วันอาทิตย์ที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2557

ผี เรื่องผี เรื่องเล่าสยองขวัญ วิญญาณช่วยคน

ดาวทอง เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกเมื่อหนีระเบิดครั้งกรุงเทพฯ โดนบอมบ์

ผมเป็นคนกรุงเทพฯ มาแต่อ้อนแต่ออก ตอนที่เกิดมหาสงครามโลกครั้งที่สอง มีท่านผู้ใหญ่บอกว่ากรุงเทพฯ มีประชากรราวหนึ่งล้านคนเท่านั้นเอง...บางท่านยืนยันว่าคนน้อยแต่ผีเยอะ!

ย่านบ้านหม้อคือถิ่นผมตั้งแต่เกิด สมัยนั้นยังไม่มีปากคลองตลาด ต้นทางเรียกกันว่า "คลองโรงไหมวังหน้า" ตอนกลางเรียกว่า "คลองหลอด" มาถึงด้านนี้เรียกว่า "คลองตลาด"

ในยุคจอมพล ป.พิบูลสงคราม ฉายา "นายพลตราไก่" เพราะเกิดปีระกา ได้เป็นนายกรัฐมนตรีสั่งให้ย้ายตลาดจากท่าเตียนมาอยู่ที่ปากคลองตลาดเมื่อปี 2496 รุ่งเรืองเฟื่องฟูมาจนถึงทุกวันนี้

สมัยสงครามเครื่องบินสัมพันธมิตรบินมาทิ้งระเบิดกรุงเทพฯ ตอนกลางคืน (เรียกว่า "ปล่อยไข่เหล็ก") ตั้งแต่หัวลำโพง เทเวศร์ ราชวงศ์ยันปากคลองตลาด จนถึงสะพานพระพุทธยอดฟ้านี่ซีครับ พวกเด็กๆ ทั้งตื่นเต้นและสนุกสนานอย่าบอกใครเชียว

วัดเลียบ หรือวัดราชบูรณะถูกระเบิดถล่มแหลก ลาญ จนเหลือแต่พระปรางค์องค์เดียวเท่านั้น จนทางการต้องประกาศยุบวัด

บางคนบอกว่าเพราะโดนไข่เหล็กทิ้งบอมบ์จนราบเรียบ เลยเรียกว่า "วัดเลียบ"

มีคนแย้งว่าสมัยก่อนมีชาวจีนมาค้าขายทางเรือสำเภาคนหนึ่งชื่อจีนเลี้ยบ ต่อมาร่ำรวยขึ้นจึงสร้างศาลาเอาไว้ทำบุญ ชาวบ้านร้านช่องแถวบ้านหม้อกับปากคลองตลาดก็ช่วยสร้างเจดีย์และวิหาร เรียกกันว่า "วัดจีนเลี้ยบ" ในที่สุดก็เหลือเพียง "วัดเลียบ" มาถึงทุกวันนี้

คนไทยนิยมทำบุญที่วัดเลียบหรือวัดโพธิ์ แต่คนจีนจะไปไหว้เจ้าที่ศาลบ้านหม้อ ใกล้ๆ บ้านผมพอดี...วันนี้จะเล่าเรื่องขนหัวลุกจากบังมุดให้ฟังครับ!

"บังมุด" เป็นชายวัยกลางคน ชอบนุ่งโสร่งเก่าๆ ตัวเดียว เสื้อแสงไม่นิยมสวมใส่โชว์อกคล้ายจะอวดซี่โครงกงโก้ เดินท่อมๆ ผ่านไปมาจนคุ้นตาชาวบ้าน อาชีพรับจ้างทำงานจิปาถะ...หาได้เท่าไหร่ก็เอาไปเผาวอดวายในบ้องฝิ่นที่ซอย ท่าโรงยาจนหมดสิ้น

ว่ากันว่าแกเป็นคนจรจัด เดี๋ยวไปนอนที่วัดโพธิ์บ้าง ท่าเตียนบ้าง วัดเลียบบ้าง วันๆ ไม่เห็นแกพูดจากับใคร พวกเด็กๆ ชอบล้อเลียนบังมุดว่าเป็นขี้ยา แต่แกไม่แยแส นานๆ ถึงจะมาถลึงตาใส่ซักครั้ง ตาพองๆ ในหน้าดำๆ นั่น พวกเด็กจอมแก่นเห็นเข้าก็ถึงกับเผ่นอ้าวไปตามๆ กัน

พ่อผมเคยจ้างแกไปซื้อของกินของใช้ที่เวิ้งนาครเขษมบ้าง จ้างแกมาทำความสะอาดร้านกาแฟบ้าง บางทีก็ให้ทั้งเงินกับบุหรี่ แม่ก็ห่ออาหารให้แกไปกิน บังมุดกับที่บ้านผมค่อนข้างจะสนิทสนมผูกพันกันดี

วันหนึ่งก็มีข่าวร้าย!

เครื่องบินของสัมพันธมิตรมาหย่อนใส่กรุงเทพฯ ทั้งวัดเลียบ สะพานพุทธไม่ถึงกับขาดหรือพังทลาย แต่ก็เสียหายยับเยิน ส่วนวัดเลียบก็ราบเรียบไป

ผู้คนแถวบ้านผมอุ้มลูกจูงหลานวิ่งหนีลูกระเบิดไปลงหลุมหลบภัยกันจ้าละหวั่น...ตอนนั้นผมอายุราว 4-5 ขวบ วิ่งตื๋อนำหน้าพ่อแม่เป็นประจำ

ลือกันว่าคืนนั้นบังมุดดวงขาด ไปซุกหัวนอนในวัดเลียบ...ตายคาที่ครับ

ระยะหลังๆ ก่อนสงครามสงบไม่นาน ข้าศึกมาทิ้งบอมบ์เมืองหลวงของเราไม่เลิกรา แถมดุเดือดยิ่งกว่าเก่าด้วยซ้ำ เพราะช่วงแรกๆ จะมาตอนเดือนหงาย แต่ช่วงนี้เดือนมืดมันก็มา จุดพลุไฟสว่างจ้าแทนแสงจันทร์

คืนหนึ่ง พวกเราชาวบ้านหม้อก็ถูกหวยกันจังเบอร์!

เสียงหวอโหยหวนน่าขนลุก ฟังคล้ายเปรตขอส่วนบุญหรือยมบาลกู่ร้องไปเมืองนรก

เผ่นกันกระเจิงซีครับ เป้าหมายคือหลุมหลบภัย บางคนอยู่ดีๆ ดันมาเกิดปวดท้อง ทั้งหนักและเบาเอาตอนนี้แหละ ทุกๆ บ้านดับไฟกันหมดสิ้นเพื่อไม่ให้ข้าศึกมองเห็น ใครขืนจุดไฟจะโดนตำรวจจับข้อหาว่าเป็น "แนวที่ ห้า" หรือ สายลับของศัตรู

ผมวิ่งตื๋อนำหน้าเช่นเคย พ่อกับแม่อุ้มน้องผมคนละคน แม่ร้องให้ผมโดดลงหลุมเร็วๆ ผมก็รับคำ...แต่ก็ต้องชะงักงันที่ปากหลุม เมื่อเห็นใครคนหนึ่งแหงนหน้าขึ้นจ้องมองตาวาว...

บังมุดนั่นเอง! ผมร้องจ้า หงายหลังไปชนพ่อ แม่คว้าแขนไว้แต่ผมดิ้นรนสุดขีด ร้องร่ำแต่ว่า...ไม่ไป! ตามุดอยู่ในหลุม...ว่าแล้วก็สะบัดตัวหลุดเผ่นอ้าว พ่อแม่ต้องพลอยอุ้มน้องวิ่งตามผมมาด้วย เสียงแม่ร้องว่า... ไปไหน? แกจะไปไหน...

แทบจะไม่ขาดเสียงด้วยซ้ำ ไข่เหล็กก็หวีดหวิวชวนขวัญหายลงมาระเบิดตูมตรงหัวมุมบ้านหม้อ ตัดกับถนนจักรเพชร...อีกตูมในหลุมหลบภัย แม่นยำราวกับผี จับยัด!

ถ้าไม่เจอบังมุดที่มาเตือนภัยพวกเราคงกลายเป็นซากเละเทะในหลุมหลบภัย แบบเดียวกับเพื่อนบ้านสิบกว่าคนในหลุมนั้นแน่นอน! บรื๋อออ...

ขอบคุณ แหล่งที่มาหนังสือพิมพ์

ผี เรื่องผี เรื่องเล่าสยองขวัญ ขนหัวลุกจากถนนธัญบุรี

คนหนองเสือ เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากถนนธัญบุรี

บ้านผมอยู่ธัญบุรี ปทุมธานี เขตปริมณฑลของกรุงเทพฯ นี่เอง มีคลองรังสิตเป็นสายเลือดเส้นใหญ่ของพวกเรา

ตั้งแต่เปิดคลองในพ.ศ.2435 ร.5 โปรดเกล้าโปรดกระหม่อม พระราชทานนามว่าคลองรังสิตประยูรศักดิ์ ย่านนี้ก็กลายเป็นถิ่นเจริญ ดินดำน้ำชุ่ม คลองไปถึงไหน ไร่นาที่นั่นก็อุดมสมบูรณ์ ผู้คนเข้าไปทำมาหากินกันหนาตาขึ้นทุกที

น่าสงสารแต่บรรดา "คุณหูทิพย์" หรือโขลงช้างป่าที่ถือว่าเป็นเจ้าถิ่นตัวจริงเสียงจริงเคยอยู่กินสุขสบายมา นับร้อยปีก็จำเป็นต้องถอยร่น หลบเข้าป่าลึกไปทุกทีจนถึงเขาเขียว นครนายก ปราจีนบุรีโน่น

ทุ่งรังสิตเคยรกร้างในอดีตก็โปรดเกล้าฯ ให้เป็นเมืองธัญบุรี ในปี 2444 อีก 30 ปีต่อมาก็กลายเป็นอำเภอธัญบุรี ขึ้นต่อจังหวัดปทุมธานี ในปี 2474 มาจนถึงทุกวันนี้

หนองเสือ ธัญบุรีบ้านผมนี่ แหม...เขาลือกันว่าผีดุบรรลัยเลยล่ะครับ!

ช่วงนั้นบ้านเรือนชักจะหนาตา บ้านจัดสรรก็ผุดขึ้นหลายแห่ง ผู้คนและรถราคึกคักขึ้นทุกที แม้ว่าด้านหลังจะมีสวนส้มเขียวหวานอยู่นับร้อยไร่ เห็นว่าหนีน้ำเค็มจากบางมดมาปักหลักที่นี่

ต่อมาก็ต้องอพยพไปอยู่สิงห์บุรีบ้าง พิจิตรบ้าง เมื่อดินจืดกับความเจริญจากเมืองหลวงแผ่ขยายมาถึงรวดเร็วแทบตั้งตัวไม่ติด

ถนนเลียบคลองจากรังสิต กลายเป็นทางลัดไปนครนายก เสาร์อาทิตย์มีรถนักท่องเที่ยวผ่านไปมาขวักไขว่ อุบัติเหตุทางถนนก็เกิดขึ้นเป็นเงาตามตัว

ชนโครมเข้าถ้าไม่ตายก็คางเหลืองไปตามๆ กัน!

ที่น่าขนพองสยองเกล้ากว่านั้นคือพวกที่ขับรถพุ่งชนต้นไม้เสียงเหมือนฟ้าผ่า หรือไม่ก็พุ่งลงคลอง ส่วนมากกลายเป็นศพทั้งนั้น ผมเคยเห็นพวกมูลนิธิเขางมศพขึ้นมา มีทั้งผู้หญิงผู้ชาย แม้แต่เด็กๆ ก็ต้องพลอยจบชีวิตอย่างน่าเศร้าใจ

เรื่องผีดุก็ชักจะหนาหูขึ้นทุกที!

ไม่ใช่เรื่องราวที่พูดกันลอยๆ นะครับ แต่มีคนหวิดจับไข้หัวโกร๋นมาหลายรายแล้ว

ตอนแรกเป็นผีในทุ่งนา คนเดินผ่านได้ยินเสียงท่องน้ำจ๋อมๆ พอหันไปดูก็เงียบ แต่เดินต่อเมื่อไหร่เป็นได้ยินเสียงจ๋อมๆ เมื่อนั้น ในที่สุดก็ต้องวิ่งหนีล้มลุกคลุกคลานแทบเสียสติไปเลย

บางคนเล่าว่าขับรถกลับบ้านตอนกลางคืน เห็นคนกลุ่มหนึ่งยกโขยงมาจากสวนส้ม เดินตัวแข็งทื่อเหมือนหุ่นยนต์ บางคนบอกว่าเด็กๆ เดินแก้ผ้าล่อนจ้อนข้างทาง พอนึกได้ว่าเด็กเล็กๆ ที่ไหนจะมาเดินคนเดียวตอนดึกๆ ดื่นๆ แบบนี้?

คุณพระช่วย! เด็กเจ้ากรรมนั่นก็หายไปแล้ว!

ต่อให้ใจแข็งเป็นเหล็กเป็นไหลแค่ไหน แต่เรื่องกลัวผีนี่ไม่เข้าออกใครนะครับ นึกขึ้นได้ก็เผ่นอ้าวจนออกหูหึ่งๆ เรียบร้อยแล้ว

ยิ่งมีรถเกิดอุบัติเหตุคนตายบ่อยๆ ภูตผีปีศาจก็ยิ่งเฮี้ยนจัดขึ้นทุกที ก็มีคนเห็นร่างดำๆ เดินไปมาอยู่ข้างถนน บ้างก็นั่งร้องไห้อยู่ริมคลอง...ชะลอรถดูก็เห็นตัวเปียกโชกเชียว!

คนที่ขับรถกลับบ้านดึกๆ เห็นใครวิ่งตัดหน้าหายวูบลงไปในคลอง บางทีเห็นผู้หญิงยืนโบกรถ แต่พอจอดดูก็เห็นร่างเหวอะหวะ หน้าตาเนื้อตัวเปรอะด้วยเลือดสดๆ เล่นเอาแทบสติแตกไปเลยก็มี

ผมเคยเจอเข้ากับตัวเองจังๆ เมื่อขับรถมากับพี่น้องอีกสองคน กลับจากงานศพที่วัดพระศรีมหาธาตุ กำลังจะเลี้ยวเข้าซอยบ้านอยู่แล้ว พอดีเห็นแสงไฟพุ่งจ้าสวนมา แถมใช้ไฟสูงอีกต่างหาก เกือบจะร้องด่าอยู่แล้วเชียว แต่ก็ต้องอ้าปากค้างเมื่อเห็นรถเจ้ากรรมนั่นหักพรวดลงคลองไปดื้อๆ เสียงตูมสนั่น!

ขณะนั้นรถราบางตาแล้ว แต่ไม่มีใครแยแสหรือจอดถามไถ่เหตุการณ์เลย พวกเราผู้ชายล้วนๆ รีบลงจากรถไปดูเพื่อช่วยเหลือ ท่ามกลางอากาศเย็นยะเยือกในฤดูฝน...แต่มองเท่าไหร่ก็ไม่เห็นรถคันนั้น...

ไม่เห็นแม้แต่วงน้ำกระเพื่อมที่น่าจะปรากฏให้เห็นในแสงไฟ นอกจากสายลมพัดวูบจนหนาวสะท้านไป ทั้งตัว!

เผ่นกันขึ้นรถแทบไม่ทัน ต่างคนต่างนั่งตัวแข็ง ไม่มีใครกล้าปริปากอะไรตลอดทางจนถึงบ้าน รีบเอาน้ำมนต์มาแจกกันล้างหน้าที่ยังซีดเซียวเป็นไก่ต้มอยู่ไม่หาย... ขอให้ไปที่ชอบๆ เถอะ เจ้าประคุณเอ๋ย...

แค่นี้ก็ขนหัวลุกซู่ซ่าไปตามๆ กันแล้วครับ! บรื๋อออ....

ขอบคุณ แหล่งที่มาหนังสือพิมพ์

วันศุกร์ที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2557

ผี เรื่องผี เรื่องเล่าสยองขวัญ โรงละครเลือด

ขอเล่าตังแต่สมัยโรมันเป็นต้นมา มีบันทึกไว้จักรพรรดิโรมันนั้นชื่นชอบการละคร และการต่อสู้ที่จัดขึ้นในโครรอทเซี่ยมเป็นอย่างยิ่งเพราะในสมัยนั้นยังไม่มี ทีวีในยุคปัจจุบันซึ่งนอกจากที่เราๆจะเคยได้ยินเรื่องราวการนำทาสหนุ่มๆ มาให้สู้กันหรือสู้กับสัตว์ป่าที่จับมาจากอัฟริกาให้คนดูแล้ว 

ทาสที่จะได้เป็นไทจะต้องสามารถชนะได้ครบทุกรอบของการแข่ขันหรือว่าง่ายๆไม่ โดนฆ่าตายไปเสียก่อนนั้นเองแต่ที่ดูจะแปลกพิลึก เกี่ยวกับการเรื่องที่นำความตายมาสู่การบันเทิงแล้ว ก็คือ โรงละครเลือด

โรงละครเลือดก็คือการที่นำพวกทาสถูกมาจับแต่งตัวให้สวยงาม เป็นเทพ เทวี หรือเจ้าหญิง เจ้าชายในตำนานต่างๆ และปิดท้ายฉากสุดท้ายของละครด้วยการปล่อยสัตว์ป่าออกไปให้กินนักแสดงเหล่า นั้น โดยจักรพรรดิจะจัดละครนี้ขึ้นบ่อยและมีการจำหน่ายตั๋วสำหรับประชาชนที่เข้า มาดูละคร

โรงเลือดแห่งนี้ ในขณะที่จักรพรรดิและภิกษุณีประจำวิหาร เทวี วาสต้าผู้บริสุทธิ์จะมีทางเฉพาะสำหรับพระองค์เพื่อเดินไปสู่ที่นั่งเฉพาะใน โคลอสเซี่ยม

ขอบคุณ แหล่งที่มาหนังสือพิมพ์


ผี เรื่องผี เรื่องเล่าสยองขวัญ คนสู้วิญญาณ

เกวลิน เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกเมื่อวิญญาณจะออกจากร่าง

มนุษย์ทุกคนย่อมจะไม่มีใครหนีพ้นการ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ไปได้เด็ดขาด แต่ที่น่าสยดสยองก็คือความตาย-เวลาอันสุดโหดของมนุษย์เราทุกคน โชคดีที่ตายก่อน คือสัจธรรมค่ะ

เมื่อถึงวาระสุดท้ายของชีวิต ต้องตายแน่ๆ แล้ว ใครตายเร็วก็ทรมานน้อย แต่ถ้าใครต้องรอแล้วรออีก กระสับ กระส่าย ดิ้นรน ครวญคราง...หรือแม้ว่าจะพูดได้ แต่อาการสั่นกระตุก เกร็ง นัยน์ตาเหลือกลาน ก่อนจะวางวาย มีประกายชีวิตเหลืออยู่น้อยนิดเต็มทีแล้ว

ขอยืนยันว่าคนเราก่อนตายนั้น น่าสยดสยองยิ่งกว่าตายแล้วด้วยซ้ำไป!

บ้านเดิมดิฉันอยู่ชนบท เป็นเมืองที่ได้ชื่อว่าคนดุ ดงนักเลง มีการตีรันฟันแทงกันเป็นประจำ มือปืนขวักไขว่ ฆ่าแกงกันไป-มา ล้างแค้นกันจนถึงรุ่นลูกรุ่นหลาน

คนที่โดนยิงโดนแทงตายคาที่ หรือไปตายโรงพยาบาล มีหลายราย แต่คนที่เพิ่งโดนอาวุธเจ็บสาหัสใกล้ตาย แต่กระเสือกกระสนดิ้นรนอยู่ท่ามกลางชาวบ้านและญาติ มิตรที่ตระหนกตกใจจนทำอะไรไม่ถูก...ดิฉันคิดว่าโดนผีหลอกคงไม่น่ากลัวขนาด นี้หรอกค่ะ

ในชีวิตเคยเห็นคนดิ้นรนก่อนตายไปต่อหน้าถึงสามรายแล้ว!

น้าช้วนโดนคู่อริแทงลิ้นปี่ที่ร้านชำข้างบ้าน มือมีดขึ้นรถหนีไปแล้ว พวกเราได้ยินเสียงเอะอะโวยวายก็วิ่งมาดู ตกตะลึงพรึงเพริดไปตามๆ กันจนทำอะไรไม่ถูกแม้แต่คนเดียว

คนเจ็บนอนดิ้นรนอยู่บนพื้นซีเมนต์หน้าร้าน เลือดเปรอะเต็มอก นัยน์ตาลอยคว้างคล้ายจะไม่รู้ตัว กล้ามเนื้อกระตุกทำให้เกิดอาการดิ้นรนก่อนตาย...ประกายตาดับวูบ แววตาหมองลงทันใด

เมื่อญาติๆ น้าช้วนมาถึง จะช่วยกันอุ้มส่งโรงพยาบาล ท่ามกลางเสียงร้องไห้คร่ำครวญ ดวงตาของแกก็เลื่อน ลอยขุ่นมัวราวมีเมฆหมอกสีเทามาปกคลุม น้าช้วน หยุดดิ้น...วิญญาณล่องลอยไป

มีเสียงร่ำลือว่าผีน้าช้วนดุนัก แต่ดิฉันไม่เคยเห็นเลยสักครั้ง!

ต่อมาลุงโหมดโดนยิงมาจากดงตาล แกกระเซอะกระเซิงมาจนถึงบ้าน เห็นหน้าขาวซีด หอบฮั่กๆ พี่กิ่งแก้วเป็นพยาบาลสถานีอนามัยออกเวรมาพอดี บอกว่าเสียเลือดมากจนความดันตก หัวใจเต้นเร็วขึ้นเพื่อชดเชยเลือดที่ลดตัวในการบีบของหัวใจแต่ละครั้ง

ในที่สุดร่างกายก็ปรับตัวไม่ได้ ลุงโหมดหายใจหอบๆ แผ่วลงทุกที แต่แล้วกลับดิ้นรนเหมือนชักกระตุก พี่กิ่งแก้ว บอกว่าหัวใจไม่มีเลือดไปหล่อเลี้ยงแล้ว...สิ้นเสียง ลุงโหมด ก็สิ้นลมหายใจ

รายสุดท้ายคือพี่เดือน-ลูกผู้พี่ของดิฉันเอง!

