วันพฤหัสบดีที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2557

ผี เรื่องผี เรื่องเล่าสยองขวัญ ห้องนอนมรณะ

กรอง เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากห้องนอนผีแขวนคอ เหตุการณ์นี้มาผ่านกว่า 3 ปี แต่รับรองชาตินี้ทั้งชาติดิฉันไม่มีวันลืมแน่นอน

เหตุการณ์นี้ผ่านมาสามปีกว่าแล้วล่ะค่ะ แต่รับรองว่าชาตินี้ทั้งชาติดิฉันไม่มีวันลืมแน่ มันเป็นเรื่องสยดสยองสุดๆ เลยเชียว ตอนนั้นฉันอยู่มหาวิทยาลัยปี 2 และเป็นเด็กกิจกรรมด้วยก็เลยมีเพื่อนฝูงเยอะแยะ แต่เพื่อนที่สนิทกันจริงๆ มีแค่ไม่กี่คนเอง หนึ่งในนั้นคือ “ปิ่น” ซึ่งคนอื่นอาจมองว่าหล่อนออกจะเพี้ยนๆ พิกล แต่สำหรับฉัน หล่อนเป็นเพื่อนที่ดีมาก มีน้ำใจและน่าสงสารด้วย เพราะปิ่นเพิ่งสูญเสียพี่สาวสุดที่รักไปได้ไม่นาน ด้วยสาเหตุที่น่าสลดใจมากเชียว พี่ปูของปิ่นอายุเข้าเบญจเพสพอดีตอนที่เกิดเรื่องสยองขวัญ!

ถ้าครอบครัวของปิ่นจะมีใครสักคนที่เพี้ยน ก็คงเป็นพี่ปูนี่แหละ ไม่ใช่ปิ่นหรอก เพราะพี่ปูต้องไปหาหมอและต้องกินยาเป็นประจำ ห้ามหยุดเด็ดขาด

ปิ่นว่าหมอบอกพี่ปูเป็นโรคซึมเศร้า และเมื่อฟังอาการแล้วฉันคิดว่าเธอน่าจะเป็นโรคไบโพลาร์นะ คืออารมณ์แปรปรวน เหวี่ยงไปเหวี่ยงมาแบบสุดขั้ว คือเดี๋ยวก็เศร้า เครียด หดหู่ เดี๋ยวก็ร่าเริงสุดขีด นอกจากนั้นยังเป็นคนขี้ระแวงแบบไม่มีเหตุผล บางทีก็เดือดดาลพาลทะเลาะกับพ่อแม่อย่างรุนแรงแทบบ้านแตก

แต่ถึงกระนั้น พี่ปูก็ยังรักน้องปิ่นมาก ไม่แตะต้องหรือพูดจาอะไรให้เสียใจเลย!

อยู่มาวันหนึ่ง พี่ปูผูกคอตายในห้องนอนของเธอเอง ไม่มีใครรู้จนบ่ายแก่ๆ แม่ต้องให้คนในบ้านมาช่วยกันงัดประตูเข้าไป แล้วก็พบพี่ปูผูกคออยู่ในตู้เสื้อผ้า ใบหน้าที่เคยสวยงามน่ารักกลับบวมพอง เขียวคล้ำ ดวงตาถลนออกมาและลิ้นสีดำจุกปากอย่างน่ากลัวที่สุด

“ตั้งแต่ฆ่าตัวตายไปวันนั้น พี่ปูก็สิงอยู่ในห้องตลอด ไม่ยอมไปผุดไปเกิด ไม่เชื่อก็ลองเข้าไปสิ ห้องนั้นจะเย็นยะเยือก ทั้งๆ ที่อากาศร้อนอบอ้าว และเราก็ไม่ได้เปิดแอร์ด้วย” ปิ่นเล่าอย่างน่าขนหัวลุกให้ฟัง “แม่นิมนต์พระมาทำบุญบ้านแล้ว แต่ปิ่นว่าวิญญาณพี่ปูยังไม่สงบ พวกเราในบ้านไม่เคยถูกผีพี่ปูหลอก แต่คนในซอยที่เขาลือกันแซดว่าเห็นพี่ปูยืนอยู่ตรงหน้าต่าง”

เราที่นั่งล้อมวงกันฟังอยู่ต่างมองหน้ากันอย่างเสียวสยอง แต่ก็ยังมีคนบ้าๆ อย่างฉันนึกอยากลองของไปดูห้องนั้น ว่ามันจะเยือกเย็นอย่างประหลาดจริงอย่างที่ปิ่นโม้หรือเปล่า?

