผี เรื่องผี เรื่องเล่าสยองขวัญ โค้งมรณะ

แอน เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากโค้งมรณะ

เพราะความดุร้ายน่าสยดสยองของปีศาจทาง หลวงแท้ๆ ที่ทำให้ดิฉันกับเพื่อนเกือบต้องสังเวยชีวิตในวัยเบญจเพสให้กับมัน!

ถนนผีสิง! โค้งมรณะ! เป็นคำที่เราเคยได้ยินกันจนคุ้นหูแล้วใช่ไหมคะ?

โดยเฉพาะทางหลวงที่ผ่านจังหวัดต่างๆ ไม่ว่าเหนือ ใต้ ออก ตก รวมทั้งอีสานก็ล้วนแต่มีเรื่องราวของภูตผีที่ตายเพราะอุบัติเหตุรุนแรงนับร้อยนับพันศพ ถ้ารวมทั้งประเทศก็อาจจะสะสมเป็นหมื่นๆ ศพแล้วก็ได้

ตัวตายแต่วิญญาณยังอยู่! ยังสิงสู่คอยหลอกหลอนผู้คนที่ขับรถผ่านมาจนทำให้เกิดอุบัติเหตุซ้ำๆ ซากๆ ตกเป็นข่าวในหนังสือพิมพ์และทีวี เห็นภาพแล้วต้องยอมรับว่าทั้งสลดหดหู่ระคนเสียวสยองอย่างบอกไม่ถูก

โดยเฉพาะในยามค่ำคืนเปล่าเปลี่ยว แสงไฟเยือกเย็น ถนนโล่งว่าง รถราที่ผ่านไปมาล้วนแต่ใช้ความ เร็วสูงขนาด 110-120 กิโลเมตรต่อชั่วโมงขึ้นไปทั้งนั้น ล่ะค่ะ

อุบัติเหตุเกิดขึ้นบ่อยที่สุดและมากที่สุด

กลางคืนน่ะเป็นเวลาของภูตผีปีศาจที่ออกมาหลอกหลอนมวลมนุษย์นี่คะ

ดิฉันเป็นคนกรุงเทพฯ นี่เอง และได้รับรู้จากญาติมิตรว่าถนนในเมืองหลวงนี่แหละที่เกิดอุบัติเหตุมากที่สุดกว่าจังหวัดอื่นๆ

ถนนที่เคยครองอันดับหนึ่งเมื่อ 20 ปีก่อนคือ ถนนวิภาวดีรังสิต แต่ปัจจุบันคือถนนรัชดาภิเษก ตั้งแต่ต้นทางแถวอโศกดินแดง ผ่านแหล่งสถานบันเทิงคับคั่ง พุ่งผ่านสุทธิสาร ลาดพร้าว และหน้าศาลยาวเหยียดนั่นแหละค่ะ คือจุดอันตรายที่ผู้ใช้รถใช้ถนนพึงระวังเป็นอย่างยิ่ง...โดยเฉพาะโค้งมรณะหน้าศาลอาญา!!

มีเสียงร่ำลือกันว่าผีดุหนักหนาสาหัสเป็นอันดับหนึ่งของกรุงเทพฯ ก็ว่าได้

มักจะหลอกหลอนผู้คนด้วยรูปแบบต่างๆ เช่น มีร่างขาวๆ วิ่งตัดหน้าบ้าง ร่างดำๆ มายืนโงนเงนอยู่ข้างถนนบ้าง เล่นเอาคนขับตกใจสุดขีด โดยเฉพาะคนขับรถประสาทอ่อนถึงกับหักหลบกะทันหัน พุ่งทยานขึ้นไปบนเกาะกลางถนน บาดเจ็บสาหัสก็มี ถึงกับเสียชีวิต คาที่ก็มาก ไปตายที่โรงพยาบาลก็ไม่ใช่น้อยๆ