พี่เดือนรับราชการอยู่ในกรุงเทพฯ เป็นที่พึ่งของน้องๆ ที่มาเรียนหนังสือ เธอครองโสดจน 47 ปีก็เป็นมะเร็งตับระยะที่ 4 รักษาตัวได้ไม่กี่เดือนก็รู้ว่าใกล้จะถึงวาระสุดท้ายแล้ว

ดิฉันแอบร้องไห้นับครั้งไม่ถ้วน พี่เดือนมีบุญคุณเหมือนแม่คนที่สอง ถ้าไม่ใช่เพราะความเมตตาของเธอทั้งให้ที่อยู่ ทั้งช่วยเหลือเรื่องเงินเมื่อทางบ้านส่งมาไม่ทัน รวมทั้งการแนะนำสั่งสอนต่างๆ ดิฉันคงไม่ได้มาเรียนหนังสือในกรุงเทพฯ จนจบมหาวิทยาลัยแน่นอน

ประมาณสองอาทิตย์สุดท้าย ดิฉันลางานไปเฝ้าพี่เดือน ทั้งวันทั้งคืนเพื่อทดแทนบุญคุณของเธอ...แม้ว่าเราจะไม่ได้ปริปากเรื่องนี้ ต่อกันเลย แววตาพี่เดือนที่มองมาก็บอกว่าเธอรู้ดีและขอบอกขอบใจอย่างลึกซึ้ง

"อย่าคิดมากไปเลยลิน...ความตายคือการเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง คือเริ่มไปเกิดใหม่ แต่เกิดเป็นอะไรยังไม่รู้นะ"

พี่เดือนเคยบอกยิ้มๆ ดิฉันแสบร้อนนัยน์ตา นึกภาวนาให้เธอจากไปอย่างสงบด้วยเถิด แต่จากประสบการณ์ที่ผ่านมาทำให้อดสยองล่วงหน้าไม่ได้หรอกค่ะ...จนกระทั่ง วาระสุดท้ายมาถึง!

คืนนั้นดึกแล้ว พี่เดือนอ่อนแรงลงทุกที นอนหลับๆ ตื่นๆ และมักร้องครางด้วยความเจ็บปวด ดิฉันรู้ดีว่าเธอทำใจได้แล้ว ยินดีต้อนรับความตายอย่างหน้าชื่น...แต่ร่างกาย ของเธอล่ะ มันจะยินยอมพร้อมใจด้วยหรือเปล่าหนอ?

แว่วเสียงคราง ดิฉันรีบลุกไปยืนข้างเตียงคนไข้ทันที เปิดไฟสว่างขึ้น ร้องเรียกชื่อเธอ ตกใจจนทำอะไรไม่ถูกเมื่อเห็นพี่เดือนกระสับกระส่ายดิ้นรน...แม้จิตใจจะ ยินยอม แต่ร่างกายยังต่อสู้กับความตายตามสัญชาตญาณของสิ่งมีชีวิต หวงแหนลมหายใจของตนจนถึงวาระสุดท้าย

ดิฉันกดกริ่งเรียกพยาบาล ร้องร่ำเรียกชื่อพี่เดือนซ้ำๆ กัน เห็นหน้าเธอขาวซีดเหมือนสีผึ้ง หอบหายใจลึกๆ สั้นๆ ก่อนจะหยุดนิ่ง เช่นเดียวกับอาการกระตุกที่ไหล่ทั้งสอง...ขณะที่พยาบาลสองคนผลุนผลันเข้ามา

น้ำตาไหลพรากอาบแก้ม มองเห็นใบหน้าซีดขาวของพี่เดือน ดวงตาที่ลืมค้างยุบแฟบลงจนเห็นได้ชัด...ร่างบอบบางที่ดูคล้ายซากที่ปราศจาก เลือดเนื้อโดยสิ้นเชิง!

ภาพต่างๆ ยังติดตาฝังใจมาถึงทุกวันนี้...ทำไมดิฉันจะต้องกลัวผีอีกล่ะคะ?

ขอบคุณ แหล่งที่มาหนังสือพิมพ์

ผี เรื่องผี ประสบกราณสยองขวัญ ตีกบที่หนองแค

เห่าไฟ เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกเมื่อไปตีกบที่หนองแค

สมัยเด็กผมอยู่หนองแค สระบุรี พ่อแม่ค้าขายอยู่ในตลาดใกล้ๆ บ้าน พอถึงหน้าฝนคืนไหนฝนตกพวกเราก็จะออกไปตีกบกัน ได้มากินมาขายสบายแฮ แต่เมื่อผมอายุสิบกว่าขวบพ่อก็ส่งมาเรียนหนังสือที่กรุงเทพฯ อยู่วัดหน้าตลาดเทเวศร์กับหลวงลุง ปิดเทอมทีก็กลับบ้านที

ครั้งนั้นโรงเรียนปิดเทอมเดือนสิงหาฯ กับธันวาฯ ครั้งละครึ่งเดือน เรียกว่าเทอมต้นกับเทอมกลาง มีเหตุผลว่าให้เด็กๆ กลับไปช่วยพ่อแม่ทำนา หรือช่วยเลี้ยงน้องอยู่กับบ้านก็ยังดีเพราะฤดูฝนเป็นหน้าทำนา พอถึงฤดูหนาวก็ได้เวลาเกี่ยวข้าวแล้ว

ผมไปเจอะเจอประสบการณ์สุดโหดตอนปิดเทอมต้นนั่นเอง!

ฤดูฝนก็ดีไปอย่าง ไม้ไร่เขียวชอุ่มพอๆ กับข้าวกล้าในนา อากาศเย็นสบายชวนนอน ยกเว้นวันไหนฝนตกตอนบ่ายหรือเย็น พอตกค่ำกบก็ส่งเสียงร้องโอ๊บๆ เหมือนจะยั่วเย้าชักชวนให้เราไปทำบาป...ตอนนั้นเพลงพม่าแทงกบกำลังฮิตพอดี

"ค่ำคืนเดือนหงาย พม่าขี่ควายจะออกไปแทงกบ..."

เพลงเขาว่ายังงั้น แต่พวกเราไม่ต้องขี่วัวขี่ควายหรอกครับ ฉวยตะข้อง ไฟฉาย กับท่อนไม้กำลังเหมาะๆ มือ ออกไปล่าเจ้ากบตัวโตๆ เนื้อหวานกันได้แล้ว

คืนนั้นก็เช่นกัน...ผมเพิ่งกลับบ้านได้วันเดียว ฝนเทลงมาตอนเย็นเหมือนฟ้ารั่ว พอค่ำหน่อยก็มีเพื่อนๆ มาตะโกนหน้าบ้าน...ไปตีกบกันโว้ย!

ตอนนั้นผมอายุย่าง 15 ใจคอกำลังคึก คว้าอุปกรณ์ตีกบได้ก็โดดลงไปสมทบกับเพื่อนสองคน เจ้าเต้ถือไม้ยาวแขวนตะเกียงกระป๋องนม เจ้าจ๊อดกับผมใช้ไฟฉาย 3 ท่อน ไม้คนละอัน...ที่ขาดไม่ได้คือข้องใส่กบสะพายไหล่คนละใบ

บอกตรงๆ ว่าตอนที่เดินออกทุ่งนาไปด้วยกัน ผมสังหรณ์ถึงอะไรบางอย่าง แต่จนแล้วจนรอดก็นึกไม่ออกว่าสังหรณ์ถึงอะไร? แหงนมองท้องฟ้าสีดำ ไม่มีเดือนหงาย นอกจากดาวผุดสะพรั่ง

เสียงร้องโอ๊บๆ ดังอยู่รอบตัว เราแยกย้ายกันไปพลางก้มหน้าก้มตามองหาเหยื่อเสียงหวดไม้ดังขึ้นเรื่อยๆ ตามด้วยเสียงแอ๊วๆ เหมือนเด็กอ่อน...น่าสงสารเหมือนกัน แต่ทำใจว่ามันคืออาหารของเรา...สัตว์ใหญ่ต้องกินสัตว์เล็กเป็นธรรมดานะครับ

จู่ๆ สรรพสิ่งก็ตกอยู่ในความเงียบเชียบ ราวกับโลกนี้กลายเป็นโลกร้างโดยสิ้นเชิง!

ดาวจ้องมองเยือกเย็น สายลมที่เคยพัดโชยกลับหยุดนิ่ง เสียงกบร้องที่นั่นที่นี่ก็เงียบหายไป แต่อากาศดูจะหนาวเย็นยิ่งกว่าเดิมจนผมขนลุก รู้สึกเอะใจจนเหลียวมองไปรอบๆ ตัว แต่ในความมืดสลัวกลางทุ่งนาก็มองไม่เห็นอะไรเลย

มีแสงไฟวูบวาบวอมแวมขึ้นที่นั่นที่นี่ พอจะทำให้ใจชื้นขึ้นมาบ้าง แต่ผิดสังเกตตรงที่มองเห็นปุ๊บมันก็ดังปั๊บ จู่ๆ ก็ไปโผล่ที่อื่น ยอดไม้ตามหัวคันนาเริ่มสะบัดใบซู่ซ่า ตอนแรกเล่นเอาเกือบสะดุ้ง...ไม่มีลมพัดซักนิดไหงมันสะบัดขึ้นมาได้ล่ะ?

ทุ่งนาหลายๆ จังหวัดดูจะโล่งกว้างไปหมด ผิดกับทุ่งนาบ้านผม ไม่ว่าหนองแค หินกอง เขาขาด มักจะมีต้นไม้ขึ้นอยู่ตามหัวคันนาทั่วไป ทั้งสะตือ มะเกลือ มะม่วงป่า โรงนาเล็กๆ ก็มักจะปลูกอยู่ใกล้ๆ ต้นไม้นั่นแหละ

ว่าแต่เจ้าเต้กับเจ้าจ๊อดหายไปไหนล่ะ?

ทันใดนั้นเอง ผมเหลือบเห็นแสงไฟวอมแวมอยู่กับที่ เพ่งมองให้แน่ใจก็ยังเห็นอยู่ตามเดิม....เจ้าเต้แน่แล้ว! เพราะมันใช้ตะเกียงกระป๋องนมแขวนไม้ อีกด้านหนึ่งเป็นปลายแหลมๆ สำหรับปักดิน จะได้ใช้สองมือตีกบให้ถนัด

"เต้โว้ย! วู้..." ผมตะโกนพลางย่ำดินแฉะๆ เข้าไปหา ถึงไม่ได้ยินเสียงตอบก็ไม่เป็นไรเพราะใกล้ดวงไฟเข้าไปทุกที ท่ามกลางความเปล่าเปลี่ยวเงียบเชียบ น่าวังเวงใจสิ้นดี

ผิดคาด! แทนที่จะเป็นไอ้เต้กลับเป็นพี่เพิก คนในหมู่บ้านเดียวกัน แกใช้ตะเกียงผูกปลายไม้แบบไอ้เต้กำลังจ้องมองผมยิ้มๆ ถามว่าได้กบเยอะมั้ย? ผมบอกว่าได้เกือบครึ่งตะข้องแล้ว...รู้สึกอากาศเยือกเย็นจนหนาวสะท้าน

ฟ้าร้องครืนก่อนจะคำรามแปลบปลาบ ตามมาด้วยเสียงฟ้าผ่าเปรี้ยงสนั่นจนหูอื้อ

...ไอ้เต้กับไอ้จ๊อดร้องเรียกผม ครั้นหันไปมองเห็นมันย่ำสวบสาบมาถาม ถามว่าทำไมถึงถ่อมาที่นี่ ผมก็บอกว่ามาเจอพี่เพิกนี่ไง!

"เจอใครนะ?" ไอ้เต้ตาเหลือก "พี่เพิกโดนฟ้าผ่าตายไปตั้งเกือบเดือนแล้ว"

ผมอดหัวเราะไม่ได้ หันขวับไปมองพี่เพิกก็พบแต่ความวางเปล่า รอบๆ ตัวมีแต่ความมืดสลัว เพื่อนทั้งคู่รีบชวนผมกลับบ้านทันที...เมื่อรู้แน่ว่าพี่เพิกตายไปแล้วจริงๆ ผมก็เลิกตีกบเด็ดขาดมาจนถึงทุกวันนี้...ขนหัวลุกน่ะ ซีครับ!

ขอบคุณ แหล่งที่มาหนังสือพิมพ์

วันพฤหัสบดีที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2557

ผี เรื่องผี เรืองเล่าสยองขวัญ วิญญาณสุดเฮี้ยน ผีในห้องพระ

บุษบง เล่าเรื่องขนหัวลุกแสนจะน่าอัศจรรย์ของวิญญาณสุดเฮี้ยน

วันนี้ดิฉันมีเรื่องแปลกประหลาดมาเล่าให้ฟังค่ะ มันทั้งน่าแปลกและน่ากลัวสุดๆ ที่ยังไม่เคยได้ยินได้ฟัง หรือแม้แต่เคยอ่านพบมาก่อนเลยสักครั้งเดียว!

เมื่อตอนเปิดเทอมที่ผ่านมานี่เอง สาวใช้ขอลาไปเยี่ยมแม่ป่วยหนักที่ต่างจังหวัด คิดว่าคงจะต้องอยู่ดูแลค่อนข้างนาน ไม่มีกำหนดกลับแน่นอน แต่เธอมีน้ำใจเป็นห่วงว่าดิฉันคงจะเหนื่อยมากขึ้นเพราะมีแม่ครัวอยู่คนเดียว ไหนจะสามีและลูกๆ ที่ไปทำงานและไปโรงเรียนกันทุกคน

ด้วยเหตุนี้เอง เธอจึงพาหลานสาวมาช่วยงานบ้าน ชื่อหนูอ๋อย กำลังเป็นสาววัยรุ่น เคยมาทำงานในกรุงเทพฯ ได้เดือนเศษแล้ว แต่มีปัญหากับเจ้าของบ้านเกี่ยวกับเรื่องผีๆ สางๆ อะไรนี่เอง แต่ดิฉันไม่ได้ซักไซ้ให้ยาวความ

อ๋อยเป็นเด็กน่ารัก ผิวขาวสวย ผมยาวประบ่าหน้าตาจิ้มลิ้มน่าเอ็นดู รูปร่างเล็กๆ บางๆ ไปไหนมาไหนคนก็มอง ดิฉันอดยิ้มไม่ได้...พวกนั้นคิดว่าเธอคงเป็นลูกๆ หลานๆ ของดิฉันแน่เลย

ส่วนอ๋อยก็รู้จักวางตัวดี สุภาพเรียบร้อย กิริยาวาจาอ่อนโยนนิ่มนวล ทำให้ดิฉันยิ่งเอ็นดูเธอมากยิ่งขึ้นทันที ไม่มีทีท่าอิดออดหรือเลี่ยงงาน แต่ดิฉันสังเกตได้ว่าเมื่อสั่งให้เธอไปปัดกวาดห้องพระของสามีที่อยู่ใกล้ ห้องนอน เธอจะหายขึ้นไปสักครู่แล้วกลับลงมา ก้มหน้าก้มตาหยิบฉวยการงานอื่นๆ จนทำให้ดิฉันเอะใจว่าเธอทำงานเร็วผิดปกติ

วันหนึ่งหลังจากอ๋อยลงมาแล้วรีบหลบไปหลังบ้าน ดิฉันจึงขึ้นไปดูห้องพระทันที

ตอนแรกอดระแวงไม่ได้ว่าเธอจะมือไวใจเร็ว เห็นหน้าซื่อๆ แต่มีคติว่า "รู้หน้าไม่รู้ใจ" ห้องพระก็มีพระเครื่องของสามีที่ใส่ถาดเอาไว้มากพอสมควร ไหนจะพวกเครื่องรางของขลังอีกล่ะ? ถ้าอ๋อยเกิดสะดุดตาหรือมีความรู้เรื่องนี้พอสมควร อาจจะฉกฉวยติดมือไปก็เป็นได้

ยอมรับว่าดิฉันดูไม่ออกหรอกค่ะว่ามีอะไรหายไปหรือเปล่า? แต่ที่แน่ๆ ก็คืออ๋อยยังไม่ได้ทำความสะอาดห้องพระตามที่สั่งไว้หยกๆ แน่นอน เพราะข้าวของวางอยู่ตามเดิมทุกอย่าง...ดิฉันลงมาดุอ๋อยว่ารังเกียจห้องพระ หรือไงจึงไม่ยอมทำความสะอาดเสียที?

เท่านั้นแหละค่ะ ยายอ๋อยร้องไห้โฮ ทรุดลงยกมือไหว้ดิฉันพลางบอกเสียงสั่นเครือว่าหนูกลัวค่ะคุณ...หนูไม่กล้าเข้าห้องพระจริงๆ ค่ะ

"อะไรนะ?" ดิฉันแทบผงะหน้าด้วยความตกใจ "เธอไม่กล้าเข้าห้องพระ! เธอกลัวอะไร เธอเป็นผีเหรอถึงได้กลัวพระน่ะ?"

"เปล่าค่ะ สาบานได้" อ๋อยสะอื้นไห้จนน้ำตาอาบหน้า "หนูไม่ได้เป็นผี แต่เคยโดนผีหลอกในห้องพระเมื่อเดือนที่แล้วนี่เอง...ทีนี้หนูเลยไม่กล้าเข้า ห้องพระอีกเลย คุณใช้อะไรหนูเต็มใจทำให้ทุกอย่าง ขออย่างเดียวอย่าให้เข้าห้องพระก็แล้วกันค่ะ"

และแล้วอ๋อยก็เล่าเรื่องน่าขนหัวลุกให้ดิฉันฟัง

เมื่อเข้าไปทำงานในบ้านใหญ่โตค่อนข้างเก่าแก่แห่งหนึ่งที่คลองตัน อ๋อยก็ทำงานมาด้วยความราบรื่นทุกประการ จนกระทั่งวันหนึ่ง คุณนายสั่งให้ไปปัดกวาดห้องพระชั้นบน เธอก็รีบคว้าไม้กวาดกับที่ตักผงขึ้นไปทำตามคำสั่งทันที

ห้องพระที่นั่นค่อนข้างกว้างขวาง มีโต๊ะหมู่บูชากับกระถางธูปตั้งเด่น ที่สะดุดตาก็คือภาพถ่ายในกรอบขนาดใหญ่ของชายชรากับสตรีที่แต่งกายเต็มยศ เหรียญตราแพรวพราวเต็มอก อ๋อยรีบก้มหน้าก้มตาปัดกวาดฝุ่นละอองค่อนข้างหนา เพราะรู้สึกบรรยากาศในห้องนั้นเงียบเชียบเยือกเย็นน่าวังเวงใจพิกล

"ฮะแอ้ม!!" เสียงกระแอมดังมาจากข้างฝา ทำให้เด็กสาวสะดุ้งโหยง หันขวับไปมองที่ภาพถ่ายก็เห็นหญิงชายในภาพนั้นกำลังหลิ่วตาให้เธออย่างล้อ เลียน เล่นเอาอ๋อยถึงกับขนลุกซ่า ขยี้ตาให้แน่ใจแล้วมองดูอีกครั้ง

คราวนี้ภาพนั้นเป็นปกติตามเดิม ทำให้เด็กสาวถอนใจอย่างโล่งอก คว้าไม้กวาดจะออกจากห้องอยู่แล้วแต่มีเสียงกระแอมดังขึ้นอีกครั้ง...คราวนี้ อ๋อยถึงกับเผ่นอ้าวออกมาด้วยหัวใจเต้นโครมคราม เหน็ดเหนื่อยประหนึ่งจะขาดใจตาย

อีก 2-3 วันต่อมาก็ได้รับคำสั่งให้ขึ้นไปทำความสะอาดห้องพระอีกครั้ง เด็กสาวใจเต้นระทึก แข็งใจเข้าไปยกมือไหว้พระ ปลอบตัวเองว่าพระท่านต้องคุ้มครองแน่ๆ ก็ผีกลัวพระนี่นา

ขณะง่วนอยู่กับการปัดกวาดพื้น เสียงโครมสนั่นก็ดังลั่นในความเงียบ อ๋อยหวีดร้องสุดเสียงด้วยความตกใจ หันขวับไปมองก็เห็นกรอบรูปขนาดใหญ่หล่นเปรี้ยงลงมาแตกกระจายที่พื้นห้อง เสียงหัวเราะดังกระหึ่มจนเด็กสาวล้มแผละลงก้นจ้ำเบ้า ปล่อยโฮออกมาสุดเสียงในพริบตา

เรื่องของอ๋อยจบลงตรงที่เธอขอลาออกจากงานมาอยู่กับญาติ แล้วสาวใช้ของดิฉันก็นำมาฝากให้อยู่กับเรา...ดิฉันฟังแล้วคิดตามไปด้วย ผีมีจริงหรือเปล่าก็ไม่รู้ แต่ดิฉันขนหัวลุกค่ะ!



ขอบคุณ แหล่งที่มาหนังสือพิมพ์

ผี เรื่องผี เรื่องเล่าสยองขวัญ คืนขวัญผวา

ต้น เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากวงเวียนใหญ่ในอดีต

สมัยเด็กผมอยู่ซอยอินทรพิทักษ์แถววงเวียนใหญ่ ธนบุรีนี่เอง ตอนนั้นยังไม่สว่างไสวใหญ่โตแบบตอนนี้...ถึงแม้ยามค่ำคืนจะมืดสลัวและเปล่า เปลี่ยว แต่ พวกผมเดินเข้าๆ ออกๆ มาตั้งแต่จำความได้จนอายุ 12-13 ปีแล้วครับ ถือว่าเป็นถิ่นของเราเอง ไม่ต้องเกรงกลัวอันใดให้เสียเวลา

อ้อ! แต่ต้องยอมรับว่าไม่ค่อยไว้วางใจ หรือหวาด ระแวงอะไรบางอย่างที่ไม่ว่าเด็กคนไหนก็กลัวเหมือนๆ กันทั้งนั้น...กลัวผีไงครับ! บรื๋อออ...