แล้ววันหนึ่งที่เราเลิกเรียนตอนบ่าย เราก็ไปที่บ้านของปิ่นกันโดยมีตัวฉันกับเพื่อนอีก 4 คน บอกตรงๆ ว่าตัวฉันเองน่ะนั่งขนลุกไปตลอดทาง

พอถึงบ้านปิ่น เราก็ไปสวัสดีคุณแม่ที่กำลังเตรียมทำกับข้าว จากนั้นปิ่นบอกคุณแม่ว่าจะพาเพื่อนๆ ไปคุยบนห้อง

ห้องของปิ่นติดกับห้องพี่ปู และที่หน้าห้องพี่ปูก็มีผ้ายันต์ปิดไว้ เห็นแล้วเสียวสันหลังวาบเลยค่ะ ปิ่นบอกให้เราเงียบๆ ขณะผลักประตูเข้าไป ลมเย็นกลิ่นหอมเอียนๆ เหมือนดอกไม้แห้งโชยวูบออกมา และเมื่อก้าวเข้าไปอยู่ในห้อง เราทุกคนก็รู้สึกเย็นแปลกๆ จริงๆ ด้วย

ขณะที่เพื่อนๆ กำลังซึมซับความเสียวสยอง ฉันก็มองไปเห็นผู้หญิงคนหนึ่งตรงมุมห้อง ร่างเธอผอมบาง ผิวมืดๆ เป็นสีม่วงคล้ำทั้งตัว ผมยาวประบ่า สวมเสื้อยืดลึกลับที่ฉันแน่ใจว่าคือพี่ปู ลอยวูบเข้ามาหา มายืนอยู่ข้างหลัง…

ขณะที่ตกใจและช่วยตัวเองไม่ได้นั้น ฉันรู้สึกอึดอัดเหมือนมีอะไรมารัดคอไว้แน่นจนหายใจไม่เข้า และเอามือตะกุยที่ลำคอ

ในความรู้สึกครึ่งๆ กลางๆ นั้น เพื่อนๆ ร้องวี้ดว้ายชุลมุน ต่างตะโกนว่าผีเข้า…ผีเข้า! แม่ของปิ่นวิ่งโครมๆ ขึ้นบันไดมากับคนรับใช้ และเมื่อแม่ของปิ่นประคองฉันก็ปรากฏว่าฉันร้องไห้โฮ โดยมันไม่ใช่ตัวของฉันเลย!

ฉันร้องแบบคนหายใจไม่ออก และพร่ำขอโทษแม่ เสียงที่ออกมาจากลำคอของฉันก็ไม่ใช่เสียงตัวฉันเองสักหน่อย ฉันพูดและทำอาการกิริยาต่างๆ ตามที่วิญญาณพี่ปูให้ทำแทนเธอ…ฉันเป็นแค่หุ่นกระบอกที่มีผีพี่ปูคอยชักใย อยู่เบื้องหลัง…

พี่ปูพูดอะไรต่อมิอะไรมากมาย ฉันเหนื่อยเหลือเกิน แล้วสติก็ดับวูบ

เมื่อฟื้นอีกที ฉันอยู่ที่โรงพยาบาลใกล้บ้านปิ่น แถวๆ ลาดพร้าวนั่นแหละ ไม่ต้องมีใครเล่าซ้ำฉันก็รู้ว่าตัวเองโดนผีเข้า เพราะตลอดเวลาของการเข้าสิงฉันรู้สึกตัวตลอด ซ้ำร้ายยังมองเห็นผีพี่ปูด้วย…นี่เองที่เรียกว่าผีเข้า! ผีพี่ปูไม่ได้เข้ามาอยู่ในร่างฉัน เธออยู่ใกล้และครอบงำฉันอย่างสมบูรณ์!