ที่น่าขนหัวลุกกว่านั้นก็คือ คนที่ขับรถมาคนเดียว พอเข้าโค้งมรณะก็เหลือบเห็นอะไรทางหางตา ครั้นหันขวับไปมองก็แทบช็อกคาที่เพราะมีหญิงสาวผมยาวขึ้นมานั่งเคียงข้างอยู่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ แถมหันมายิ้มหวานจ๋อยให้อีกต่างหาก

รายนี้ตกใจจนปั๊มเบรกหวิดยางไหม้ สาวสวยในยามรัตติกาลก็หายวับไป...นับว่ายังโชคดีที่ไม่มีรถแล่นตามหลังมาในระยะกระชั้นชิด ไม่งั้นอาจจะเกิดเรื่องร้ายกาจ สุดสยองเกินคาดเดาขึ้นก็เป็นได้ค่ะ

รายหนึ่งยิ่งน่ากลัวกว่านั้น คือจู่ๆ ก็หันไปเห็น ผู้หญิงหน้าตาเละเทะนั่งอยู่ข้างๆ แถมยังอ้าปากหัวเราะแหบโหยใส่ เล่นเอาสติแตก เหยียบคันเร่งกระโจนพรวดราวกับเหาะได้...ไปเบรกเอาเลยสะพานลอย รถตะกายขึ้นไปบนฟุตปาธ แต่ยังเคราะห์ดีที่เลยป้ายรถเมล์ไปแล้ว

ในที่สุด ดิฉันกับเพื่อนที่ทำงานด้วยกันแถวเอกมัยก็เจอะเจอประสบการณ์สยองสุดขีดเข้ากับตัวเอง!

บ้านเราอยู่แถวคลองประปาใกล้ๆ กัน เป้ย นั่งรถมากับดิฉันทั้งไปและกลับแต่เราเคยคิดว่าไม่มีปัญหาอะไรเพราะเช้าไปเย็นกลับ แต่วันเกิดเหตุไปงานแต่งงานเพื่อนที่โรงแรมใกล้ๆ บริษัท...กว่าจะกลับได้ก็ปาเข้าไปเกือบสี่ทุ่มแล้ว

คืนนั้นตรงกับวันศุกร์พอดี ไม่ต้องสงสัยว่าถนน รัชดาฯ จะรถติดเป็นแพขนาดไหน...ติดยันสุทธิสารเกือบ ถึงลาดพร้าว มองเห็นศาลอาญาสูงตระหง่านใกล้เข้ามา...

โค้งมรณะ! ไม่ทราบว่าดิฉันคิดถึงเรื่องนี้ได้ยังไง? ก็พอดีได้ยินเสียงเป้ยร้องกรี๊ดๆ จนแตะเบรกโดยอัตโนมัติ ถามว่าเป็นอะไรไป...พร้อมกับหันไปมอง

คุณพระช่วย! ไม่ใช่เป้ยเพื่อนรักอีกแล้วที่นั่งอยู่นั่น แต่เป็นหญิงผมยาว หน้าเขียวอื๋อกำลังหันมาอ้าปากหวอ กลิ่นเหม็นเน่าตลบไปทั้งรถ...ดิฉันได้ยินเสียงตัวเองกรีดร้อง ม่านตาลายพร่าเหยียบเบรกตัวโก่งจนรถเบียดกับฟุตบาธ ภาพสยองนั่นหายไปแล้ว...

เป้ยร้องไห้โฮ บอกว่านั่งอยู่ดีๆ ก็หันมองไปที่ต้นโพธิ์กลางเกาะ แต่แล้วก็เห็นมีอะไรบางอย่างพุ่งวูบเข้ามานั่งตักจนร้องกรี๊ดๆ ด้วยความตกใจ...ดิฉันมืออ่อนเท้าอ่อนแทบขับรถไม่ไหวไปเลยค่ะ

ใครจะว่าเราตาฝาดหรือประสาทหลอนก็ได้ แต่เราเห็นทั้งสองคนนะคะ...บรื๋อส์!

ขอบคุณ แหล่งที่มาหนังสือพิมพ์ ข่าวสด

บทความที่ได้รับความนิยม

คลังบทความของบล็อก