ถึงแม้ว่าเกิดมาจะไม่เคยโดนผีหลอกซักครั้งเดียว แต่ไอ้ความกลัวภูตผีปีศาจที่เราไม่รู้จักนี่เป็นเรื่องช่วยไม่ได้จริงๆ ไม่ว่าเด็กคนไหนก็คนนั้น ลองไต่ถามดูเถอะครับ รับรองว่าร้อยทั้งร้อยกลัวผีกันทั้งนั้นแหละคุณเอ๋ย

วันดีคืนร้าย ผมกับเพื่อนซี้ชื่อไอ้นงก็โดนผีหลอกเข้าเต็มเปา!

ลืมบอกไปว่า "ไอ้นง" นี่เป็นผู้ชายนะครับ ไม่ใช่กระแดะชื่อนงนุชหรือนงคราญแบบผู้หญิงสมัยนั้น แต่มันชื่อ "ทนง" ครับ แหม...ฟังดูแมนซะไม่มี แต่เพื่อนฝูงชอบเรียกง่ายๆ ว่า "ไอ้นง"

สาเหตุเพราะค่ำนั้นเราอยากไปดูหนังที่เฉลิมเกียรติใกล้ๆ บ้าน ค่าดูคนละ 4 บาท 50 สตางค์ แต่อาศัยว่าเราคุ้นหน้าคุ้นตากับคนเฝ้าประตูก็เลยซื้อตั๋วแค่ใบเดียว เงินที่เหลือเก็บเอาไว้หม่ำก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้นกับไอศกรีมกะทิสดชุ่มฉ่ำก่อน กลับบ้าน

ที่ว่าซื้อตั๋วใบเดียวแต่เข้าได้สองคนน่ะไม่ใช่ว่าได้นั่งเก้าอี้คนละตัวนะ ครับ แต่ต้องนั่งเบียดกันบนเก้าอี้ไม้แข็งโก๊กตัวเดียว แถมใกล้จอซะจนต้องหันซ้ายหันขวามองตามดารา ไอ้นงมันถึงกับออกปากว่า "ใกล้จอจนกูเกือบเอื้อมมือไปจับนมนางเอกได้เลยว่ะ"

ก็ทะลึ่งตึงตังตามประสาเด็กผู้ชายกับเพื่อนฝูง ถือว่าเป็นเรื่องธรรมดา แต่ถ้าใครเห็นว่าบาดหูบาดตาก็ต้องขอประทานอภัยอย่างแรง

"นักเลงป่าสัก" คือหนังบู๊เลือดท่วมจอสุดมันส์ พระเอกคือสมบัติกับนาท นางเอกคืออรัญญากับนัยนา เวลาฉากบู๊สะบั้นหั่นแหลกจะมีเสียงตบมือตีตีน เป่าปากเปี๊ยวป๊าว บ่งบอกถึงความสะใจแฟนหนังบู๊วัยมันส์ได้เป็นอย่างดี

เกือบสามชั่วโมงแน่ะกว่าหนังจะจบ เราออกมาโจ้ของโปรดแถวร้านแผ่นเสียงโรสซาวด์ตราดอกกุหลาบ ที่ทุกวันนี้กลายเป็นบริษัทใหญ่โตคือ อาร์เอสนั่นไงครับ

อิ่มหนำสำราญเรียบร้อยก็ชวนกันตีต๊อกเลี้ยวซ้ายกลับบ้าน!

จากแสงสีสดสวย สว่างไสว รถรากับผู้คนคึกคัก น่าอบอุ่น กลับต้องเดินเข้าซอยอันมืดสลัว เงียบเชียบ อากาศในฤดูหนาวค่อนข้างเยือกเย็น...มีแต่เสียงฝีเท้าของเราดังเป็นเพื่อน เท่านั้น จนผมต้องหันหลังไปดูว่าจะมีใครเข้าซอยบ้านมา พอจะทำให้อุ่นใจได้บ้าง แต่ก็ไม่มีเลยแม้แต่คนเดียว

เท่ากับในซอยเปล่าเปลี่ยวน่าวังเวงใจ หน้าถังทุกร้านปิดสนิทหมดสิ้น...มีแค่เราสองคนตุหรัดตุเหร่เหมือนวิญญาณ พเนจรร่อนเร่ไปตามลำพัง เล่นเอาปากคอแห้งผากจนต้องก้าวเท้าเร็วขึ้น

ก๊อกๆๆ

เสียงฝีเท้าดังขึ้นข้างหลัง ตอนแรกยังคิดว่าเป็นเสียงสะท้อนของรองเท้าเราเอง แต่เมื่อเราหยุดเดินเสียงนั้นก็ยังดังต่อไป แถมใกล้เข้ามาทุกที...เล่นเอาไอ้นงที่คงใจคอไม่ค่อยดีเหมือนกันถึงกับถอนใจ เฮือกด้วยความโล่งอก

"ได้เพื่อนแล้วโว้ยเรา..." ว่าแล้วมันก็หันไปมองพร้อมๆ กับผม ปรากฏว่าเป็นชายร่างใหญ่ในชุดสีทึบกำลังเดินตามมาช้าๆ ท่าทางไม่รีบร้อนอะไร...แน่ล่ะ! ผู้ใหญ่อย่างเขาคงไม่มามัวหวาดกลัวเรื่องภูตผีปีศาจ เหมือนเด็กๆ อย่างเราแน่นอน!

น่าแปลกอย่างที่เขาเดินช้าๆ แต่กลับประชิดเราเข้ามาทุกที ขณะที่กลิ่นสาบสางกระจายมาเข้าจมูก เกือบพร้อมๆ กับหมาเจ้ากรรมที่ก้นซอยก็โก่งคอหอนโจ๋วเสียงเยือกเย็นจับใจ

"ไม่รู้จะเห่าหอนหาพ่อหาแม่อะไรของมัน" ไอ้นงด่าพึม เร่งก้าวยาวๆ โดยมีผมตามติดแต่เสียงฝีเท้าของชายประหลาดนั่นก็กระชั้นเข้ามาทุกที

กลิ่นเหม็นเหมือนหนูเน่ายิ่งตลบอบอวลมาเข้าจมูกจนแทบสำลัก ไอ้นงหันขวับไปมองอีกครั้ง คราวนี้เสียงเหมือนสำลักลมหายใจดังขึ้นทำให้ผมต้องหันไปดูมั่ง แต่ก็ยังไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร จนกระทั่งเสียงสั่นเครือแทบจะร้องไห้ของไอ้นงดังกระเส่า

"มึงเห็นมั้ย? มันเดินมาได้ยังไงวะ...ก็ขามันไม่มีทั้งสองข้าง"

นรกเป็นพยาน! ผมรู้สึกเหมือนมีน้ำเย็นเฉียบสาดโครมลงบนหัว เมื่อเห็นชายที่เดินตามหลังเรามาติดๆ นั้นมีร่างกายแค่ลำตัวท่อนบนเท่านั้นเอง!

โลกกำลังถล่ม ฟ้ากำลังทลาย สีเขียวๆ แดงๆ แตกกระจายเต็มหน้า เสียงไอ้นงร้องไห้โฮ...ส่วนผมวิ่งเตลิดไม่คิดชีวิต เสียงหมายิ่งเห่าหอนดังขรมถมเถ...พอเข้าบ้านได้ก็ล้มแผละ น้ำตาร่วงพรูเพราะสุดจะทนได้ไหว...ตั้งแต่นั้นมาเราไม่ยอมกลับบ้านค่ำๆ มืดๆ อีกเลยครับ...บรื๋อส์!!

ขอบคุณ แหล่งที่มาหนังสือพิมพ์

พบ “กระดูกมนุษย์โบราณ“ กลางทุ่งนา คาดอายุกว่า 1,500 ปี


นำเสนอข่าวโดยทีมงาน Sanook.com

ชาวบ้านใน จ.นครราชสีมา ขุดพบกระดูกมนุษย์โบราณ พร้อมเครื่องปั้นดินเผาจำนวนมากกลางทุ่งนา ก่อนนำโครงกระดูกมนุษย์รวมถึงข้าวของเครื่องใช้ที่ขุดพบไปทำบุญอุทิศส่วนกุศล 7 วัน ขณะที่กรมศิลปากรคาดมีอายุกว่า 1,500 ปี

วันนี้ (26 มิ.ย.) ผู้สื่อข่าวประจำจังหวัดนครราชสีมา รายงานว่า มีชาวบ้านใน อ.โนนสูง จ.นครราชสีมา ขุดพบโครงกระดูกมนุษย์ และเครื่องปั้นดินเผาโบราณจำนวนมาก โดยจุดที่ขุดพบเป็นบริเวณทุ่งนา บ้านโคกสูง ม.1 ต.โคกสูง อ.เมือง จ.นครราชสีมา ซึ่งเป็นพื้นที่นา ของนางจันทร์ พาดโคกสูง อายุ 65 ปี ชาวบ้านบ้านโคกสูง ขณะกำลังขุดดินขึ้นมา เพื่อขุดลอกที่นาให้มีความลึกจากเดิม ประมาณ 1 เมตร ด้วยรถแบคโฮ ก็ต้องตกใจ เมื่อพบเศษโครงกระดูกมนุษย์ รวมถึงเครื่องปั้นดินเผาสมัยโบราณ ถูกฝังอยู่ภายในดินเป็นจำนวนมาก

ซึ่งหลังจากขุดพบดังกล่าว นายแหลมทอง วัฒนา นายกเทศมนตรีตำบลโคกสูง ก็ได้นำป้ายไปติดประกาศห้ามชาวบ้านเข้ามาขุดหาวัตถุโบราณเพิ่มเติม พร้อมกับลงพื้นที่เข้าไปชี้แจงและทำความเข้าใจกับชาวบ้านที่พากันมาขุดหาวัตถุโบราณ ซึ่งภายหลังกรมศิลปากรที่ 12 นครราชสีมา เข้าไปเก็บวัตถุโบราณที่ขุดพบ และอยู่ในขั้นตอนการนำกลับไปตรวจพิสูจน์ ทางชาวบ้านได้ขออนุญาตนำโครงกระดูกมนุษย์ รวมถึงข้าวของเครื่องใช้ที่ขุดพบ นำไปทำบุญอุทิศส่วนกุศลที่วัดลำเชิงไกร ม.9 ต.โคกสูง อ.เมือง จ.นครราชสีมา ตามความเชื่อ

โดยนางอุดร อินชู อายุ 40 ปี ชาวบ้านที่ช่วยขุดหาวัตถุโบราณ เล่าว่า หลังจากขุดเจอโครงกระดูกมนุษย์ และข้าวของเครื่องใช้โบราณ ก็ได้ปรึกษาหารือกับชาวบ้าน ว่าจะนำมาทำบุญให้ 7 วัน ซึ่งหลังจากนำมาทำพิธีที่วัดเพียงวันเดียว หลานสาวตนก็ฝันประหลาด โดยฝันว่ามี 2 ตายาย มาหา บอกว่า ขอบใจที่ช่วยนำกระดูกขึ้นมาทำบุญ ซึ่งหลังจากชาวบ้านที่ทราบข่าว ก็พากันเชื่อว่า โครงกระดูกที่ขุดพบ เป็นโครงกระดูกของบรรพบุรุษของชาวบ้าน ซึ่งหลังจากได้ทำบุญครบ 7 วันแล้ว ชาวบ้านคงต้องรอทางสำนักศิลปากรที่ 12 นครราชสีมา เข้ามาแจ้งว่าจะดำเนินการอย่างไรต่อไป

ด้านนายแหลมทอง วัฒนา นายกเทศมนตรีตำบลโคกสูง กล่าวเพิ่มเติมว่า หลังทราบข่าวว่าขุดพบโครงกระดูกมนุษย์โบราณ ตนก็ได้ประสานไปยังสำนักศิลปากรที่ 12 นครราชสีมา ให้เข้ามาทำการตรวจสอบ ซึ่งเบื้องต้นพบว่าเป็นโครงกระดูกมนุษย์โบราณ มีอายุไม่ต่ำกว่า 1,500 ปี โดยตนได้นำป้ายมาติดประกาศห้ามชาวบ้านเข้ามาขุดหาเพิ่มเติม พร้อมกับได้จัดเจ้าหน้าที่มาคอยดูแลรักษาความปลอดภัย บริเวณศาลาการเปรียญวัดลำเชิงไกร ซึ่งเป็นสถานที่ทำบุญให้กับโครงกระดูกทั้งหมด เพื่อป้องกันมิจฉาชีพฉวยโอกาสเข้ามาก่อเหตุลักขโมยแล้ว

ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า ก่อนหน้านั้น เมื่อปี 2526 ก็ได้มีผู้ขุดพบโครงกระดูกมนุษย์โบราณ และเครื่อปั้นดินเผา รวมทั้งเครื่องใช้สัมฤทธิ์อีกมากมาย ที่บ้านปราสาทใต้ หมู่ 7 ต.ธารปราสาท อ.โนนสูง จ.นครราชสีมา ซึ่งทางกรมศิลปากรได้พิสูจน์แล้วว่าเป็นแหล่งอารยธรรมเก่าแก่ ของกลุ่มวัฒนธรรมแบบทวารวดีและแบบเขมรโบราณ ช่วงระหว่าง 1,500-3,000 ปีมาแล้ว ซึ่งกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวทางวัฒนธรรมโบราณที่สำคัญของจังหวัดนครราชสีมาในปัจจุบัน

วันเสาร์ที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2557

ผี เรื่องผี เรื่องเล่าสยองขวัญ ปีศาจบ้ากาม

ครูดาว เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกเมื่อเผชิญปีศาจบ้ากาม

สมัยสาวๆ ฉันอยู่ห้องเช่าในซอยองครักษ์ บางกระบือ เพื่อนร่วมห้องคือพิสมัย สาวเมืองเลย ผิวขาวผ่อง ผมยาวดำขลับ หน้าตาสวยมาก รูปร่างก็อวบอัดสมส่วนชนิดที่ผู้ชายถึงกับมองเหลียวหลังไปตามๆ กัน

ส่วนดิฉันเป็นคนปทุมธานีนี่เอง รูปร่างหน้าตาพื้นๆ แต่เราก็รักใคร่กันมากที่สุด ตอนเช้าก็ขึ้นรถศิริมิตรไปสอนหนังสือที่โรงเรียนเดียวกันแถวบางซ่อน ตอนเย็นก็กลับมาหาอาหารกินก่อนเข้าห้องพัก ส่วนมากจะหนีไม่พ้นจากหน้าโรงหนังบางกระบือเธียเตอร์

พวกวัยรุ่นชอบเรียกกันอย่างคะนองปากว่า "เฉลิมบือ"

เรานอนในห้องชั้นล่างซึ่งค่อนข้างกว้างและติดกับห้องน้ำ ฉันนอนเตียงเล็กๆ ข้างฝาถัดไปด้านในเป็นเตียงพิสมัย สมัยนั้นราวสองทุ่มเศษก็ดูเงียบเชียบไปเกือบหมดแล้ว มีแสงไฟฟ้าข้างทางส่องผ่านหน้าต่างเข้ามาเพียงสลัวๆ เท่านั้น

ตอนมาอยู่ใหม่ๆ ฉันใจคอไม่ค่อยดีเหมือนกันเพราะกลัวทั้งผีทั้งคน!

เรื่องผีพอจะอุ่นใจที่แม่ให้ยันต์หลวงพ่อศรีเทพจากวัดเทพนารีบางพลัดมาคุ้ม ครอง แต่เรื่องคนต้องคอยระวังตัวเอาเอง เพราะซอยองครักษ์ตอนนั้นยังมีบ้านเรือนไม่กี่สิบหลัง สุดซอยเป็นสวนลึกที่ได้ข่าวว่ามีพวกติดยามาส้องสุมสูบเฮโรอีน หรือเรียกว่า "ไอระเหย" ตั้งฉายาว่า "สิงห์แค็ป" เวลาออกไปสอนหนังสือก็มีแต่กุญแจเฝ้าบ้าน โชคดีที่ฝากฝังเพื่อนบ้านช่วยดูแลให้ แม้ว่าเราจะไม่มีสมบัติพัสถานอะไรเป็นชิ้นเป็นอันก็ตาม

แต่จู่ๆ ก็เกิดเรื่องสยดสยองขึ้นในตอนกลางดึกนั่นเอง!

คืนแรกดิฉันไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรด้วยเลย รู้สึกกึ่งฝันกึ่งจริงว่าได้ยินเสียงใครปล้ำกันอึกอัก หอบหายใจแรง ห้องนอนสะท้านสะเทือนนิดๆ แต่แล้วสรรพสิ่งก็ค่อยจางหายไป...อาจเป็นเพราะความง่วงงุนที่ทำให้ฝืนรู้สึก ไม่ไหวก็เป็นได้...แต่พอรุ่งเช้าถึงได้พบกับสาเหตุแท้จริง!

นั่นคือพิสมัยนอนคว่ำหน้าสะอึกสะอื้นอยู่บนเตียง เล่นเอาดิฉันตกใจ วิ่งไปเขย่าตัวแรงๆ จนเธอพลิกหน้ามา...คุณพระช่วย! หน้าตาแดงช้ำราวกับถูกทุบตีทารุณ เสื้อแสงก็ขาดกระเจิงจนเห็นก้อนเนื้อขาวๆ บางส่วน พิสมัยร้องร่ำอีกครั้งก่อนจะคว้าผ้าห่มมาคลุมร่าง ร้องไห้โฮ...

ดิฉันสับสนไปหมด ใจเต้นแรง ถามซ้ำๆ ซากๆ ว่า...เธอเป็นอะไร? เกิดอะไรขึ้น?

ในที่สุดเพื่อนสาวก็เช็ดน้ำตาจนแห้งแล้วหลุดปากว่า...ไอ้ผีนรกมันมาข่มขืนฉันน่ะซี!

ฉันอ้าปากค้าง พิสมัยก็พยุงกายขึ้นมาเสยผม นัยน์ตาแดงช้ำ เล่าว่า...ขณะที่เธอหลับสนิทก็ต้องตกใจตื่นเมื่อมีร่างดำทะมึน เหม็นสาบเหม็นสางกำลังโถมเข้ากอดรัดปลุกปล้ำ ทั้งจูบไปทั่วหน้าและทรวงอก คลึงคลำขยำขยี้ไม่ปรานี ปราศรัยจนเธอหวีดร้องด้วยความเจ็บปวดแทบขาดใจ

เดนนรกตนนั้นยิ่งหอบหายใจหนักหน่วง คำรามฮึ่มฮั่ม อย่างสะใจ มือหยาบหนาอุดปากไว้ อีกข้างหนึ่งฉีกกระชากผ้าผ่อนจนเธอแทบจะเหลือแต่ตัวล่อนจ้อน ลมหายใจเหม็นๆ พุ่งเข้าใส่ ร่างอุบาทว์เบียดเสียด ยัดเยียดความเป็นผัวให้จนเธอสิ้นสติไป

ฉันประคองเธอไปอาบน้ำชำระกาย พิสมัยนิ่วหน้า บ่นพร่ำแต่ว่าอยากจะฆ่าตัวตายให้พ้นทุกข์ ฉันก็ปลอบโยนไปตามเรื่อง แต่พิสมัยน้ำตาร่วงพรูเมื่อหลุดปากว่า...มันบอกคืนนี้จะมาหาอีก!

"ถ้างั้นก็ต้องเจอดี ไอ้ผีนรก!" ฉันคำรามอย่างลืมตัว

ยันต์วิเศษของหลวงพ่อศรีเทพไงคะ แม่บอกว่าท่านขลังทางเมตตามหานิยม ทำมาหากินเจริญดี มีแต่คนรักใคร่...กับมีอิทธิฤทธิ์เหนือภูตผีปีศาจทั้งหลายอีกด้วย

วันนั้นเราโทรศัพท์ไปลางานทั้งคู่ ดิฉันไปหาซื้ออาหารมาแบ่งปันกันกิน ชวนเพื่อนพูดคุยเรื่องสนุกๆ ให้เพลิดเพลิน จะได้ไม่หมกมุ่นกับราตรีสยองขวัญที่กำลังจะใกล้เข้ามาทุกที

"คิดแล้วก็แปลกนะ" ฉันพูดขำๆ "ไอ้เราอุตส่าห์นอนใกล้ประตูแท้ๆ หนอย! ไอ้ผีตาเซ่อดันมองไม่เห็นคนสวยซะงั้นแหละ ดีล่ะ! คืนนี้ต้องสั่งสอนมันซะหน่อย"

เลยค่ำไปนานแล้ว...เราดับไฟเข้านอนตามปกติ ฉันตระเตรียมยันต์วิเศษไว้ใต้หมอน ถ้าไอ้เดนนรกบ้ากามบุกบั่นมาด้วยความย่ามใจ หมายจะตักตวงรสสวาทดูดดื่มให้หนำใจจากเพื่อนฉันอีก สาบานได้ว่าฉันจะตะเพิดมันกลับลงขุมนรกตามเดิมแน่นอน!

นรกเป็นพยาน! ห้องเราไหวเอี๊ยด กลิ่นเหม็นสาบสางแผ่ซ่าน พิสมัยใช้ฟันกัดขอบผ้าห่มแน่น เบิกตาโพลง...ฉันเพิ่งเห็นร่างกำยำดำทะมึน สูงตระหง่านผิดมนุษย์กำลังย่างสามขุมเข้าไปหาเธอ ยอมรับว่าใจระทึก ปากคอแห้งผาก ควานมือสั่นๆ ไปใต้หมอนจนพบกับผ้ายันต์หลวงพ่อศรีเทพ

เกือบพร้อมๆ กับที่มันโถมเข้าใส่พิสมัย เสียงเธอร้องกรี๊ด ฉันก็โดดผึง กางผ้ายันต์ลงอักขระตะปบเข้าที่แผ่นหลังมันทันที ร่างนั้นผวาเยือก กระตุกเร่าๆ เหมือนโดนจี้ด้วยไฟฟ้าแรงสูง

"อ๊ากซ์!! โอ๊ยยย..." มันพลิกหน้ามาเห็นนัยน์ตา แดงจ้า แต่แล้วก็ต้องสั่นเทิ้มไปทั้งตัว...พิสมัยร้องกรี๊ดๆ ไม่ขาดเสียง จนร่างปีศาจนรกเลือนรางจางหาย...เราโผเข้ากอดกันร้องไห้โฮเลยค่ะ!