ดูเหมือนการเข้าสิงให้ฉันเป็นร่างทรงคราวนั้น จะทำให้เธอระบายความในใจจนหมดเปลือกและหายห่วง วิญญาณพี่ปูจึงไปสู่สุคติ ห้องนอนมรณะไม่เยือกเย็นอีกต่อไป และไม่มีใครเห็นผีพี่ปูอีกเลย

มีก็แต่ฉันและผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์วันนั้นที่ยังผวาไม่หาย และกลัวผีอย่างฝังจิตฝังใจไปชั่วชีวิต! ที่มา : /www.creditonhand.com/ รายงาน : ปฏิพร วาปีทะ Share Button [Pin It] Comments 0 comments เรื่องที่น่าสนใจ ห้องนอนมรณะ ชายปริศนาในชุดขาวที่วัดบวรฯ ตำนานวังพญานาค วังนาคินทร์ ตำนานรักต้องห้ามของ “เจ้าน้อย”กับ”มะเมี๊ยะ” (เรื่องจริงสมัย ร.5) อีอยู่ นักโทษประหาร


 เรื่องจริงของนักโทษประหารในสมัยรัชกาลที่ ๕ เรื่องลี้ลับในวังหลวง เดชผีตายโหง แฟลตผีสิง ยังไม่มีการแสดงความคิดเห็นสำหรับเรื่องนี้..... แสดงความคิดเห็น ชื่อ อีเมล์ เว็บไซต์ ความคิดเห็น CAPTCHA Image Refresh Image CAPTCHA Code * Variety Update กองประกวดMUT ปลด “น้ำเพชร” รองอันดับ2พิษภาพหวิว โพสเมื่อ วันที่19 กรกฎาคม 2014 “เจษ”ควง”ยิปซี”ออกงานครั้งแรก ย้ำสถานะยังไม่ใช่แฟน (มีคลิป) โพสเมื่อ วันที่19 กรกฎาคม 2014 ชีวิตหลังเกษียณ “มิยาซากิ” ยังมา Studio Ghibli ทุกวัน โพสเมื่อ วันที่19 กรกฎาคม 2014 ดูละครย้อนหลัง PICPOST กินเที่ยว ข่าวฮ็อต คลิปวีดีโอ ดาราอินเตอร์ ดาราเอเชีย ดาราโลก ดาราไทย ธุรกิจดารา ประเด็นร้อน พรีวิวบันเทิง ภาพยนตร์ ยานยนต์ เกร็ดหนุ่มสาว ผู้ชาย ผู้หญิง แกดเจ็ท Thailand Web Stat Copy right 2013 ©



ขอบคุณ แหล่งที่มาหนังสือพิมพ์

ผี เรื่องผี เรื่องเล่าสยองขวัญ ลางมรณะ

เอก เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากลางมรณะ

สมัยหนุ่มผมเป็นแขกขาประจำของคาเฟ่ย่านสะพานควาย จนรู้จักกับเจ้าของ กัปตัน นักร้องและสาวเสิร์ฟทุกคน บางวันก็แวะไปตั้งแต่ตอนเย็น ได้พบกับเรื่องแปลกๆ ที่เกิดขึ้นก่อนคาเฟ่เปิดรับแขกที่ทยอยกันเข้ามาราวสองทุ่มเศษ

ช่วงนั้นจะมีคนมาสมัครงานกันหนาตา ที่โต๊ะหินหน้าบาร์น้ำ ติดๆ กับสนามโล่งกว้างเป็นที่ตั้งโต๊ะ ใต้เต็นท์ มีเวทีติดกับกำแพงรั้วด้านขวามือ

เรื่องน่าขนหัวลุกที่ผมประสบมาเกิดขึ้นที่นั่น เองครับ!

นักร้องกับสาวเสิร์ฟมาสมัครงาน สาวเสิร์ฟ มักหมุนเวียนเข้าออกกันอยู่เสมอ พวกดาวตลกกับ นักแสดงกลโนเนมก็ทยอยกันเข้ามาเรื่อยๆ รวมทั้งรถส่งเครื่องดื่มเหล้าเบียร์และโซดา...ผมรู้จักอ๋อยตอนแรกก็ที่คาเฟ่ แห่งนั้นเอง

ตอนแรกนึกว่าสมัครนักร้อง เพราะอ๋อยสะสวย ผิวขาว หุ่นดี แต่เธอกลับขอสมัครเป็นสาวเสิร์ฟ บอกว่าไม่เคยทำงานมาก่อน เห็นติดป้ายรับสมัครก็เลยแวะเข้ามา

ทางร้านอยากให้เป็นนักร้องโดยมีครูสอนให้ แต่อ๋อยบอกว่าร้องเพลงไม่เป็นและไม่ชอบเป็นนักร้อง...ไม่ว่าจะเกลี้ยกล่อม ยังไงเธอก็ปฏิเสธท่าเดียว ในที่สุดก็รับไว้เป็นผู้ช่วยติ๋มที่บาร์น้ำแถวหน้าห้องครัวใกล้ๆ กับโต๊ะแขกที่เป็นม้าหินล้วนๆ ริมกำแพง