ขอบคุณ แหล่งที่มาหนังสือพิมพ์

เรื่องเล่าในต่างแดน ปีศาจแห่งวิหารวิทบี้ ประเทศอังกฤษ

พูดถึงเรื่อผี จะมีสักกี่คนที่รู้ว่าผีเหล่านั้นทนทุกข์ทรมานแค่ไหนก่อนที่จะจบชีวิตลง หลายครั้งการทรยศหักหลัง ของคนรักคือปมสำคัญที่ทำให้สร้างกรรม ต่างๆนาๆตามมา

วิหารนี้สร้างมาพันกว่าปีแล้ว ตั้งแตยุคหลังพระคริตส์ประสูติผ่านไปได้ 657 ปี สร้างโดยชนเผ่า แองโกล-แซกซอน ยุคแรกที่บุคเข้าไปตั้งรกรากในอังกฤษ วิหารนี้อยู่ในสังกัตนิกาย เบเนดิกไทต์ มีแม่อธิการของวิหารคือ แม่ชี ฮิลล์ด้า หรือ เซนต์ ฮิลล์ด้า ผู้ซึ่งได้ตำแหน่งแม่อธิการโบสถ์ใหญ่แห่งนี้มา เพราะนางมีศักดิ์เป็นลูกสาวของลูกพี่ลูกน้อง ของกษัตริย์ในเวลานั้น

วิหารนี้เต็มไปด้วยเรื่องราวลี้ลับมากมาย ไม่ว่าจะเป็นสถานที่เพียงแห่งเดียวที่น่าแปลกว่า ไม่เคยมีนกทะเลบินโฉบไปเฉี่ยวมา แถวนั้นเช่นบริเวณอื่น เพราะมีตำนานว่า เซนต์ ฮิลล์ด้าได้ตั้งคำสาปเอาไว้ ทุกวันนี้ มีผู้คนมากมายยังคงเห็นวิญญาณของนาง ปรากฏตัวตามส่วนต่างๆของวิหารบ่อยครั้ง แต่นั้นก็ยังไม่สร้างวามสะพรึงกลัวเท่ากับวิญญาณอีกตนที่สิงค์สถิตย์ อยู่ที่วิหารนี้เช่นกัน

วิญญานตนที่สองที่สิงค์สถิตย์และสร้างความสยองขวัญให้แก่บรรดานักท่องเที่ยวมากที่สุดก็คือ วิญญาณของ นักเรียนแม่ชีสาว นามว่า คอนสแตนส์ เดอ เบเวอร์รี่ ซึ่่งเรื่องโศกนาฏกรรมของนางนี้ แม้แต่กวีชาวอังกฤษชื่อดัง อย่างเซอร์ วอลเตอร์ สกอต ก็ยังนำไปเขียนเป็นนิยาย

คอนสแตนส์ เดอ เบเวอร์รี่ เป็นแม่ชีสาววัยไม่เกิน 20 เธอเป็นลูกสาวของชาวบ้านในย้านนั้นที่หวังจะให้ลูกสาวได้รับการศึกษา

ด้วยการมาเป็นแม่ชีตั้งแต่เด็กๆที่ วิหาร วิทบี้ ของ เซนต์ ฮิลด้า แต่แต่เรื่องความรักก็ไม่เคยเข้าใครออกใคร แม้แต่กับแม่ชีสาว ที่สาบานตนจะเป็นชีตลอดชีวิต คอนสแตนส์ เกิดตกหลุมรักในความหล่อเหลา และท่าทางอันเป็นวีรบุรุษของ อัศวินหนุ่ม ลูกขุนนางผู้หนึ่ง

ซึ่งมีนามว่า ลอร์ด มาเมี่ยน และอัศวินหนุ่มเองก็ดูจะมีท่าทีชอบพอนางเช่นกัน ทั้งสองเจอกันในระหว่างที่ มาเมี่ยนไปฟังเทศน์ที่โบสถ์ ที่แม่ชีสาวอาศัยอยู่

และแล้วในที่สุดการลักลอบเจอกันก็เกิดขึ้น มาเมี่ยนได้พาแม่ชีสาวไปอยู่กับเขา ชายหนุ่มสาบานจะรักเธอจนวันตาย….. จนแม่ชีสาวตกลงปลงใจมีความสัมพันธ์ด้วย

แต่แล้ว อัศวินหนุ่มก็เปลี่ยนใจ เมื่อพ่อของเขาแนะนำให้เขาแต่งงานกับ เลดี้ คลาร่า เดอ แคลร์ ซึ่งเป็นลูกสาวของเจ้าที่ดินผู้ใหญ่ อัศวินหนุ่มจึงนำแม่ชีสาวที่เขาลักลอบพาหนีไป มาส่งคืนยังวิหาร วิทบี้ บอกกับนางว่าทั้งคู่จะเก็บเรื่องนี้เป็นความลับ แต่เขาไม่ 


สามารถแต่งงานเปิดเผยกับนางได้เพราะนางเป็นแม่ชี และเขาก็จากไป เมื่อนั้นเองที่แม่ชีสาวตรอมใจจนแม่ชีในโบสถ์ และชาวเมืองรู้ความจริงไปทั่วว่านางทำผิดปะเวณี การไต่สวนจึงเกิดขึ้น แม่ชีสาวได้รับโทษให้ขังตาย นางโดนจับล่ามไว้ บนห้องขังมืดๆในส่วนหนึ่งของวิหารก่อนที่จะมีช่างมาโบกปูนปิดผนังตายไม่ให้นางออกไปไหนและตายในนั้น

เล่ากันว่า คอนสแตนส์ เดอ เบเวอร์รี่ แม่ชีสาวผู้โชคร้ายร้องไห้ครวญคลางอยู่ในห้องนั้นทั้งวันทั้งคืน อยู่หลายวันกว่าจะขาดใจตาย

ทุกวันนี้ยังมีคนเห็นวิญญาณของนางปรากฏตัวที่หน้าต่างห้องที่ถูกขัง และที่บันไดใกล้ๆกัน นอกจากนี้ หลังเที่ยงคืนยังมีคนได้ยินเสียง ผู้หญิงกรีดร้องครวญครางมาจากวิหาร วิทบี้อีกดวย นักท่องเที่ยวมากมายถ่ายภาพติดวิญญาณของนางบ่อยครั้ง

ส่วนอัศวิหนุ่ม ผู้ล่อลวงแม่ชีสาวไปมีอะไรด้วยและไม่ยอมแต่งงาน ก็ได้รับผลกรรมของเขา มาเมี่ยนทุกข์ใจไม่น้อยหลังจากที่ได้ข่าว คอนสแตนส์โดนขังตายในวิหาร เขาไปออกรบและโดนแทงตายในสงคราม ในเวลาต่อมานั่นเอง

ขอบคุณ แหล่งที่มาหนังสือพิมพ์  


วันพฤหัสบดีที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2557

ผี เรื่องผี เรื่องเล่าสยองขวัญ วิญญาณเฮี้ยน

จอย เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากวิญญาณเฮี้ยน

พ่อแม่เคยเตือนฉันแล้วว่าอย่าไปเช่าห้องอยู่คนเดียว ทางที่ดีคือพักอยู่บ้านญาติดีกว่า อย่างน้อยก็มีผู้ใหญ่คอยดูแล คอยตักเตือนถ้าเห็นอะไรไม่ชอบมาพากลขึ้นน่ะ

บ้านน้าสาวฉันก็อยู่ที่สะพานใหม่ ใกล้ๆ กับสถานศึกษานะ น้าอิ๋วก็ใจดีมาก ลูกๆ ก็น่ารัก เสียแต่น้าเขยนี่ซีคะ รูปหล่อปากหวาน ชอบพูดจาเจ๊าะแจ๊ะแบบหมาหยอกห่านอยู่ร่ำไป นัยน์ตาที่มองก็เหมือนตางู ยิ่งตอนดื่มเหล้าด้วยแล้วนัยน์ตายังกะมีมือมาแตะต้องลูบคลำเนื้อตัวยังงั้น แหละค่ะ

นึกถึงแล้วขนลุกขนชันไปหมด ใจคอก็พลอยตึ้กๆ ตั้กๆ ซะงั้น ตัดสินใจว่าไปอยู่หอดีกว่า เดี๋ยวฉันซวย!

โชคดีที่ได้ห้องติดๆ กับจุ๋มเพื่อนซี้ ปากจัดราวกับอมตำแย ใครเผลอเป็นโดนกัด...ถัดไปก็คือเสริมศักดิ์ หวานแหววแต๋วจ๋าทั้งที่ตัวสูงใหญ่เหมือนหมี น้ำหนักคงไม่ต่ำกว่า 80 ก.ก. พวกเราล้วนอยู่คนเดียวเพราะชอบไปรเวซี่มากๆ แต่ก็ไปมาหาสู่กันบ่อยๆ

ตอนเย็นวันนั้นก็เช่นกัน!

จุ๋มซื้อซาลาเปาหมูแดงมากินกันในห้องฉัน โทร.เรียกเสริมศักดิ์มาร่วมวง ปรากฏว่าเพิ่งจะกลับหอ ผลักประตูเดินเลื้อยเหมือนงูเขียวเข้ามา พร้อมกับฝรั่งดอง มะกอก มะยมกับองุ่นดองถุงใหญ่ จุ๋มถามว่าแพ้ท้องหรือไง? เพื่อนเราก็ทำตาลอยแบบเคลิ้มฝันทันที

"จวนแล้ว เชื่อมั้ยตัวเอง ฉันไปเจอสุดหล่อที่หน้าหอเมื่อตะกี้! โหย...เห็นแล้วเสียววาบ เข่าอ่อน แต่...ตัวแข็งทื่อไปหมด ผู้ชายอะไรมันจะหล่อลากดินซะ! ทอลล์ ดาร์กแอนด์แฮนซั่มซะไม่มี แถมไม่ใช่พวก กทม. เก๊กทำแมน! เขาถามว่าชมพู่ซื้อของกินไปฝากใครเยอะแยะ? ว้าย...ตายแล้ว! เสียงเอ๊กโค่ฟังแล้วเปรี้ยวปากเปรี้ยวลิ้น..."

"อยากกินหญ้าปั่นมั้ยนังบ้า? เดี๋ยวจะทำให้กิน" จุ๋มเลิกคิ้วขัดคอ เล่นเอาเสริมศักดิ์ค้อนควักๆ

"หล่อนเอาไว้ยัดทานเองเถอะย่ะ ฉันอยากหม่ำซาลาเปามากกว่า"

"กินมากๆ นะเสริม แกยิ่งซูบๆ อยู่"

"ฮ้า? อย่างฉันน่ะเรอะซูบ..."

"ฮื่อ! ซูบกว่าช้างหน่อยน่ะ"

"นังชะนีบ้า! ปากไม่มีหูรูด เดี๋ยวเอาซาลาเปายัดปากเลย! แต่ฉันยัดปากตัวเองดีกว่า...นึกถึงสุดหล่อคนนั้นแล้วใจมันวิ้วหวิว"

ขณะที่เรากำลังเย้าแหย่กันเพลินๆ เสียงร้องเอะอะก็ดังมาจากหน้าห้อง พอเปิดประตูไปดูก็ได้ข่าวว่านักศึกษาห้องชั้นล่างโดนรถเบรกแตกพุ่งเข้าชน ใกล้ๆ รถเข็นขายผลไม้ดอง...อาการสาหัสทั้งคู่

เสริมศักดิ์เผ่นนำหน้าพวกเราลงไปดู รถตำรวจกับมูลนิธิเพิ่งมา...ท้องฟ้ายามเย็นดูร่มครึ้ม ร่างคนเคราะห์ร้ายทั้งสองนอนจมกองเลือดแน่นิ่ง รถเข็นพังยับเยิน เสริมศักดิ์ผวาเข้าไปดูใกล้ๆ แล้วต้องผงะหน้า เข่าอ่อนจนทรุดลงนั่งกับพื้นซีเมนต์ หลุดปากเสียงสั่น...คนที่เพิ่งคุยกับฉันน่ะเอง!

ร่างทั้งสองถูกหามร่องแร่งไปขึ้นรถ...เท่าที่เห็นน่ะคิดว่าเขาคงหมดลมหายใจไปแล้วทั้งคู่ ฉันกับจุ๋มช่วยกันประคองเพื่อนกลับขึ้นห้อง

คืนนั้นทั้งจุ๋มกับเสริมศักดิ์ต้องอาศัยนอนในห้องฉัน ขอร้องให้เปิดไฟห้องน้ำไว้ด้วย อากาศที่เคยเย็นสบายก็กลับหนาวยะเยือกผิดปกติ จุ๋มนอนห่มผ้าหันหน้ามาหาฉันตลอดเวลา อดด่าเพื่อนไม่ได้ว่ากระแดะออกไปซื้อของกินแท้ๆ ถึงมีเรื่องกลัวผี...

เสริมศักดิ์ได้แต่พลิกไปพลิกมาบนพื้นปลายเตียง สลับกับการท่องคาถางึมๆ งำๆ อยู่แทบตลอดเวลา

ราวห้าทุ่มเศษ ขณะที่เรากำลังเคลิ้มๆ ก็ได้ยินเสียงเคาะประตูเบาๆ แต่เราสะดุ้งตื่นกันทุกคน จุ๋มร้องถามว่าใคร? คำตอบคือเสียงถอนหายใจเหน็ดเหนื่อยยืดยาว...

"อย่าเปิดนะแก" เสริมศักดิ์ครางกระเส่า "เขามาหาฉันแหงๆ เลย"

จุ๋มด่าเผ็ดๆ ออกไปเป็นชุดว่าจะเรียกผีมาหา จนกระทั่งเสียงต่างๆ เงียบไป สรรพสิ่งตกอยู่ในความเงียบเชียบน่าใจหาย...ฉันกำลังจะเคลิ้มหลับต่อก็ พอดีได้ยินเสียงเสริมศักดิ์กรีดร้องลั่นห้องจนต้องลุกพรวดขึ้นนั่ง

สวรรค์ทรงโปรดด้วยเถิด! แสงไฟสลัวๆ จากห้องน้ำส่องให้เห็นร่างสูงตระหง่านใบหน้าแหลกยับชุ่มด้วยเลือดสดๆ ยืนจังก้าจ้องเขม็งอยู่ที่นั่น...ได้ยินเสียงจุ๋มร้องกรี๊ดๆ อยู่ใกล้หูจนกระทั่งความรู้สึกของฉันดับวูบไป

ถึงจะรักเพื่อนแค่ไหนก็ไม่ยอมให้เสริมศักดิ์ มานอนด้วยอีกแล้วค่ะ! บรื๋อออ...

ขอบคุณ แหล่งที่มาหนังสือพิมพ์

ผี เรื่องผี เรื่องเล่าสยองขวัญ ประสบการณ์ขนหัวลุกในโรงแรม

นล เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกในโรงแรม

ผมเองไม่เคยถูกผีหลอกมาก่อน แต่เมื่อมาเจอะเจอในโรงแรมหรูหราที่ย่านสุขุมวิทเป็นครั้งแรก น่าขนพองสยองเกล้าสุดขีดอีกด้วย สาเหตุมาจากผมลงมาจากภาคเหนือเพื่อติดต่อเรื่องธุรกิจกับเรื่องส่วนตัว ทำให้ต้องเช่าโรงแรมอยู่หลายวัน แต่โรงแรมขาประจำที่สีลมก็เกิดเต็มหมดทุกห้อง เลยมาได้ที่ซุกหัวนอนแห่งใหม่ที่ไม่เคยพักพิงมาก่อน

พ่อม่ายเมียตายมาหลายปีแล้วครับ ผมน่ะ ลูกชายคนเดียวก็ส่งไปเรียนที่นิวซีแลนด์ ชีวิตค่อนข้างเหงาเอาการ...โดยเฉพาะการเดินทาง ต้องมานอนค้างอ้างแรมต่างถิ่นแบบนี้ ยอมรับว่าอดคิดถึงความหลังไม่ได้...หนุ่มๆ สาวๆ ที่ไปเที่ยวเตร่และค้างคืนด้วยกันสองต่อสอง คงจะซึ้งดีนะครับ ว่าแสนจะซาบซึ้งและสุขล้นปานใด?

คืนแรกเมื่อกลับจากการพบปะกับลูกค้ามาถึงโรงแรมราวสี่ทุ่มเศษก็เจอดีทันที!

เปิดประตูเข้าห้อง ไฟสว่างจ้าโดยอัตโนมัติเมื่อเสียบกุญแจเรียบร้อย เปลี่ยนเสื้อผ้าเพื่อจะอาบน้ำ โดยใช้เสื้อคลุมของโรงแรมน่ะแหละ...เสียงโทรศัพท์จากหัวเตียงก็ดังขึ้น

เอ๊ะ! ใครโทร.มาป่านนี้? ว่าแต่ทำไมไม่โทร.เข้ามือถือล่ะ?

"ขา...มีอะไรให้รับใช้คะ?" เสียงหวานๆ ดังมาตามสาย...เมื่อได้ยินเสียงจากโทรศัพท์ที่เราไม่รู้จัก ผมมักจะนึกเดาหน้าตาผู้พูดด้วยความเคยชิน...ผู้หญิงคนนี้สวยและมีการศึกษา การทอดเสียงฟังดูไพเราะ บ่งว่าได้รับการอบรมบ่มนิสัยมาพอสมควร

ผมปฏิเสธไปว่าไม่ได้โทร.ลงไปเลย แต่เธอยืนยันว่ามีสัญญาณเรียกจากห้องผมแน่

"คุณนลใช่มั้ยคะ? อย่าเกรงใจเลยค่ะ...คงจะอยากใช้บริการรูมเซอร์วิสใช่มั้ยคะ?"

ผมอดหัวเราะไม่ได้ อาจจะมีการผิดพลาดจนทำให้เธอเข้าใจผิด...แต่เสียงของเธอฟังแล้วชื่นใจเหมือน ได้ฟังเพลงรักซาบซึ้ง...ผมเลยบอกไปตามตรง

"เปล่าเลยครับ อยากฟังเสียงคุณหวานเท่านั้นเอง..."

"ต๊าย! ไม่ได้ชื่อหวานนะคะ ชื่อวดี...ผกาวดีค่ะ...เพิ่งกลับจากข้างนอกหรือคะ?"

"ครับ...เพิ่งผสมน้ำอุ่น สวมเสื้อคลุมจะอาบน้ำพอดี...ได้ยินเสียงโทร.มาก็เลย..."

"งั้นอาบน้ำก่อนเถอะค่ะ" เธอหัวเราะเสียงหวานก่อนจะวางหูไป...ผมรีบร้อนเข้าห้องน้ำ ไม่แยแสรอน้ำอุ่นสำหรับนอนแช่แล้ว แต่ยืนอาบซ่กๆ รวดเร็ว...ผกาวดีบอกว่า "อาบน้ำก่อน" แปลว่าเธอจะโทร.ขึ้นมาคุยกับผมอีกน่ะซี...เพิ่งนึกได้ตอนนั้นว่าเธอคงเป็นโอ ปะเรเตอร์

น่าแปลกที่เสียงนุ่มนวลอ่อนหวาน กับเสียงหัวเราะเบาๆ ของเธอคล้ายจะปลุกเร้าบางสิ่งบางอย่างที่ลึกเร้นอยู่ในหัวใจตั้งแต่สูญเสีย ภรรยา ให้พลิกฟื้นขึ้นมา...พอดีโทรศัพท์ดังขึ้น

แทบจะกระโจนเข้าไปรับแน่ะ...อาบน้ำเสร็จแล้วเหรอคะ?

"ทำไมรู้ล่ะครับ?" คำตอบคือเสียงหัวเราะแว่วหวาน...ใช้โปโลใช่มั้ยคะ? หอมจัง! ผมแกล้งทำเสียงสูดลมหายใจแรงๆ เหมือนกำลังจูบอะไรบางอย่าง ก่อนจะบอกเสียงกระซิบ "นั่นซีครับ หอมชื่นใจจัง...แต่ไม่ใช่หอมโปโลจากตัวผมนะ"

"แล้วหอมอะไรคะ...อื๋อออ...ปากหวานนักเชียว ได้กลิ่นทางโทรศัพท์ด้วยหรือคะ?" เสียงเธอหวานเสียจนผมถอนใจระรัว "ก็เหมือนวดีได้กลิ่นโปโลจากผมไงครับ"

คืนนั้นกว่าจะได้นอนก็เกือบสองยาม!

คืนรุ่งขึ้น ผกาวดีโทร.มาหาเหมือนเดิม เริ่มต้นว่า...เหงาค่ะ...คิดถึงคุณด้วย!

อาจจะเป็นสัญชาตญาณที่สัมผัสความรู้สึกของเพศตรงข้ามได้รวดเร็วหรือจะเป็น เพราะความครึ้มอกครึ้มใจอะไรก็ตามที ที่ทำให้ผมเริ่มต้นรุกล้ำเมื่อแน่ใจว่าเธอเล่นด้วยแน่นอน

...ผมคิดถึงคุณมากกว่า เปิดอกให้ดูเดี๋ยวนี้เลย-ไหนคะ โห...กล้ามเป็นมัดๆ เลย น่ากลัวจังค่ะ-ไม่ต้องกลัวหรอกคนดี ลองจับหัวใจผมดูซี-จะดีหรือคะ? อี๊ย์...ไม่กล้าจับหรอกค่ะ น่ากลั๊วน่ากลัว-อย่ากลัวไปเลยทูนหัว นะ...แล้วจะรู้ว่าหัวใจผมเป็นยังไง?


 อยากให้คุณสัมผัสแค่ไหน? นะ...น่านแหละ-โห! อุ่นวาบเลย น่ากลัวออกค่ะ แหม!-จับแรงๆ ก็ได้ วดีจ๋าทีนี้ให้ผมจับหัวใจคุณมั่งนะ?-ว้าย! อย่าค่ะ...โธ่!-ทูนหัว ใจคุณทั้งนุ่มทั้งอุ่น เต็มไม้เต็มมือ...ทำไมร้อนผ่าวยังงี้?-ปล่อยเถอะค่ะ...อย่าเลย-ขอหอมหัวใจ วดีหน่อยนะ-ว้าย...ตายแล้ว...จูบเข้าไปจริงๆ ด้วย...

คืนนั้นผมนอนหลับสนิทตลอดคืน ตื่นขึ้นด้วยความสดชื่น กระปรี้กระเปร่า ไม่มีอาการอ่อนเปลี้ยแม้น้อยนิด อาบน้ำอาบท่าเสร็จแต่งตัวลงไปกินบุฟเฟต์...ก่อนจะออกไปข้างนอกก็เร่ไปที่ เคาน์เตอร์ เห็นแต่รีเซฟชั่นกับแคชเชียร์ เลยถามหาโอปะเรเตอร์ที่ชื่อผกาวดี

สองสาวมองหน้ากัน ก่อนจะหันมาตอบเรียบๆ ว่า...พี่ผกาวดีตายไปตั้งแต่ปีกลายแล้วค่ะ! ขณะที่ผมยืนงุนงงเหมือนตีแสกหน้า เพื่อนของเธอก็พยักหน้ากับเพื่อน...บอกเขาไปซีว่าถูกแขกขาประจำหักอกจนเธอ ต้องกินยาตาย...

ผมออกไปพบลูกค้าเรียบร้อยก็เช็กเอาต์กลับบ้านวันนั้นเองครับ!  


ขอบคุณ แหล่งที่มาหนังสือพิมพ์

วันอังคารที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2557

ผี เรื่องผี เรื่องเล่าสยองขวัญ วิญญาณเพื่อน

รอยพิมพ์ เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากวิญญาณเพื่อน

ทันทีที่รู้ข่าวว่า "พลอย" น้องในที่ทำงานของดิฉันประสบอุบัติเหตุถึงแก่ความตายเมื่อคืนนี้ ตอน 3 ทุ่ม ดิฉันก็งงงันไปหมด มันจะเป็นไปได้อย่างไรในเมื่อพลอยขับรถมาหาดิฉันที่บ้านตอนตี 2 เธอมาหาดิฉันหลังจากที่เธอเสียชีวิตแล้วอย่างนั้นเหรอ?

ในงานศพของพลอย ดิฉันต้องเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำอีก เพราะมีแต่คนสนใจ ต่างก็มามุงฟังด้วยความตื่นเต้น ขนลุกซ่า...และพากันชำเลืองไปที่โลงศพของสาวน้อยอย่างยำเกรง

คืนที่เกิดเหตุ พลอยขับรถออกจากบ้านที่อุทัยธานีมากับเพื่อนชาย ชื่อ นพ ขณะแล่นมาตามถนนสายชนบทที่ทั้งแคบทั้งมืดและเปลี่ยว แสงไฟหน้ารถก็พลันส่องให้เห็นลังขนาดใหญ่หลายใบ หล่นกระจัด กระจายขวางอยู่กลางถนน

ด้วยความที่ตกใจ พลอยหักพวงมาลัยกะทันหัน และพุ่งประสานงากับรถหกล้อที่ขับสวนมาอย่างจัง ร่างของพลอยรับแรงปะทะอย่างเต็มที่ ขณะที่นพเพียงแต่บาดเจ็บเล็กน้อย

ในคืนเดียวกันนั้น ดิฉันเข้านอนตอนสี่ทุ่ม แต่กว่าจะหลับก็อีกนานเลยล่ะ เพราะมัวแต่กังวลเรื่องงานสำคัญที่นัดกับพลอยไว้ว่าจะสะสางด้วยกัน

ดิฉันคิดไปคิดมาแล้วเลยผล็อยหลับไปเมื่อไหร่ก็ไม่รู้...มาตื่นอีกทีตอนกลาง ดึกเพราะต้องลุกไปเข้าห้องน้ำ ครั้นทำธุระเสร็จก็จะกลับมานอน พอดีได้ยินเสียงรถมาจอดหน้าบ้านเลยไปมองที่หน้าต่าง...

อ้อ! นั่นพลอยนี่นา มาทำไมดึกดื่นป่านนี้ ดิฉันเหลือบดูนาฬิกาเห็นว่าเป็นเวลาตี 2 พอดี...เอ! มีอะไรรึเปล่านะ?

ดิฉันตาสว่าง ลงบันไดไปเปิดประตู เดินออกไปที่ประตูรั้วหน้าบ้าน

รถสีขาวของพลอยจอดเทียบประตูรั้วพอดี เธอนั่งกุมพวงมาลัยอยู่ในรถ และเปิดหน้าต่างพลางเอียงศีรษะออกมามองดิฉันเหมือนสับสน...

"มีอะไรเหรอ? มาซะดึกเชียว" ดิฉันถามด้วยความเป็นห่วง มองฝ่าความมืดไปยังเบาะข้างคนขับ ไม่เห็นนพนั่งอยู่ตรงนั้นอย่างที่เคยเห็นจนคุ้นตา

ในใจตอนนั้นคิดว่าพลอยคงมีเรื่องทะเลาะกับนพเลยขับรถมาหาดิฉัน ซึ่งเป็นที่พึ่งของเธอ แต่ท่าทางของพลอยไม่บ่งบอกว่าเธออารมณ์เสีย หรือทะเลาะเบาะแว้งกับใครมา...มันยิ่งกว่านั้นอีกค่ะ ดิฉันจับสังเกตได้ว่าเธอเหม่อลอย และไม่แน่ใจว่ามานั่งอยู่ตรงนี้ได้ยังไง?

"เอางี้นะ เข้ามาในบ้านก่อนดีกว่า" ดิฉันก้มลงถอดกลอนประตู พอเงยหน้าขึ้นมาอีกทีก็ต้องชาวาบไปทั้งตัว...

รถของพลอยหายไปแล้ว เบื้องหน้ามีแต่ความว่างเปล่า!

ดิฉันผงะถอยหลัง ตั้งตัวไม่ติดกับสิ่งที่ได้เห็น นี่มันเกิดอะไรขึ้น ดิฉันละเมอเดินเหรอคะ? เห็นอะไรไปเองเป็นตุเป็นตะขนาดนี้เชียวหรือ? ลืมบอกไปว่าดิฉันไม่ใช่คนเชื่อเรื่องผีและไม่กลัวผีด้วย...เกิดมาไม่เคยเห็น สักทีนี่คะ

เมื่อไม่เชื่อเรื่องเหนือธรรมชาติ ดิฉันก็ปลงใจคิดว่าเป็นเพราะความกังวล ผนวกกับความงัวเงียจนเกิดภาพหลอนได้ถึงขนาดนี้ สงสัยต้องไปเช็กสมองซะแล้ว

อากาศคืนนั้นค่อนข้างอบอ้าว แต่ก็มีลมเย็นๆ พัดมาทำให้ขนลุก กระนั้นดิฉันก็กลับไปนอนได้ตามปกติ ถึงจะกังวลเรื่องสุขภาพของตนเองขึ้นมาไม่น้อย แต่ก็ข่มตาหลับลงได้

มาตื่นอีกทีตอนได้ยินเสียงโทรศัพท์บ้านดังขึ้น เลยตะกายไปรับ...ปรากฏว่าเป็นพี่สาวของพลอยโทร.มา เธอบอกข่าวร้ายว่า พลอยประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตตอนสามทุ่ม

ดิฉันเข่าอ่อน โพล่งออกไปว่าจะเป็นไปได้อย่างไร พลอยมาหาดิฉันตอนตีสอง! แต่พอทบทวนดูว่ารถของเธอหายไปในอากาศเฉยๆ ดิฉันก็ต้องยอมรับโดยไม่มีข้อโต้แย้งว่านั่นเป็นการปรากฏตัวของวิญญาณ!

พี่สาวของพลอยอุทานเสียงหลง เธอเชื่อสนิทว่าเป็นเพราะพลอยยังไม่ทันรู้ตัวว่าตาย และจิตของเธอคงเป็นห่วงเรื่องงานสำคัญที่นัดกับดิฉันไว้

อย่างน้อยดิฉันก็โล่งอกไปเปลาะหนึ่งว่า สมองของดิฉันไม่มีอะไรผิดปกติ แต่สิ่งที่ได้มาคือความเสียใจที่สูญเสียพลอยไป และความเชื่อว่าจิตวิญญาณมีจริง!

ดิฉันไม่กลัวผีของพลอยเลยค่ะ เพราะยืนยันได้ว่าเธอมาอย่างสวยงามน่ารัก เป็นคนปกติ ไม่ได้ยับเยินเละเทะอย่างที่ศพของเธอเป็น และประสบการณ์ของดิฉันก็เป็นสิ่งที่ปลอบโยนพ่อแม่พี่น้อง และคนที่รักพลอยว่า เธอยังอยู่...

แม้จะอยู่ในโลกหลังความตายก็ตาม เธอไม่ได้ดับสูญ!

ทุกวันนี้ดิฉันทำบุญไปให้พลอยเสมอ ไม่ใช่เฉพาะเธอคนเดียว แต่เป็นคนที่ดิฉันรักและผูกพันทุกๆ คนที่ล่วงลับไปแล้ว ด้วยดิฉันเชื่อว่าวิญญาณยังอยู่ และยังรับรู้ได้ว่าเรารักและห่วงใยอยู่ตลอดเวลา!



ขอบคุณ แหล่งที่มาหนังสือพิมพ์

ผี เรื่องผี เรื่องเล่าสยองขวัญ วิกผมผีสิง


เพื่อนรุ่นพี่ของน้องเมย์แกเปิดร้านทำผมขนาดเล็ก อยู่ท่ีจังหวัด ปัตตานี เป็นร้านทำผมขนาด เล็ก ประมาณ หนึ่งคูหา ปกติร้านทำผมทั่วไปจะต้องมีหุ่นโชว์ผมอยู่หน้าร้าน

ร้านนี้เป็นร้านเปิดใหม่จึงยังขาดอุปกรณ์การ ตกแต่งร้านอยู่มาก รวมทั้งวิกผมด้วย แกจึงติดป้ายต้องการวิกผมไว้โชวฺ์หน้าร้าน แกเล่าว่าประมาณ สอง ถึง สาม วันก็มี คุณยาย แก่ ๆ ท่านหนึ่ง ลักษณะการแต่งตัวเป็นชาวบ้าน แกมาเสนอขายวิกผมให้ในราคาถูกมาก รุ่นพี่น้องเมย์เล่าให้ฟังว่าครึ้งแรกท่ีเห็นวิก ผมอันนี้ถึงกับตะลึงในความเงางาม และเป็นประกาย สะท้อนสีดำขลับ เป็นวิกผมขนาดยาวประมาณครึ่งหลัง “ได้ยินเสียงคนร้องไห้”

แก่จึงรีบตัด สินใจซื้อโดยไม่ต่อรองราคาเลย แก่นำเอาวิกผมมาโชว์ใส่หุ่นหน้าร้านไม่ถึงวัน ก็มีคนมาติดต่อสนใจ และจะขอซื้ออยู่ สาม ถึง สี่ ราย แต่รุ่นพี่น้องเมย์แกปฏิเสธไปทุกราย

โดยอ้างเหตุผลว่าร้านเพิ่งเปิดใหม่ ต้องมีวิกผมไว้โชว์หน้าร้าน เวลาผ่านมาประมาณ หนึ่งอาทิตย์ เรื่องประหลาดๆก็เกิดขึ้น รุ่นพี่น้องเมย์แกใช้ท่ีร้านเป็นท่ีพักอาศัยด้วย โดยแกพักอาศัยอยู่ชั้นบนของร้าน ตอนกลางคืนแก่เล่าว่ามักจะได้ยินเสียงคน ร้องไห้ ช้า ๆ “ผู้หญิงในกระจกเงา”

และเหมือนเสียงของผู้หญิงสาว ๆ พูดอยู่คนเดียว แก่พยายามจับใจความก็ไม่สามารถฟังรู้เรื่อง จึงลงมาดู พร้อม ลูกน้อง (ช่างทำผม) ก็ไม่เห็นมีใคร คืนต่อมาก็ยังมีเหตุการณ์เกิดขึ้นอีก

คราวนี้เกิดกับลูกน้องของแก คือลูกน้อง ของแกได้นำวิกผมมาลองใส่กับตัวเองและเกิดชอบขี้นมา จึงส่องกระจกดูอยู่นาน สอง นาน คราวนี้เห็นเป็นเงาของผู้หญิง อยู่ด้านหลัง มาลูบผม ดมหัว และพยายามจะดึงวิกผมอันนั้นออก ลูกน้องได่แต่ตกใจจึงร้องออกมาอย่างเสียงดัง และสลบไป รุ่นพี่น้องเมย์พอได้ยินเสียงจึงรีบวิ่งลงมาดูก็ไม่พบอะไร พบแต่เพียงคนงานสลบอยู่ท่ีพี้น “เป็นวิกผมคนตาย”

รุ่งเช้าลูกน้องแกจึงเล่าเรื่องทั้งหมด ให้รุ่นพี่น้องเมย์ฟัง รุ่นพี่น้องเมย์เป็นคนเชื่อเรื่องอย่างนี้มากแกไม่สบายใจจึงนำเรื่องนี้ไป ปรึกษา พระผู้ใหญ่แถวท่ีแกพัก อาศัย ท่านแนะนำว่าอาจเป็นไปได้ท่ี ยายคนท่ีนำวิกผมมาขายนั้นอาจจะไปตัดผมมาจากคนตาย

เจ้าของเขาหวงจึงมาตามคืน วันต่อมารุ่นพี่น้องเมย์พยายามติดต่อคุณยาย คนนั้นแต่ไม่พบ จึงต้องนำวิกผมไปทิ้งก่อนท่ีจะเกิดเรื่องมากขึ้นกว่านี้ น้องเมย์คิดว่าเรื่องท่ีเป็นสิ่งเร้นลับ และไม่สามารถพิสูจน์ได้


 เราไม่ควรจะไปลบหลู่ หรือกล่าวหาว่าเป็นเรื่องไร้สาระ น้อง เมย์คิดว่าควรฟังหูไว้หู คือไม่เชื่อก็อย่าไปลบหลู่ เรื่องนี้เป็นไปได้ว่า วิญญาณของหญฺิงสาวคนนั้นต้องการของท่ีแกรักและหวง คืน แล้วคุณล่ะ มีวิกผมท่ีบ้านเหรอป่าวล่ะค่ะ ลองหยิบมาสวมดู



ขอบคุณ แหล่งที่มาหนังสือพิมพ์

วันศุกร์ที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2557

ผี เรื่องผี เรื่องเล่าสยองขวัญ คนไม่มีเงา

อยู่กับเพื่อน เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากคนไม่มีเงา

สมัยหนุ่มผมอยู่แถววงศ์สว่าง ใกล้สถานีรถไฟบางซ่อน เพิ่งจบช่างกลยังหางานทำไม่ได้ ทำงานบ้านเสร็จก็นอนเขลง บางวันก็ไปหาเพื่อนแถวพระรามหก เตาปูน แต่บางวันก็ไปที่อู่รถศิริมิตร พ่อเป็นนายท่า แม่ขายขนมอยู่หน้าอู่ ตกเย็นก็ช่วยแม่เก็บของกลับบ้านด้วยกัน ไม่ต้องกลัวขโมยขึ้นบ้านหรอกครับ

ไม่ใช่ว่าแถวนั้นไม่มีมิจฉาชีพนะ แต่ผมฝากบ้านกับตาแขกไว้น่ะซี!

ตาแขกอายุราว 60 ปีเห็นจะได้ แกดำเป็นแขก ผอมสูง หน้าเหี้ยม นัยน์ตาพอง สักยันต์เกือบเต็มตัว เด็กๆ ร้องไห้งอแง พอโดนขู่ว่าจะให้ตาแขกจับตัวเป็นเงียบกริบทุกคน ทั้งๆ ที่แกใจดี ชอบหัวเราะหึๆ เป็นประจำ

ชายชราอยู่คนเดียวในบ้านไม้เตี้ยๆ หลังคามุงสังกะสี เมียแกตายไปหลายปีแล้ว ลูกๆ ก็แยกย้ายไปทำงานในกรุงบ้าง ต่างจังหวัดบ้าง นานๆ ถึงจะมาเยี่ยมพ่อซักที แต่ตาแขกไม่เดือดร้อนอะไร...แกเคยบอกผมด้วยซ้ำว่าอยู่คนเดียวสบายใจดี

บ้านตาแขกมีทั้งไม้ใหญ่และไม้ล้มลุกแวดล้อม จากลานกว้างเข้าไปมีสุ่มไก่ที่แกเลี้ยงไก่ชนไว้ดูเล่น นอกนั้นเป็นฝูงไก่ที่คุ้ยเขี่ยหากิน ตกค่ำมันก็บินพึ่บๆ ขึ้นไปนอนบนคาคบไม้กันหมด

อ้อ! มีหมาดำปลอดตัวหนึ่ง เขี้ยวยาวโง้งเชียว ชอบเห่าขรมจนผมได้ยินยังสะดุ้งโหยง

ตกค่ำ ย่านนั้นค่อนข้างเปล่าเปลี่ยว น่าวังเวงใจเอาการ แม้ว่าข้างขึ้นจะมีแสงจันทร์ขาวนวล สายลมพัดวู่หวิว คร่ำครวญไปตามสุมทุมพุ่มไม้ ทำให้ไม่อยากโผล่หน้าไปมอง

บ่ายวันหนึ่ง แสงแดดยังเจิดจ้า ผมไปหายิงนกยิงหนูด้วยหนังสติ๊กแถวบ้านตาแขก แกเห็นเข้าก็กวักมือเรียกให้ไปกินส้มเขียวหวานบางมดที่แคร่หน้าบ้าน...

จู่ๆ ชายชราก็เล่าเรื่องน่าขนหัวลุกให้ฟัง!

เมื่อคืนนี้เอง แกฝันว่าอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้ รอบตัวมีแต่ความอ้างว้าง มีชายผู้หนึ่งนั่งอยู่ตรงข้าม...ตอนแรกแกบอกว่าตกใจจนแทบตะโกนโวยวาย เพราะชายผู้นั้นคือตัวแกนั่นเอง ต่างคนต่างจ้องมองกัน ฝ่ายนั้นนิ่งสงบ แต่ตาแขกกลัวแทบเป็นบ้า...เพราะคนที่แกจ้องมองอยู่นั้นคือศพชัดๆ

แต่ศพ-หรือตัวแกเองแท้ๆ ก็พูดจาด้วยเสียงปกติ ชัดถ้อยชัดคำจนได้ยินถนัดชัดเจน

"เราแค่มาอาศัยเขาอยู่เท่านั้นแหละแขกเอ๋ย...ใช้สอยเขามาตั้งแต่จำความได้จน ถึงแก่เฒ่าป่านนี้ ไม่ช้าเราก็ต้องทิ้งเขาไป...เออ! หรือจะเรียกว่าเขาทิ้งเราก็ได้นะ เพราะเหน็ดเหนื่อยมานาน...บอบช้ำทรุดโทรมเต็มทีแล้ว"

"ใคร...เราอาศัยใครอยู่?" ตาแขกย้อนถามเสียงแหบแห้ง แต่ฝ่ายนั้นกลับหัวเราะเบาๆ อยู่ในลำคอคล้ายจะนึกปลงอนิจจัง

"ก็ร่างกายนี่น่ะซี...ของเราเมื่อไหร่ล่ะ? อีกไม่ช้าเราก็ต้องทิ้งร่างนี้ไปแล้ว"

ตอบพลางลูบไล้ท่อนแขนตัวเอง ตาแขกเพิ่งสังเกตว่ามันเหี่ยวแห้งราวกับมีแต่หนังหุ้มกระดูก หน้าตาดำเกรียมก็ยับย่นด้วยกาลเวลา เสียงพูดจาแหบปร่าลงไปทุกขณะ

"เราอยากกิน อยากเที่ยวเตร่ เราก็ใช้เขา เราอยากทำงาน อยากหาความสุขต่างๆ นานาเราก็ใช้เขาอีก! ก่อนนั้นเขาทำตามที่เราสั่ง เราต้องการทุกอย่าง แต่คิดไหมว่าเราใช้สอยเขาหนักเกินไป ไหนจะทั้งเหล้าทั้งบุหรี่ ไหนจะหักโหมไม่บันยะบันยังไอ้เรื่องที่เรานึกสนุกสารพัด เดี๋ยวนี้เป็นไงล่ะ"

"ก็มีเบาหวาน ตับไม่ดี ปวดหลัง ปวดข้อ ตาชักมัว หูก็ตึงไปถนัด ทำอะไรนิดๆ หน่อยๆ ก็เหนื่อยแล้ว หอบฮั่กๆ มืดหน้าตาลายไม่เหมือนสมัยก่อน"

มีเสียงทอดถอนใจยาวเศร้าๆ ดังขึ้น

"นั่นน่ะซี แล้วเราจะอยู่กับเขา ใช้สอยเขาไปได้อีกนานแค่ไหน แขกเอ๋ย...ไม่ช้าเขาก็สิ้นแรงกายใจ หมดลม เน่าเปื่อยหรือกลายเป็นเถ้าถ่าน เราก็ต้องซมซานออกไปหาที่อยู่ใหม่อีกแล้ว..."

"เดี๋ยวก่อน! เรามาจากไหน? แล้วจะไปอยู่ที่ไหน?"

"ใครจะไปรู้เล่า? รู้แต่ว่าวันหนึ่งก็ต้องถึงคราวตายกันทุกคน เราออกจากร่างนี้จะไปอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้? บางคนดื้อดึงไม่ยอมออกจากร่างที่แข็งทื่อไปแล้ว...ข้ามา บอกให้เอ็งรู้ตัว เตรียมตัวไว้แต่เนิ่นๆ เท่านั้นเอง"

ตาแขกเล่าว่าแกตกใจตื่นขึ้นมาก็ครุ่นคิดอยู่เป็นนาน พอดีเห็นผมมาหายิงนกก็เลยเล่าเรื่องนี้ให้ฟังเท่านั้นเอง ผมลุกขึ้นลาแกกลับบ้าน แต่แล้วก็ต้องยืนตะลึงอยู่กับที่เมื่อเห็นตาแขกไม่มีเงา! หันหลังได้ก็เผ่นอ้าวไม่คิดชีวิต...อีกราว 6-7 วันต่อมาก็รู้ข่าวว่าตาแขกนอนหลับตายไปแล้ว!

ความฝันเป็นลางบอกเหตุ หรือคนไม่มีเงาจะเป็นลางร้ายก็ไม่รู้ แต่เมื่อผมอายุมากขึ้นก็เริ่มคิดได้...

เราทุกคนล้วน "อาศัยเขาอยู่" จริงๆ ถึงจะเนิ่นนานจนกลายเป็นเพื่อนเก่าแก่ สนิทสนมกันแค่ไหน วันหนึ่งก็ต้องถึงวันจำพรากจากกันจนได้ จริงไหมครับ?

ขอบคุณ แหล่งที่มาหนังสือพิมพ์


ผี เรื่องผี เรื่องเล่าสยองขวัญ มันขึ้นจากหลุม

ชาญ เล่าเรื่องขนหัวลุกจากชายแดนเมืองช้าง

สมัยเด็กผมอยู่บ้านช่องจอม อ.กาบเชิง จ.สุรินทร์ แดนดินถิ่นปราสาทขอม เรื่องผีๆ สางๆ มีเยอะครับ ดูเหมือนว่าเกิดมาพวกผมก็เจอผีกันเสียแล้ว

ไม่ว่าผีบ้านผีป่ามีทั้งนั้น ต้องทำพิธีเซ่นผีกันบ้าง ไล่ผีกันบ้าง แต่ก็ไม่เห็นจะได้ผลจริงๆ ซะที ยิ่งพวกเขมรรบกันหนัก เขมรแดงมาหลบอยู่ชายแดนแถวนั้น ถูกฝ่ายรัฐบาลโจมตีจนล้มตายมากมาย แต่พวกเขมรแดงก็ยัง มาซ่องสุมผู้คน คอยตอบโต้ดุเดือดพอๆ กัน

ยิ่งตายมาก ผีก็ยิ่งดุมากน่ะซีครับ!

ทหารของเราคอยเฝ้าปกป้องดินแดนเต็มที่ ตอนเช้าๆ ก็เปิดด่าน ให้ผู้คนและพ่อค้าแม่ขายไปมาหาสู่กันได้สะดวก

แถวบ้านผมไม่ว่าช่องจอม บ้านด่านหรือบ้านปวงตึก มักจะนิยมเลี้ยงเป็ดกันเพราะเลี้ยงง่าย ขายได้ราคาดี อีกด้วย แต่น่าแปลกที่ลูกค้ารายใหญ่กลับเป็นเขมร ที่ชอบกินไข่เป็ดมากกว่าไข่ไก่ ขับรถมาซื้อถึงเล้าเลยแหละ แถมไม่จู้จี้เหมือนลูกค้าคนไทย แตกนิดบุบหน่อยก็ไม่เอา...ลูกค้าเขมรไม่เคยปริปากต่อว่า ขนซื้อไปขายได้กำไรเพียบไปตามๆ กัน

เรื่องขนหัวลุกเกิดขึ้นเพราะตายายคู่หนึ่ง คือตาเพ็ญกับยายลออมีเป็ดเล้าใหญ่อยู่ใกล้ๆ บ้านผม แกเลี้ยงเป็ดไล่ทุ่งฝูงใหญ่ แถมมีบ่อเลี้ยงปลาอยู่หลังบ้านด้วย สองผัวเมียอยู่กันตามลำพัง มีลูกชายสองคนก็ไปเรียนหนังสือที่กรุงเทพฯ นานปีทีหนถึงจะกลับบ้าน

พวกเด็กๆ กลัวตาเพ็ญผู้หน้าตาบึ้งตึง ชาวบ้านเรียกแกว่า "ตาเพ็ญตาเสือ"

ตอนเย็นๆ ตาเพ็ญจะนุ่งโสร่งตัวเดียวมาซื้อเหล้าที่ร้านเจ๊กเฮงใกล้ตลาด เห็นรอยสักตามหน้าอกและหลังเป็นอักขระดำมืด กลมกลืนกับผิวของแก ดูเหมือนแกจะไม่คบค้าสมาคมกับใคร ตกค่ำก็เมาเหล้าแล้วก็ทะเลาะกับเมียเสียงโหวกเหวกเป็นประจำ

ยามค่ำคืนมีคนเห็นแกนั่งสูบยาแดงวาบๆ อยู่ใต้ต้นกระบกหน้าเล้าเป็ด ถ้าใครหยุดมองแกจะลุกพรวดขึ้นยืน มือถือมีดขอคมปลาบ เลยต้องเผ่นหนีไปตามๆ กันไม่ว่าเด็กหรือผู้ใหญ่

ตาเพ็ญจะคบแต่พวกเขมรที่เป็นลูกค้าขาประจำ เท่านั้นเอง!

ก่อนเกิดเหตุร้ายมีคนผ่านไปทางนั้น แต่ไม่เห็นตาเพ็ญมานั่งสูบยาใต้ต้นกระบกเช่นเคย แต่กลายเป็นยายลออนั่งแทนที่ พอเข้าไปทักทายแกกลับสะบัดหน้าหนี เลยเอามานินทาว่าผัวเมียคู่นี้ไม่เอาเพื่อนบ้านพอๆ กัน

คืนหนึ่ง ผมได้ยินเสียงทะเลาะเบาะแว้งมาจากบ้านนั้น ไม่ช้าก็มีเสียงยายลออร้องไห้พะอืดพะอมที่ใต้กระบก สายลมกระโชกแรงจนได้ยินเสียงชัดเจนเหมือนแกมาร้องไห้อยู่ข้างบ้านนี่เอง

ใกล้เข้ามา...ใกล้เข้ามาทุกที!

จู่ๆ หมาเจ้ากรรมก็โก่งคอหอนโหยหวนเสียงเยือกเย็น บรรยากาศยามราตรีน่าวังเวงจนผมขนลุก แม่บ่นว่าอยากไปดูยายลออว่าแกเป็นไร แต่พ่อห้ามไว้ว่ากลางค่ำกลางคืนอย่าไปดูเลย

ตั้งแต่คืนนั้น ยายลออก็มาร้องไห้คร่ำครวญอยู่ที่เดิมติดๆ กัน 3-4 คืน พ่อแม่อดรนทนไม่ไหว เราต้องชวนกันออกจากบ้านไปดูให้รู้แน่ว่าเกิดอะไรขึ้น?

ท้องฟ้ามีแสงดาวส่องสลัว ลมหนาวพัดวู่หวิวราวจะแทรกเนื้อหนังลงไปถึงกระดูก เสียงหมาเห่าหอนน่าขนลุก พ่อฉายไฟวูบวาบไปที่ต้นกระบก แต่ก็ยังเห็นอะไรไม่ชัดเจนนัก

กระทั่งถึงจุดหมาย! ลำแสงของไฟฉายส่องไปกระทบร่างดำๆ ของยายลออ...แต่แกไม่มีหัว! ผมสะดุ้งโหยง ผวาเข้าไปกอดแขนแม่ แต่พอเรียกชื่อแกเบาๆ ร่างนั้นก็ขยับไปมา...อ๋อ! แกนั่งชันเข่า ฟุบหน้าอยู่บนรากใหญ่ของกระบก ก่อนจะเงยหน้าขึ้นช้าๆ

คุณพระช่วย! ผมจะไม่มีวันลืมภาพนั้นไปชั่วชีวิต!

ใบหน้าเล็กๆ โดดเด่นอยู่ในแสงไฟ ผมกระเซิงน่ากลัว นัยน์ตาดำปี๋พองโต น้ำตาไหลรินลงมาตามแก้มเหี่ยวแห้งจนถึงมุมปากห้อยย้อย เสียงคร่ำครวญวู่หวิว...ช่วยด้วย...

แม่เรอเอิ๊กแล้วเป็นลมไป...ผมตกใจร้องแต่ช่วยด้วยๆ ขณะที่พ่อหันมาหา...เมื่อส่องไฟฉายไปอีกทีก็ไม่เห็นร่างน่าเกลียดน่ากลัว นั่นเสียแล้ว

รุ่งเช้า มีคนไปพบตาเพ็ญนอนตายอยู่ข้างๆ ขวดเหล้า นัยน์ตาลืมโพลง แต่ไม่มีวี่แววของเมียแก พ่อชวนเพื่อนบ้านไปที่โคนกระบกก็เห็นหลุมที่เพิ่งกลบได้ไม่นาน...

ศพกำลังเน่าของยายลออถูกฝังอยู่ที่นั่นเอง!

วิญญาณแกมาร้องไห้จนเราได้ยินก็พอจะเข้าใจ แต่ทำไมตาเพ็ญฆ่าเมียแล้วเอาศพไปฝังไม่มีใครรู้ว่าเพราะอะไร? พ่อกับแม่ได้ยินผมถามเรื่องนี้ก็ได้แต่สบตา แล้วถอนใจยืดยาว...แปลกจริงๆ เลยครับ!

ขอบคุณ แหล่งที่มาหนังสือพิมพ์

วันพุธที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2557

ผี เรื่องผี เรื่องเล่าสยองขวัญ คนชะตาขาด

ครูเก่า เล่าเรื่องขนหัวลุกจากคนชะตาขาด

ในอดีตดิฉันเป็นครูอยู่ที่โรงเรียนเอกชนแห่งหนึ่งแถวบางซ่อน จากถนนประชาราษฎร์ก็เข้าซอยไป ดิฉันเช่าบ้านอยู่กับเพื่อนครูใกล้ๆ ทางรถไฟ บ้านเรือนยังมีน้อยส่วนใหญ่เป็นสวนเปลี่ยว เจ้าของสวนไม่ค่อยสนใจไยดี ปล่อยตามยถากรรมแทบทั้งนั้น

"น้าน้อย" เช่าบ้านถัดเข้าไปในสวน เธอกับสามีเป็นคนงานก่อสร้าง ตกเย็นเป็นต้องแวะร้านเหล้าด้วยกัน น่าเสียดายที่ทำงานหนักมาตลอดวันแต่เอาค่าแรงไปลงขวดเหล้าเสียหมด

โชคดีอย่างที่สองผัวเมียไม่มีลูก พวกเขามีชีวิตแบบอยู่ไปวันๆ ไม่มีอันตรายกับใคร นอกจากตัวเอง!

ค่ำวันหนึ่ง น้าน้อยเดินร้องไห้เข้าซอยมา บอกว่าสามีเธอไปเมาที่บางโพ โดนนักเลงแทงตายคาที่ในวงเหล้า เพื่อนบ้านได้ฟังก็สยดสยองไปตามๆ กัน

ตั้งแต่วันนั้นมาน้าน้อยก็ดื่มเหล้าหนักขึ้น การงานไม่ค่อยได้ออกไปทำเพราะลุกไม่ไหว บางคนนินทาว่าเงินช่วยงานศพยังเหลืออยู่ อย่างน้อยก็พอซื้อเหล้ากินได้หลายวัน แกเลยขี้เกียจทำงาน เอาแต่เมาเหล้าอยู่ที่ร้านกลางซอยบ้าง ซื้อไปดื่มต่อคนเดียวบ้าง พอเมาก็พล่ามพูดเหมือนคุยกับสามีที่ล่วงลับไปแล้ว...

บางคืนก็หวีดร้องโหยหวน เยือกเย็นไปถึงหัวใจของคนที่ได้ยิน!

น้าน้อยวัยสี่สิบต้นๆ ร่างผ่ายผอมราวกับมีแต่หนังหุ้มกระดูก ผมหงอกประปราย ชอบนุ่งผ้าถุงสีดำ สวมเสื้อคอกระเช้าแล้วทับด้วยเสื้อแขนยาวปล่อยชาย ถ้ามีผ้าโพกหัวก็จะเหมือนกับชุดที่แกแต่งออกไปทำงานเลยค่ะ

วันหนึ่งไม่มีใครเห็นน้าน้อยเลย บ้านช่องก็เงียบเชียบจนพวกเราชักเอะใจ สงสัยว่าอาจจะมีเหตุร้ายเกิดขึ้นก็ได้

บางคนถือไฟฉายเเข้าไปดูเพราะเป็นห่วง ปรากฏว่าน้าน้อยนั่งซุกตัวอยู่มุมห้องเหม็นอับ ใช้ผ้าขาวม้าเก่าๆ ของสามีคลุมไหล่ต่างผ้าห่ม เปิดไฟส่องสลัวที่เพดาน หน้าตาตื่นตัว ตัวสั่น บอกว่า...ผีมาหาแกทุกคืน มาชวนไปอยู่ด้วยกัน!

"ผัวเอ็งมาหาใช่ไหมวะ?" ลุงโต๊ะถามหน้าตาเฉย แต่น้าน้อยส่ายหน้าบอกว่าไม่ใช่ผัวแกหรอก เป็นผีที่ไหนไม่รู้ มาทั้งผู้หญิงผู้ชาย คนแก่ แม้แต่เด็กๆ ก็มี

คืนหนึ่งเดือนหงายราวสามทุ่มเศษ สมัยนั้นถือว่าดึกมากแล้ว ลุงโต๊ะกับตาฉ่ำกลับจากงานศพที่เมืองนนท์เข้าซอยมา เห็นไฟบ้านน้าน้อยเปิดอยู่ก็ตะโกนเรียกแต่ไม่มีเสียงขานรับ พอดีตาฉ่ำเห็นหลังไวๆ หายลับเข้าไปในสวนเลยรีบชวนกันวิ่งตามไปดูทันที

สิ่งที่เห็นเล่นเอาเกือบช็อก...ในแสงจันทร์ขาวนวลที่ส่องลงมา เห็นร่างน้าน้อยกำลังใช้ผ้าขาวม้าผูกคออยู่บนกิ่งไม้ ชายชราทั้งสองร้องเฮ้ย! ร่างผ่ายผอมก็ทิ้งตัวลงมาทันใด...เดชะบุญที่ช่วยกันรับไว้ทัน!

น้าน้อยร้องไห้โฮเมื่อรู้ตัวว่าทำอะไรลงไป เหลียวมองไปรอบๆ กายที่มีแต่ความเปล่าเปลี่ยว แมลงที่เงียบไปเมื่อครู่ก่อนก็กรีดเสียงระงมขึ้นมาใหม่

"เขาชวนฉันมาที่นี่ ยุให้ฉันขึ้นไปผูกคอบนกิ่งไม้ แล้วจะได้ไปอยู่ด้วยกัน!"

ลุงโต๊ะกับตาฉ่ำขนลุกซ่า รีบดึงแขนหญิงผู้น่าเวทนากลับมาที่บ้าน ช่วยกันพูดปลอบอกปลอบใจว่าเพราะฤทธิ์เหล้าดลบันดาล ไม่มีผีสางที่ไหนมาชวนคนไปตายหรอก! ขอให้เลิกเหล้าตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป แล้วเริ่มต้นทำการทำงานเสียที

ชาวบ้านพูดกันว่า คนติดเหล้าขนาดนี้ไม่มีวันเลิกได้แน่ๆ ไม่ช้าก็ต้องเมาแล้วสติฟั่นเฟือน คิดว่าผีสางมาชวนไปอยู่ด้วย...คนเผลอก็ต้องไปผูกคอตายอีกแน่ๆ

ปรากฏว่าทุกคนคิดผิดค่ะ น้าน้อยเลิกเหล้าได้ ออกไปทำงานก่อสร้างตามเดิม ร่างกายเริ่มมีเนื้อมีหนัง หน้าตาผ่องใสขึ้นกว่าเดิมเป็นคนละคน...จนกระทั่งถึงเทศกาลออกพรรษา ทอดกฐินสามัคคีกันครึกครื้น

หมู่บ้านเรามีคนฐานะดีบอกบุญไปทอดกฐินที่ วัดเก้าชั่ง ริมแม่น้ำจังหวัดสิงห์บุรี มีเรือยนต์มารับที่ท่าน้ำวัดสร้อยทอง ดิฉันกับเพื่อนๆ นึกสนุกก็ไปกับเขาด้วย

ระหว่างการเดินทางมีการร้องรำทำเพลงกันสนุกสนาน ดื่มเหล้าครึกครื้นจนถึงวัด เพิ่งสังเกตว่าน้าน้อยก็ดื่มเหล้าร้องเพลง รำเฉิบๆ กับคนอื่นเช่นกัน

กระทั่งขากลับ พวกผู้ชายคอแข็งก็ดื่มเหล้ากันต่อ น้าน้อยขอยอมแพ้ไปนอนรับลมที่หัวเรือ...ใกล้จะถึงจังหวัดนนท์แล้ว จู่ๆ ก็มีเสียงร้องกรี๊ดๆ น่าตกใจ เรือเบาเครื่องลง...โซ่ที่กราบเรือขาดโดยไม่ทราบสาเหตุ พุ่งเข้าเสียบอกน้าน้อยจนทะลุหลังตายคาที่

เสียงร้องรำทำเพลงเงียบหาย พวกเราที่รู้เรื่องผีชวนน้าน้อยไปอยู่เมื่อเดือนก่อนมองสบตากัน... เป็นเรื่องบังเอิญหรือผีมารับวิญญาณน้าน้อยกันแน่? ขนหัวลุกน่ะซีคะ!

ขอบคุณ แหล่งที่มาหนังสือพิมพ์

ผี เรื่องผี เรื่องเล่าสยองขวัญ วิญญาณร้อนรัก

ประดิษฐ์ เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากวิญญาณร้อนรัก

สมัยหนุ่มผมเป็นเด็กต่างจังหวัดมาศึกษาเล่าเรียนในกรุงเทพฯ โดยเช่าห้องพักอยู่ที่ซอยวรพงษ์ แถวสี่แยกบางขุนพรหมนี่เองเพราะมีเพื่อนจากบ้านเดียวกันชื่อวิชิตแนะนำ และใกล้กับมหาวิทยาลัยดีด้วยครับ

ตอนแรกก็ตั้งใจจะอยู่ห้องเดียวกัน แต่บังเอิญเพิ่ง มีเพื่อนมาขอพักพิงชั่วคราว ผมเลยเช่าห้องชั้นสองอยู่คนเดียว

ต่อมาเพื่อนวิชิตย้ายไปอยู่ที่อื่น แต่มีเพื่อนฝูงแวะมาหาบ่อยๆ เล่นกีตาร์กันบ้าง สูบกัญชากันบ้าง ส่วนมากมักจะตั้งวงเหล้า คุยกันเอะอะเอ็ดตะโรจนทำให้ผมไม่มีสมาธิดูหนังสือ เลยตัดสินใจอยู่ห้องเดิมต่อไป

วิชิตเล่าหอพักนี้ผีดุนักหนา ขอให้ระวังตัวไว้ด้วย แต่ผมไม่กลัวหรอกครับ ถือคติว่าผีก็อยู่ส่วนผี คนก็อยู่ส่วนคน ไม่ต้องคิดอะไรมาก!

ห้องพักที่ผมอยู่ก็สะดวกสบายพอสมควร แม้จะต้องใช้ห้องน้ำรวมแต่มีที่นอนหมอนมุ้งกับตู้เสื้อผ้า อาหารการกินต้องฝากท้องไว้นอกหอ เพื่อนข้างห้องส่วนมากเป็นนักเรียน นักศึกษา มีเซลส์แมน 2-3 คน กับทำงานตามบริษัทห้างร้าน

หน้าห้องมีระเบียงยาว ตอนเย็นๆ มักจะมีคนชอบออกจากห้องไปยืนเกาะลูกกรงรับลม บางคนก็ตะโกนคุยกับเพื่อนที่อยู่ข้างล่าง ส่วนผมมักหมกมุ่นอยู่กับการนั่งดูตำราที่โต๊ะข้างฝา บางทีก็เพลิดเพลินจนถึงห้าทุ่มสองยามโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว

คืนแรกๆ ผ่านไปอย่างราบรื่น แต่พออยู่ไปได้ราว 5-6 วันก็มีเรื่องแปลกๆ เกิดขึ้น...นั่นคือผมรู้สึกด้วยสัญชาตญาณว่าไม่ได้อยู่ในห้องคนเดียว!

มันเหมือนกับมีใครที่ผมไม่รู้จักมาอยู่ในห้องเดียวกัน โดยเฉพาะตอนดึกๆ ที่เงียบเชียบเยือกเย็น ผมรู้สึกว่ามีใครวนเวียนอยู่ใกล้ๆ ตัว บางคืนก็จ้องมองมาเงียบๆ แต่บางคืนก็เข้ามายืนอยู่ใกล้ๆ แม้ยามปิดไฟนอนก็รู้สึกว่ามีใครเข้ามานอนเคียงข้างด้วย เล่นเอาขนลุกขนพองกว่าจะหลับ

คืนหนึ่งฝนตกในตอนค่ำ ขณะที่กำลังหมกมุ่นอยู่กับตำรากฎหมาย ผมรู้สึกมีลมหายใจมาเป่ารดที่ต้นคอด้านหลัง เล่นเอาหันขวับ แต่ก็ไม่ประสบพบเห็นใครเลย

เสียงหัวเราะคิกคักดังมาจากข้างฝา...ผมนึกว่าคงจะเป็นเสียงจากเพื่อนข้าง ห้องที่ดังลอดฝาไม้อัดเข้ามา...ทันใดนั้นเอง กลิ่นแป้งน้ำหอมกรุ่นก็อวลมากระทบจมูก!

คราวนี้ผมต้องปิดหนังสือ ลุกขึ้นมองไปรอบๆ ตัวก็ไม่เห็นอะไร กลิ่นหอมนั้นก็ค่อยๆ จางลง ผมมั่นใจว่าคงจะอุปาทานไปเองเพราะการหมกมุ่นอยู่กับตำรับตำรามาหลายคืนติดๆ กันจนมีเวลานอนหลับไม่พอกับความต้องการของร่างกาย

จัดการกางมุ้งแล้วดับไฟนอน...

ความง่วงงุนทำให้ความรู้สึกจมดิ่งลงสู่ความหลับใหล ร่างกายหนักอึ้งราวถูกถ่วงด้วยก้อนหิน...อากาศเย็นชื้นมีกลิ่นแป้งน้ำหอม กรุ่นมาอีกครั้ง ผมเห็นหญิงสาววัยเดียวกันเดินช้าๆ จากผนังห้อง ใบหน้าสะสวยในเรือนผมยาวสยายระบายด้วยรอยยิ้มหวาน

ร่างอวบแต่โปร่งอยู่ในเสื้อแขนกุดสีไพล โสร่งดอกหนารัดเอวคอดกิ่วเน้นสะโพกกลมกลึงผึ่งผาย ทรวงอกไหวกระเพื่อมเมื่อเธอทรุดลงนั่งเคียงข้าง โน้มตัวลงมาจนเห็นดวงตาดำขลับและทรวงอกอวบอัดน่าใจหาย

ท่ามกลางความมึนงงของผม เรือนร่างเย้ายวนก็เข้ามาเบียดเสียดจนใบหน้าผมคลุกเคล้ากับก้อนเนื้อตึงเต่ง หอมหวนยวนใจ เลือดหนุ่มฉีดพล่าน ความรู้สึกเตลิดเพริดด้วยไฟเสน่หาเร่าร้อน

อ้อมแขนผมโอบรัดไปที่สะเอวและสันสะโพกหนั่นเนื้อ มือป่ายเปะปะลงไปตามโคนขาจนเธอพลิกร่างลงนอนระทวย โสร่งดอกหนาลุ่ยเลิกขึ้นมาถึงไหนๆ เล็บคมจิกไหล่พลางครวญครางคล้ายสะอื้น ขณะที่หัวใจผมเต้นโครมครามด้วยความตื่นเต้นจนแทบทะลักทลาย...

ต่อจากนั้นผมก็ลืมไปหมดสิ้นว่าอะไรเป็นอะไร จำได้แต่ความสุขสุดขีดจนแทบสำลัก ก่อนจะสลบไสลไม่เป็นสมประดี!

...เที่ยงวันรุ่งขึ้น ผมสะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงทุบประตูแรงๆ ติดกัน ฝืนใจลุกโผเผไปถอดกลอนก็พบวิชิตยืนมองมาอย่างห่วงใย ถามว่า...มีผีผู้หญิงมาหาลื้อหรือเปล่าวะ? ลื้อนอนกับเธอหรือเปล่าล่ะ?

แล้วเพื่อนก็เล่าให้ฟังว่าห้องนี้ใครมาอยู่ได้ 3-4 คืนก็ต้องเผ่น จนเขาปิดตายมานานแล้ว วิชิตรู้ว่าผมไม่กลัวผีก็เลยขอร้องให้เปิดห้องจนได้ สาเหตุมาจากผู้หญิงผูกคอตายเพราะอกหักในห้องนี้เมื่อเดือนก่อนน่ะซี...

ตอนนี้ผมกลัวผีชนิดขนหัวลุกจริงๆ เลยต้องย้ายไปอยู่กับเพื่อนจนได้ครับ!

ขอบคุณ แหล่งที่มาหนังสือพิมพ์

ผี เรื่องผี เรื่องเล่าสยองขวัญ คืนเฝ้าไข้

แตงโม เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกเมื่อมียมทูตมารับวิญญาณ

เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นตอนดิฉันเข้าเรียนวิทยาลัยที่เชียงใหม่ อยู่หอกับเพื่อนรวม 3 คน วันหนึ่งเพื่อนชื่อนุ้ย-ที่อยู่ด้วยกันปัสสาวะออกมาเป็นเลือด ก็พามาให้หมอตรวจ หมอบอกกระเพาะปัสสาวะอักเสบ ให้นอนโรงพยาบาลเพื่อดูอาการ

นุ้ยก็ขอให้ฉันมานอนเป็นเพื่อน ฉันก็ตกลงเพราะสงสารเพื่อนค่ะ

นุ้ยนอนห้องรวมซึ่งมี 4 เตียงด้วยกัน พวกเรารูดม่านไม่อยากเห็นสภาพน่าหดหู่ของคนไข้เตียงอื่น แต่ก็พอทราบว่าคนไข้ที่เพิ่งผ่าตัดมาและนอนริมประตูนั้นอาการไม่ค่อยดีนัก เพราะพยาบาลเดินเข้าออกบ่อยมากจนน่ารำคาญ

ตกดึกฉันผล็อยหลับไปแล้ว แต่มาตื่นเมื่อได้ยินเสียงสวบสาบเหมือนใครมารูดม่านกั้นเตียง...รูดไปรูดมา แบบรูดเล่น! ตอนนั้นใจไม่ได้คิดอะไร นึกว่าเป็นญาติคนไข้เตียงอื่นลุกเข้าลุกออก

บังเอิญฉันปวดปัสสาวะจึงลุกออกมาเข้าห้องน้ำด้านนอกห้อง พอทำธุระเสร็จกลับเข้ามาก็มองไปรอบห้อง เพราะรู้สึกบรรยากาศเงียบเชียบ เยือกเย็นน่าวังเวงใจ...ทุกเตียงต่างก็รูดม่านนอนตามปกติ มีบางเตียงเปิดไฟดวงเล็กๆ พอสว่างไว้ รวมทั้งเตียงแรกริมประตูนั้นด้วย...

อะไรบางอย่างสะดุดใจฉันให้มองไปที่เตียงนั้น!

ภาพที่เห็นคือขาคนค่ะ เพราะม่านรูดเตียงไม่ได้ยาวระพื้น ใครยืนก็มองเห็นขาโผล่มาได้แล้ว...เห็นชัดว่าไม่ได้ใส่รองเท้า ขานั้นเดินไปมารอบเตียงคนไข้เลยค่ะ เดี๋ยววนทางซ้ายเดี๋ยววนไปทางขวา ฉันรู้สึกอากาศเย็นยะเยือกลงกว่าเดิมจนเกิดอาการหนาวสะท้านยังไงชอบกล...

คนหรือผีกันแน่นะ?

ความเงียบในห้องทำให้ดิฉันได้ยินเสียงใครงึมงำเบาๆ เหมือนพูดอะไรบางอย่าง แต่จับความไม่ได้...ฉันมองอยู่ครู่หนึ่งก็รู้สึกขนลุกซู่ซ่า กลัวขึ้นมาเฉยๆ เลยรีบเปิดม่านเข้ามาที่เตียงเพื่อนผู้นอนหลับสนิท

ฉันข่มตาให้หลับก็หลับไม่ลง นอนสักพักก็เกิดปวดท้องอยากเข้าห้องน้ำอีกแล้ว ทั้งๆ ที่ไม่อยากลุกไปเข้าเลยเพราะรู้สึกกลัวๆ ชอบกล แต่ก็ปวดจนทนไม่ไหว เลยหลับหูหลับตาลุกไปเข้าห้องน้ำโดยไม่ยอมมองไปที่เตียงแรกนั้น เลย...ตอนกลับมาก็ไม่อยากจะมองหรอก แต่เหมือนมีอะไรบางอย่างดลใจให้มอง...

ฉันเห็นเป็นเงาคนค่ะ...เห็นเป็นแค่เงาจริงๆ ซึ่งน่าแปลกมากเพราะห้องไม่ได้มืดอะไรมากมาย...เป็นเงาคนตัวใหญ่หายแว่บเข้า ไปที่เตียงคนไข้เตียงแรกค่ะ! หายไปแบบไม่ได้เปิดม่านออกเลยด้วยซ้ำ!

คุณพระช่วย! ทันใดนั้นฉันก็ได้ยินเสียงคนร้องอึกอักเหมือนหายใจไม่ออก...ฉันกลัวสุดขีด รีบผวากลับเตียงเพื่อนไปนั่งใจหายใจคว่ำอยู่ในนั้น กลัวจนต้องนั่งสวดมนต์ผิดๆ ถูกๆ อยู่หลายจบ

อึดใจเดียวเท่านั้น พวกพยาบาลก็เข้ามาเปิดไฟ บอกขอโทษคนไข้เตียงอื่นแล้วก็ลากคนไข้เตียงแรกออกไป...ฉันมองเวลาตอนนั้น ประมาณตีสี่กว่าๆ แล้ว

ฉันไม่หลับเลยค่ะ และคนไข้เตียงแรกก็ไม่ได้ถูกเข็นกลับเข้ามาอีกเลย เพราะเขาเสียชีวิตไปแล้วตอนพยาบาลเข็นออกไปนั่นเอง!

อาการนอนไม่หลับไม่ได้เกิดขึ้นกันฉันเท่านั้น คนไข้และญาติเตียงอื่นก็เป็นเหมือนกัน มีคนนอนเตียงข้างๆ บอกเธอถึงกับขนลุกซู่ เมื่อได้ยินเสียงคนเดินไปเดินมา พึมพำว่าตาย...ตาย...เป็นเสียงแหบพร่าจนแยกไม่ได้ว่าเสียงผู้หญิงหรือผู้ชาย

ที่แน่ๆ คือได้ยินแล้วทำให้รู้สึกวังเวงใจสิ้นดี!

เธอเล่าว่านอนฟังอยู่นาน จนได้ยินเสียงคนไข้คราง อึกๆ อักๆ คล้ายหายใจไม่ออก...แล้วพยาบาลก็เข้ามา

ญาติคนไข้ที่เป็นป้าแก่ๆ แกสันนิษฐานให้ชวนขนหัวลุกว่า อาจจะเป็นเจ้ากรรมนายเวรของเขามารออยู่ก็เป็นได้!

นอกจากนี้ยังมีญาติคนไข้ที่เห็นและได้ยินเหมือนกันอีกค่ะ คือแกเห็นเป็นเงาคนผลุบเข้าไปเต็มตา...แสดงว่าฉันไม่ได้ตาฝาดหรือประสาทหลอน ไปเองใช่ไหมคะ?

เหตุการณ์น่าสยองนี้ทำเอาฉันผวา ไม่อยากไปนอนเฝ้าไข้ใครอีกเลยค่ะ กลัวว่าจะเจอยมทูตเข้ามาล่าวิญญาณเหมือนอย่างที่เคยประสบมาในคืนนั้น...ทุก วันนี้นึกถึงแล้วยังขนหัวลุกอยู่เลยค่ะ...บรื๋ออออ


ขอบคุณ แหล่งที่มาหนังสือพิมพ์  

วันจันทร์ที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2557

ผี เรื่องผี เรื่องเล่าสยองขวัญ ห้องนอนมรณะ

กรอง เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากห้องนอนผีแขวนคอ เหตุการณ์นี้มาผ่านกว่า 3 ปี แต่รับรองชาตินี้ทั้งชาติดิฉันไม่มีวันลืมแน่นอน

เหตุการณ์นี้ผ่านมาสามปีกว่าแล้วล่ะค่ะ แต่รับรองว่าชาตินี้ทั้งชาติดิฉันไม่มีวันลืมแน่ มันเป็นเรื่องสยดสยองสุดๆ เลยเชียว ตอนนั้นฉันอยู่มหาวิทยาลัยปี 2 และเป็นเด็กกิจกรรมด้วยก็เลยมีเพื่อนฝูงเยอะแยะ แต่เพื่อนที่สนิทกันจริงๆ มีแค่ไม่กี่คนเอง หนึ่งในนั้นคือ “ปิ่น” 


ซึ่งคนอื่นอาจมองว่าหล่อนออกจะเพี้ยนๆ พิกล แต่สำหรับฉัน หล่อนเป็นเพื่อนที่ดีมาก มีน้ำใจและน่าสงสารด้วย เพราะปิ่นเพิ่งสูญเสียพี่สาวสุดที่รักไปได้ไม่นาน ด้วยสาเหตุที่น่าสลดใจมากเชียว พี่ปูของปิ่นอายุเข้าเบญจเพสพอดีตอนที่เกิดเรื่องสยองขวัญ! ถ้าครอบครัวของปิ่นจะมีใครสักคนที่เพี้ยน ก็คงเป็นพี่ปูนี่แหละ ไม่ใช่ปิ่นหรอก เพราะพี่ปูต้องไปหาหมอและต้องกินยาเป็นประจำ ห้ามหยุดเด็ดขาด

ปิ่นว่าหมอบอกพี่ปูเป็นโรคซึมเศร้า และเมื่อฟังอาการแล้วฉันคิดว่าเธอน่าจะเป็นโรคไบโพลาร์นะ คืออารมณ์แปรปรวน เหวี่ยงไปเหวี่ยงมาแบบสุดขั้ว คือเดี๋ยวก็เศร้า เครียด หดหู่ เดี๋ยวก็ร่าเริงสุดขีด นอกจากนั้นยังเป็นคนขี้ระแวงแบบไม่มีเหตุผล บางทีก็เดือดดาลพาลทะเลาะกับพ่อแม่อย่างรุนแรงแทบบ้านแตก

แต่ถึงกระนั้น พี่ปูก็ยังรักน้องปิ่นมาก ไม่แตะต้องหรือพูดจาอะไรให้เสียใจเลย!

อยู่มาวันหนึ่ง พี่ปูผูกคอตายในห้องนอนของเธอเอง ไม่มีใครรู้จนบ่ายแก่ๆ แม่ต้องให้คนในบ้านมาช่วยกันงัดประตูเข้าไป แล้วก็พบพี่ปูผูกคออยู่ในตู้เสื้อผ้า ใบหน้าที่เคยสวยงามน่ารักกลับบวมพอง เขียวคล้ำ ดวงตาถลนออกมาและลิ้นสีดำจุกปากอย่างน่ากลัวที่สุด

“ตั้งแต่ฆ่าตัวตายไปวันนั้น พี่ปูก็สิงอยู่ในห้องตลอด ไม่ยอมไปผุดไปเกิด ไม่เชื่อก็ลองเข้าไปสิ ห้องนั้นจะเย็นยะเยือก ทั้งๆ ที่อากาศร้อนอบอ้าว และเราก็ไม่ได้เปิดแอร์ด้วย” ปิ่นเล่าอย่างน่าขนหัวลุกให้ฟัง “แม่นิมนต์พระมาทำบุญบ้านแล้ว แต่ปิ่นว่าวิญญาณพี่ปูยังไม่สงบ พวกเราในบ้านไม่เคยถูกผีพี่ปูหลอก แต่คนในซอยที่เขาลือกันแซดว่าเห็นพี่ปูยืนอยู่ตรงหน้าต่าง”

เราที่นั่งล้อมวงกันฟังอยู่ต่างมองหน้ากันอย่างเสียวสยอง แต่ก็ยังมีคนบ้าๆ อย่างฉันนึกอยากลองของไปดูห้องนั้น ว่ามันจะเยือกเย็นอย่างประหลาดจริงอย่างที่ปิ่นโม้หรือเปล่า?

แล้ววันหนึ่งที่เราเลิกเรียนตอนบ่าย เราก็ไปที่บ้านของปิ่นกันโดยมีตัวฉันกับเพื่อนอีก 4 คน บอกตรงๆ ว่าตัวฉันเองน่ะนั่งขนลุกไปตลอดทาง

พอถึงบ้านปิ่น เราก็ไปสวัสดีคุณแม่ที่กำลังเตรียมทำกับข้าว จากนั้นปิ่นบอกคุณแม่ว่าจะพาเพื่อนๆ ไปคุยบนห้อง

ห้องของปิ่นติดกับห้องพี่ปู และที่หน้าห้องพี่ปูก็มีผ้ายันต์ปิดไว้ เห็นแล้วเสียวสันหลังวาบเลยค่ะ ปิ่นบอกให้เราเงียบๆ ขณะผลักประตูเข้าไป ลมเย็นกลิ่นหอมเอียนๆ เหมือนดอกไม้แห้งโชยวูบออกมา และเมื่อก้าวเข้าไปอยู่ในห้อง เราทุกคนก็รู้สึกเย็นแปลกๆ จริงๆ ด้วย

ขณะที่เพื่อนๆ กำลังซึมซับความเสียวสยอง ฉันก็มองไปเห็นผู้หญิงคนหนึ่งตรงมุมห้อง ร่างเธอผอมบาง ผิวมืดๆ เป็นสีม่วงคล้ำทั้งตัว ผมยาวประบ่า สวมเสื้อยืดลึกลับที่ฉันแน่ใจว่าคือพี่ปู ลอยวูบเข้ามาหา มายืนอยู่ข้างหลัง…

ขณะที่ตกใจและช่วยตัวเองไม่ได้นั้น ฉันรู้สึกอึดอัดเหมือนมีอะไรมารัดคอไว้แน่นจนหายใจไม่เข้า และเอามือตะกุยที่ลำคอ

ในความรู้สึกครึ่งๆ กลางๆ นั้น เพื่อนๆ ร้องวี้ดว้ายชุลมุน ต่างตะโกนว่าผีเข้า…ผีเข้า! แม่ของปิ่นวิ่งโครมๆ ขึ้นบันไดมากับคนรับใช้ และเมื่อแม่ของปิ่นประคองฉันก็ปรากฏว่าฉันร้องไห้โฮ โดยมันไม่ใช่ตัวของฉันเลย!

ฉันร้องแบบคนหายใจไม่ออก และพร่ำขอโทษแม่ เสียงที่ออกมาจากลำคอของฉันก็ไม่ใช่เสียงตัวฉันเองสักหน่อย ฉันพูดและทำอาการกิริยาต่างๆ ตามที่วิญญาณพี่ปูให้ทำแทนเธอ…ฉันเป็นแค่หุ่นกระบอกที่มีผีพี่ปูคอยชักใย อยู่เบื้องหลัง…

พี่ปูพูดอะไรต่อมิอะไรมากมาย ฉันเหนื่อยเหลือเกิน แล้วสติก็ดับวูบ

เมื่อฟื้นอีกที ฉันอยู่ที่โรงพยาบาลใกล้บ้านปิ่น แถวๆ ลาดพร้าวนั่นแหละ ไม่ต้องมีใครเล่าซ้ำฉันก็รู้ว่าตัวเองโดนผีเข้า เพราะตลอดเวลาของการเข้าสิงฉันรู้สึกตัวตลอด ซ้ำร้ายยังมองเห็นผีพี่ปูด้วย…นี่เองที่เรียกว่าผีเข้า! ผีพี่ปูไม่ได้เข้ามาอยู่ในร่างฉัน เธออยู่ใกล้และครอบงำฉันอย่างสมบูรณ์!

ดูเหมือนการเข้าสิงให้ฉันเป็นร่างทรงคราวนั้น จะทำให้เธอระบายความในใจจนหมดเปลือกและหายห่วง วิญญาณพี่ปูจึงไปสู่สุคติ ห้องนอนมรณะไม่เยือกเย็นอีกต่อไป และไม่มีใครเห็นผีพี่ปูอีกเลย

มีก็แต่ฉันและผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์วันนั้นที่ยังผวาไม่หาย และกลัวผีอย่างฝังจิตฝังใจไปชั่วชีวิต!


ขอบคุณ แหล่งที่มาหนังสือพิมพ์

วันพฤหัสบดีที่ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2557

ผี เรื่องผี เรื่องเล่าสยองขวัญ ไปเกี้ยวสาว

คนละโว้ เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกในอดีต

สมัยเด็กผมอยู่ที่ อ.โคกสำโรง จ.ลพบุรี เมืองโบราณที่มีตำนานมากมาย รวมทั้งเรื่องผีๆ สางๆ ก็ไม่ใช่น้อย เรื่องที่น่ากลัวมากสำหรับเด็กๆ อย่างพวกผมคือ "ตายใบไม้เหลือง"

พวกผู้ใหญ่เล่าว่า เมื่อสงครามโลกครั้งที่ 2 สงบใหม่ๆ เกิดโรคร้ายคือฝีดาษ หรือไข้ทรพิษระบาดที่ตำบลหนองสำโรง คนล้มตายเป็นเบือ คนที่เจ็บป่วยแล้วรอดมาได้ก็มีรอยแผลเป็นตามใบหน้าและร่างกาย คนเคราะห์ร้ายกว่านั้นก็ถึงกับตาบอดไปเลย

คนตายมากขนาดต้องเผาศพแทบทั้งวันทั้งคืน!

เปลวไฟร้อนแรงทำให้ใบไม้เหลืองไปหมด ชาวบ้านสยดสยอง หวาดกลัวจนต้องอพยพครอบครัว อุ้มลูกจูงหลานหนีโรคระบาดไปอยู่ที่อื่นชั่วคราว กระทั่งโรคร้ายบรรเทาลงจึงได้อพยพกลับมาอีกครั้ง

เมื่อผมแตกเนื้อหนุ่มก็มีเพื่อนรุ่นพี่ชักชวนไปเที่ยวเตร่เฮฮาตามประสาชาย โสด อีกทั้งการไปเที่ยวบ้านสาวๆ ตอนกลางคืนอีกด้วย มีพี่ทิดบุญยังกับพี่ทิดแก้ว สองคนนี้เป็นหัวโจก ไปงานบวชบ้าง แต่งงานบ้าง แต่พวกหนุ่มๆ จะชอบงานบวชมากกว่า เพราะเป็นประเพณีที่ต้องจัดงานกันใหญ่โตเท่าที่จะทำได้

พ่อนาคจะแต่งตัวโพกผ้า ติดเครื่องประดับและใส่แว่นตาดำคล้ายๆ กับประเพณีบวชลูกแก้วของชาวแม่ฮ่องสอน

งานบวชส่วนมากจะจัดกันถึง 4 วัน คือตำขนมจีน 1 วัน, แห่ 1 วัน, เวียนรอบโบสถ์ (หรือบวช) 1 วัน, แถมฉลองพระบวชใหม่อีก 1 วัน

ที่หนุ่มๆ ชอบงานนี้ก็เพราะมีโอกาสได้ไปช่วยสาวๆ หาบน้ำจากพรุมารดข้าวทุกวันเพื่อทำขนมจีน ช่วยสาวๆ ที่มีทั้งพวกเจ้าภาพและเพื่อนบ้านตำขนมจีนกันไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย...ได้ โอกาสเกี้ยวพาราสีกันไปด้วย

ไหนจะประเพณีเก็บข้าวไว้ซ้อมตอนกลางคืนอีกล่ะครับ!

บ้านไหนไม่มีลูกสาวก็จัดการซ้อมข้าวตอนกลางวันได้เลย เพราะไม่มีไอ้หนุ่มคนไหนมาช่วยซ้อมให้หรอก แต่บ้านที่มีลูกสาวสวยๆ น่ะเป็นอันว่าหายห่วง ตกค่ำก็จุดตะเกียงกระป๋องรอคอยได้เลย

นั่นคือเป็นการส่งสัญญาณ เชิญชวนให้พวกหนุ่มๆ ลูกคางใสให้รีบกุลีกุจอเข้ามาช่วยพลีแรงกาย ซ้อมข้าวให้ฟรีๆ โดยมีการเกี้ยวสาวเป็นสิ่งตอบแทน

บรรพบุรุษของพวกเราส่วนมากก็ผูกสมัครรักใคร่ ได้เกี่ยวก้อยกันเข้าหอก็เพราะการช่วยตำขนมจีน ตำข้าวนี่แหละครับ

อ้อ! คำว่า "เกี่ยวก้อย" มีความหมายเป็นที่เข้าใจกันดีอยู่แล้ว แต่ที่บ้านผมน่ะทำยังงั้นตรงตัวจริงๆ คือให้เจ้าสาวเกี่ยวนิ้วก้อยกับเจ้าบ่าวขึ้นเรือนหอ โดยถือเคล็ดว่าอย่าให้นิ้วก้อยหลุดจากกัน ไม่งั้นจะเป็นลางไม่ดีในวันหน้า

เผลอๆ คำว่า "เกี่ยวก้อย" ที่ใช้พูดและเขียนกันไปทั่วไปนั่นน่ะ อาจจะมีต้นตอมาจากบ้านผมก็ได้ ไม่แน่!

คืนหนึ่ง พี่ทิดทั้งสองก็มาร้องเน้อๆ ชวนผมไปเกี้ยวสาวบ้านนั้นบ้านนี้ตั้งแต่หัวค่ำแล้ว เดินไปไม่นานก็เห็นแสงไฟสว่างเรืองที่ใต้ถุนก็เลี้ยวเข้าไปทันที มีหนุ่มอื่นๆ ในตำบลที่คุ้นหน้าคุ้นตากันดีเป็นคู่แข่ง

เรื่องนี้เราไม่ว่ากัน ใครดีใครได้ หรือสุดแท้แต่ผู้หญิงเขาจะถูกชะตาคนไหน จะคารมเป็นต่อ-รูปหล่อเป็นรองหรือไม่ ก็ว่ากันไป

บางบ้านค่อนข้างเงียบเหงาเพราะมีลูกสาวน้อย แถมยังไม่ค่อยสะสวย...จนกระทั่งเราเห็นแสงไฟสว่างที่ใต้ถุนบ้านป้าคำใส พี่ทิดบุญยังรีบนำหน้า เห็นสาวๆ อยู่สามคนกำลังซ้อมข้าว...สองคนเงยหน้าขึ้นมายิ้มให้ อีกคนก้มหน้าง่วงอยู่ที่ครกท่าเดียว

จู่ๆ หมาเจ้ากรรมก็หอนโบ๋วขึ้นมา พี่ทิดทั้งสองสะกิดกันถามว่าใคร? ผมเองก็เอะใจที่เห็นสาวแปลกหน้าทั้งคู่ จนกระทั่งคนที่ก้มอยู่เงยหน้าขึ้นมา เราผงะหงายไปทุกคนเมื่อจำได้ถนัดตาว่าใครเป็นใคร?

โธ่...ก็พี่สายบัว-ลูกสาวป้าคำใสตายไปเมื่อต้นปีเพราะเป็นไข้ทับระดู!

ร่างของสองสาวรางเลือนไปในแสงไฟ เสียงพี่ทิดทั้งสองร้องแต่เฮ้ยๆๆ เหมือนคนบ้า ความมืดสาดพรึ่บเข้ามาแทนที่ ยอดไม้ไหวซ่า ผมหันกลับวิ่งนำหน้าไม่คิดชีวิต ล้มลุกคลุกคลานแทบตายกว่าจะถึงบ้าน

ยามดวงซวย บทจะโดนผีหลอกซะอย่างทำให้ลืมเสียสนิทว่าบ้านนี้ไม่มีลูกสาวอีกแล้ว...ขนหัวลุกครับ!

ขอบคุณ แหล่งที่มาหนังสือพิมพ์

ผี เรื่องผี เรื่องเล่าสยองขวัญ ไข่ผีสิง


นายคูน เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากไข่ผีสิง

ถ้าไม่ได้เจอะเจอกับตัวเอง ผมก็ไม่อยากจะเชื่อหรอกครับว่ามันจะเป็นไปได้! แต่มันก็เป็นไปแล้ว แถมต่อหน้าต่อตาผมเองแท้ๆ

เรื่องราวสยดสยอง น่าขนลุกขนพองต่างๆ นานาที่ผมเคยดูหนัง อ่านหนังสือ รวมทั้งที่เขาเล่าให้ฟัง รับรองว่าไม่ได้กระผีกของเรื่องแปลกประหลาดที่ผมเคยพบเมื่อ 3-4 ปีก่อน เพราะมันแสนมหัศจรรย์ รวมทั้งทำให้ขนพองสยองเกล้าอีกต่างหาก!

ผมเป็นคนขับรถแท็กซี่อาชีพครับ

โถ...อย่าไปพูดถึงมีรถเป็นของตัวเองให้ช้ำใจดีกว่า วันๆ ต้องนั่งหลังขดหลังแข็งไม่ต่ำกว่าสิบชั่วโมงก็เพื่อหาเงินไปประเคนให้ เถ้าแก่กับค่าแก๊ส วันไหนเหลือ 4-5 ร้อยบาทก็ถือว่าโชคดีแล้ว

เส้นทางที่ถนัดถนี่ก็ต้องเจริญกรุง เยาวราช พระรามสี่ อย่างดีก็สุขุมวิทต้นๆ เพราะบ้านพักอยู่แถวหัวลำโพง ผมขับกะค่ำราว 4-5 โมงเย็น ตีรวดไปตี 3 ตี 4 เลยครับ

หัวค่ำวันเกิดเหตุผมรับอาซิ้มมาจากสวนกวางตุ้ง จุดหมายคือปากซอยนานาใต้ฝั่งพระรามสี่...พออาซิ้มลงปุ๊บ ผมออกรถได้ไม่นาน คุณลุงวัยห้าสิบเศษ ผิวคล้ำ หน้าตาดุเอาการ แถมไว้หนวดเฟิ้ม นุ่งโสร่งสวมเสื้อดำแบะอกเห็นเสื้อยืดสีคล้ำก็โบกให้จอด เปิดประตูรถขึ้นมาได้บอกสั้นๆ

"ไปคลองเตย แถวคลองไผ่สิงโต" เสียงแกดุดันพิลึก "เหยียบเลยโว้ยไอ้น้อง"

จำได้ว่าตอนนั้นค่ำวันอาทิตย์ รถราไม่ถึงกับคับคั่งนัก...ชำเลืองดูกระจกหลังเห็นแกนั่งชิดซ้าย วางกล่องผูกผ้าดำไว้บนเบาะด้านขวา หน้าตาท่าทางไม่มีอารมณ์ที่จะพูดคุยใดๆ ทั้งสิ้น

อ้อ! ลืมบอกไปว่าผมรับแกมาจากริมทางเปลี่ยวรกร้าง มีห้องแถวโย้เย้จวนพัง ศาลเจ้าเก่าแก่ใกล้สิ้นสภาพ ขยะเกลื่อนกลาดไปหมด ทั้งที่เป็นย่านที่เจริญแท้ๆ ท่าทางบอกว่าคงจะโดนไล่ที่หรือเวนคืนอะไรประมาณนี้แหละครับ

ไม่ช้าก็ผ่านคลองเตย ด้านซ้ายเป็นถนนใหญ่โอ่อ่า แหม...ไหนจะเป็นที่ตั้งบริษัทหลักทรัพย์กับหอประชุมแห่งชาติสิริกิติ์...ผม ผ่านคลองเตยที่มีรถหนาตาหน่อย ตาลุงที่คงเป็นมุสลิมหันขวับไปมองทางซ้ายแล้วร้องเอะอะ...จอดๆ โว้ย!

ท่าทางเหมือนแกเจอคนรู้จักหรือจุดหมายก็ไม่ทราบ ผมรีบเบรกรถเกือบพร้อมๆ กับที่แกส่งใบละร้อยให้แล้วพูดแล้วปร๋อ...ไม่ต้องทอนว่ะ! ก่อนจะผลักประตูผลุนผลันลงไป

ผมหาทางกลับรถแล้วตีกลับทางเก่าอันคุ้นเคย...ก่อนจะถึงจุดที่รับแกขึ้นมาก็ บังเอิญเหลือบดูทางกระจกหลัง...อ้าว? อารามรีบร้อนทำให้ตาลุงลืมกล่องผ้าดำไว้บนรถผมเฉยเลย!

แทบจะฉับพลันทันใดนั้นเอง เสียงเครื่องยนต์ก็สำลักแพร่ดๆ เบนหัวไปจอดสนิท...อะไรกันวะ? ผมคำราม ลองสตาร์ตเครื่องใหม่อีก 2-3 ครั้งก็ไร้ผล เล่นเอาหัวเสียจนผลักประตูออกมาเตะข้างรถระบายอารมณ์

รถคันอื่นๆ วิ่งแซงไปไม่แยแส ผมเองก็งูๆ ปลาๆ เต็มทีเรื่องเครื่องยนต์ พอดีมีแท็กซี่คันหนึ่งมาจอดข้างหน้าแล้วลงมาถามไถ่ ผมก็บอกไปตามตรงว่าขับมาดีๆ เสือกเครื่องพังซะงั้น!

หมอนั่นอายุรุ่นพี่นิดหน่อย รูปร่างล่ำสันบึกบึนจัดการเปิดท้ายรถ หยิบเชือกเส้นใหญ่มาโยงรถผมแล้วขึ้นไป สตาร์ตรถ ผมเองก็ขึ้นนั่งประจำที่...เสียงเครื่องยนต์คันหน้าดังกระหึ่ม...

นรกเป็นพยาน! จู่ๆ ไฟท้ายรถนั่นก็ลุกพึ่บขึ้นดื้อๆ

ผมด่าขรม เราเผ่นจากรถลงมาพร้อมๆ กัน ผมคว้าถังดับเพลิงที่ติดรถมาช่วยฉีดไฟอยู่ครู่หนึ่ง...เชือกขาดร่องแร่ง คนมีน้ำใจหน้าขาวซีดก่อนจะเผ่นขึ้นรถแล้วตะบึงไปชนิดไม่เหลียวหลัง

บ้าชะมัด! ไม่รู้ว่าเกิดนรกจกเปรตอะไรขึ้น? จนกระทั่งตุ๊กตุ๊กคันหนึ่งมาถามไถ่อย่างมีน้ำใจ ผมก็เล่าแต่ว่ารถเสีย เขาจัดการล่ามเชือกแล้วสตาร์ตเครื่อง! คุณพระช่วย...

อะไรกันนั่น...เขาหันขวับมามองรถผม อ้าปากค้าง นัยน์ตาเหลือกลาน แผดร้องโหวกโหวยเหมือนเห็นอะไรน่าเกลียดน่ากลัวสุดขีด ก่อนจะตะบึงรถไม่คิดชีวิตจนเชือกหลุด...หายลับไปกับแสงไฟยามราตรีอีกราย

คราวนี้ผมเข่าอ่อน เปิดประตูนั่งแหมะอย่างสิ้นเรี่ยวแรง

รถเสีย ไฟไหม้ ตุ๊กตุ๊กหันมาเห็นอะไรหน้ารถผมแล้วร้องจ้าสุดเสียง!

นี่มันเกิดบ้าบอคอแตกอะไรขึ้นมา? ผมหันไปเห็นกล่องผ้าดำนั่นเลยเอื้อมมือไปหยิบมาเปิดออกดู ข้างในเป็นกล่องกระดาษ มีไข่เป็ดหนึ่งฟอง ดูๆ แล้วก็ไม่เห็นจะน่ามีพิษสงอะไร

ตัดสินใจไปลองสตาร์ตรถดูใหม่ อ๊ะ...คราวนี้ติดปร๋อ แต่ปัญหาคาใจยังไม่หายเลยตีรถกลับไปบริเวณที่รกร้างซึ่งผมรับตาลุงหน้าตาดุ ดันนั่นขึ้นมา...จอดรถแล้วใช้ผ้าดำห่อกล่องใส่ไข่ไว้ตามเดิม เดินสวบๆ ไปถึงต้นไม้ร่มครึ้ม ขยะเกลื่อน ก่อนจะวางห่อไข่นั่นไว้แล้วหันหลังกลับทันที

สงสัยจะเป็นไข่ไสยศาสตร์ของหมอแขกเรืองอาคม ลืมที่ไหนไม่ลืม ดันมาลืมทิ้งไว้ในรถผมเฉยเลย แต่ก็ทำให้ผมขนหัวลุกล่ะครับ! บรื๋ออออ...

ขอบคุณ แหล่งที่มาหนังสือพิมพ์

ผี เรื่องผี เรื่องเล่าสยองขวัญ หมอผีถูกล้างแค้น

หลานย่าโม เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกเมื่อหมอผีถูกล้างแค้น

สมัยเด็กดิฉันอยู่ขามทะเลสอ โคราช ตอนนั้นมีแต่ทุ่งนาลิบๆ รอบหมู่บ้านที่อยู่ติดๆ กัน ทางแยกจากถนนใหญ่ค่อนข้างคับแคบ มีรถสองแถวจากจังหวัดเข้าออกเป็นประจำ ในหมู่บ้านมีถนนแดงวกวน เสียงหมาเห่า เสียงไก่ร้อง ดูๆ ก็คึกคักดีในตอนกลางวัน แต่ตกกลางคืนช่างเปล่าเปลี่ยวเยือกเย็นจับใจ

ดงตาลกลางทุ่งเขาร่ำลือว่าผีดุนักหนา! ตอนเย็นที่ฟ้าแดงฉานเหมือนละเลงไว้ด้วยเลือดสดๆ ลมพายุพัดแรงจนเห็นต้นตาลโอนเอนไปมา ใบตาลโบกสะบัดซู่ซ่า ดูแล้วคล้ายอสุรกายกำลังโยกร่างของมัน พลางหัวเราะเย้ยหยันเกรียวกราว...บางคนบอกว่าเคยเห็นหน้าผีใหญ่เท่ากระด้ง กำลังแยกเขี้ยว นัยน์ตาถลน จ้องมองอย่างดุร้ายกระหายเลือดด้วยค่ะ!

ตอนเย็นๆ พวกเราจะนั่งล้อมวงกินข้าวกันที่ร้านชั้นล่าง ใกล้กับบันไดขึ้นชั้นบน ที่นั่นราดซีเมนต์ไว้โล่งๆ ด้านหลังคือครัวกับห้องน้ำ ถัดออกไปเป็นสวนครัว บ่อน้ำ ป่าละเมาะและทุ่งนา

เกือบทุกบ้านมีรั้วไม้ระแนง ปลูกกล้วยอ้อย มะม่วงมะพร้าวไว้หน้าบ้านคล้ายๆ กัน

ตกค่ำพ่อแม่จะเรียกลูกๆ ขึ้นบ้าน ปิดบันไดแน่นหนาเพื่อความปลอดภัย...เขาว่าสมัยก่อนถึงกับชักบันไดขึ้นเลย ป้องกันขโมยขโจรและสัตว์ร้ายไม่ให้บุกรุกขึ้นบ้านได้ง่ายๆ

ตกกลางคืนห้ามพูดถึงเรื่องผีเด็ดขาด!

คนที่เจ็บหนักใกล้ตาย พวกญาติๆ จะพูดกันว่าขอให้ตายตอนกลางคืนจะได้ขึ้นสวรรค์ ถ้าตายตอนกลางวันจะตกนรก แถมเป็นสาหตุทำให้ผีดุด้วยค่ะ

แถวนั้นเชื่อเรื่องผีปอบมาก ถ้าใครตายโดยไม่ทราบสาเหตุแน่ชัดก็จะว่าโดนปอบกิน!

ดิฉันเคยได้ยินเขาซุบซิบกันว่าคนนั้นคนนี้เป็นปอบ แต่ไม่เคยจับได้จริงๆ จังๆ สักครั้งเดียว เพราะไม่มีหลักฐานกับไม่มีใครตายอีก เรื่องน่ากลัวที่พูดกันก็เงียบหายไปเอง

หมอป่านเคยถูกสงสัยมากที่สุดว่าแกเป็นปอบ หรือไม่ก็เลี้ยงปอบไว้กินตับ กับทำร้ายชาวบ้านที่แกไม่ชอบหน้า!

หมอป่านอายุห้าสิบเศษ ร่างผอมสูง ผิวดำ ตาดุ ผมขาวโพลน เขาว่าแกมีวิชาอาคมจากอาจารย์เขมร ทั้งเลี้ยงผีและทำคุณไสยต่างๆ เช่น เสกตะปู กระดูกผี หรือหนังควายเข้าท้องศัตรูได้...ตอนดึกๆ มีคนเคยได้ยินเสียงภูตผีกู่ร้องโหยหวนมาจากบ้านเก่าๆ ที่ท้ายหมู่บ้านเป็นประจำ

พวกหนุ่มๆ ชอบไปขอของดี เช่น น้ำมันพราย รวมทั้งมนต์เสน่ห์ต่างๆ มาใช้ แต่พวกผู้ใหญ่ไม่ค่อยชอบหน้าแก...ลือกันว่า เมื่อแม่แกตายหมอป่านก็ฝังศพไว้ใต้ต้นตะเคียนริมรั้วบ้านแกนั่นแหละ ค่ะ...กลายเป็นปอบเฒ่าที่หิวโหยเครื่องเซ่น คือเลือดเนื้อของมนุษย์ เพราะหลังจากนั้นไม่นานก็มีคนในหมู่บ้านเกิดอุบัติเหตุตายโหงบ่อยๆ

โดนรถชนตายก็มี ถูกงูกัดตายก็มี เด็กขี่จักรยานพุ่งชนรั้วคอหักตายคาที่ก็มี จนชาวบ้านชักจะเอะใจกันเป็นแถว

ล่าสุดน้าไหมท้องแก่ราว 7-8 เดือน ยืนสอยมะม่วงที่หน้าต่าง จู่ๆ ก็มีลมกระโชกวูบ ไม้หักโครมพุ่งเข้าเสียบยอดอกทะลุหลัง ชาวบ้านได้ยินเสียงน้านาย-ผัวแกร้องโวยวายก็วิ่งไปดู เห็นแต่ภาพหวาดเสียวของน้าไหมดิ้นทุรนทุราย นัยน์ตาเหลือกลาน เลือดไหลนองเต็มพื้นเรือน!

หลังจากหมอมาชันสูตรศพแล้ว พวกญาติก็นำไปบำเพ็ญกุศลที่วัดก่อนจะฝังศพที่ป่าช้าทั้งๆ ที่เขาห้ามฝังศพหลุมเดียวกัน เพราะจะทำให้วิญญาณเฮี้ยนมาก แต่สำหรับน้าไหมคงจะถือว่าตายทั้งกลม หรือสาเหตุอะไรก็ไม่ทราบแน่ชัด เขากลับฝังไว้ในหลุมเดียวกันเฉยเลย

หมอป่านเก็บตัวเงียบ คงจะรู้ตัวดีว่าใครๆ ก็เพ่งไปที่แกเป็นจุดเดียวกัน...แต่วิญญาณน้าไหมกลับขึ้นจากหลุมไปที่บ้านของแก!!

ตกค่ำชาวบ้านดับไฟขึ้นนอนกันเกือบหมดแล้ว มีเสียงลมพัดคร่ำครวญวู่หวิว ฟังคล้ายเสียงร่ำไห้สะอึกสะอื้นมาจากป่าช้า หมูหมาก็เห่าเสียงขรมก่อนจะโก่งคอหอนโหยหวนเยือกเย็นจับใจ...หอนรับกันเป็น ทอดๆ ผ่าน บ้านอื่นๆ มาหยุดลงตรงหน้าบ้านน้าไหมนั่นเอง

ไม่มีใครกล้าโผล่หน้าไปดู นอกจากจะนอนเหงื่อหยดเผาะๆ กันทั้งนั้น แว่วเสียงร้องของน้านายดังขึ้นว่า...ไปที่ชอบๆ เถอะไหมเอ๊ย แล้วข้าจะทำบุญกรวดน้ำไปให้!

มีเสียงร้องไห้สะอึกสะอื้นดังมาตามสายลม เสียงหมาครวญครางงื้ดง้าด ก่อนจะเห่าหอนรับกันกลับทางเดิม จนกระทั่งเงียบหายไป

คนที่กลับจากไร่นาตอนเย็นๆ เห็นน้าไหมอุ้มลูกยืนมองมาที่ข้างทาง เล่นเอาร้องลั่นทุ่งวิ่งอ้าวไม่คิดชีวิตมาหลายรายแล้ว กระทั่งคืนหนึ่งได้ข่าวว่าน้าไหมอุ้มลูกบุกเข้าไปในบ้านหมอป่าน ลูกสาวคนเล็กร้องกรี๊ดๆ เล่นเอาหมอผีกับลูกเมียต้องเผ่นกระเจิงออกมานอกบ้าน

วันรุ่งขึ้น หมอป่านก็พาลูกสาวที่เจ็บหนัก พร่ำเพ้อไม่ได้สติไปรักษาในจังหวัด ไม่ช้าก็ได้ข่าวว่าเสียชีวิตที่นั่น หมอผีกับเมียเหมารถมาขนของย้ายบ้าน...หายสาบสูญไปเลยค่ะ!

ขอบคุณ แหล่งที่มาหนังสือพิมพ์

บทความที่ได้รับความนิยม

คลังบทความของบล็อก