อ๋อยเป็นคนเงียบๆ เฉยๆ มีแขกสนใจหลายคน แต่เธอไม่แยแสใครเลย

เย็นหนึ่ง สาวเสิร์ฟทยอยกันมา อ๋อยตระเตรียมโซดา น้ำแข็งและผลไม้เรียบร้อยแล้ว เห็นผมนั่งดื่มเบียร์คนเดียวก็เดินเข้ามานั่งร่วมโต๊ะม้าหินใกล้ประตูรั้ว และศาลพระภูมิ...เธอได้รับทิปจากผมบ่อยๆ เพราะเห็นใจที่มีแต่สาวเสิร์ฟเท่านั้นได้ทิปจากแขกแค่นิดๆ หน่อยๆ

อ๋อยเล่าว่าอีก 2-3 วันจะไปทอดผ้าป่ากับเพื่อนๆ ที่ศรีสะเกษ รถออกจากสะพานควายตอนดึกไปสว่างที่โน่น เสร็จแล้วได้พบปะคนบ้านเดียวกัน บ่ายๆ ก็จะกลับมาถึงนี่ตอนค่ำ ไม่เสียงานอีกด้วย

พอดีนักร้องทยอยกันเข้ามา บางคนแวะคุยก่อนจะเข้าห้องแต่งตัวเปลี่ยนชุดนักร้อง บางคนแต่งหน้าแต่งตัวเสร็จก็มาคุยด้วย แต่บางคนก็หอบอาหารที่แวะซื้อใส่จานมานั่งกิน...พูดจาหยอกล้อกันจนแขกเริ่ม เข้า...

อีกราว 3-4 วันต่อมา ผมก็แวะไปที่คาเฟ่แห่งนั้นราวหกโมงเย็น

ฤดูหนาวทำให้ค่ำเร็ว เห็นอ๋อยนั่งเหม่ออยู่คนเดียวที่ม้าหินโต๊ะแรก ตอนนั้นยังไม่เปิดไฟเพราะแขกยังไม่เข้า ผมสั่งเบียร์แล้วนั่งโต๊ะเดียวกับอ๋อย แต่เธอทำหน้าเหมือนมองไม่เห็น จนสังเกตเห็นกระเป๋าใบเล็กๆ วางอยู่บนโต๊ะ...ไม่รู้ว่าไปทอดผ้าป่ามาหรือยัง?

อ๋อยยิ้มนิดๆ เห็นแล้วเอะใจชอบกล...เป็นรอยยิ้มเศร้าๆ หน้าตาซีดเซียว ดูหม่นหมองผิดกว่าที่เคยเห็น

"คืนนี้แหละพี่! คืนนี้อ๋อยจะไป..."

สุ้มเสียงเลื่อนลอย ดังวู่หวิวคล้ายสายลมพัดมาไกลๆ ผมขนลุกซ่าไปทั้งตัวเมื่อนึกได้ว่ายังไม่ได้เอ่ยปากถามอะไรเธอเลยแม้แต่คำเดียว

"อ๋อยเป็นอะไรไปหรือเปล่า?" ผมเลิกคิ้วอย่างสงสัย เธอก็ส่ายหน้ายิ้มเศร้าๆ ตามเดิม

"เปล่านี่ อ๋อยไม่ได้เป็นอะไร" รอยยิ้มดูฝืดฝืนเต็มที ใบหน้าขาวซีดผิดปกติจนดูเด่นชัดในความสลัว ผมรินเบียร์ดื่มพลางมองหน้าเธอ แต่บางครั้งใบหน้านั้นก็เลือนรางไปราวกับไม่มีอ๋อยนั่งอยู่ที่นั่นเลย!

ค่ำนี้เธอไม่ค่อยพูดจาเหมือนวันก่อนๆ เอาแต่นั่งเหม่อคล้ายหมกมุ่นครุ่นคิดอะไรอยู่ก็เหลือเดา...นักร้องทยอยกันมา ไม่มีใครทักทายอ๋อย เธอเองก็ไม่ทักทายใครเช่นกัน

ผมสั่งกับแกล้ม 2-3 อย่างแล้วขอตัวเข้าห้องน้ำ...เมื่อกลับออกมาก็ไม่เห็นอ๋อยเสียแล้ว เธอคงเข้าไปคุยกับเพื่อนๆ หรือเริ่มต้นทำงานแล้วก็ได้ เพราะกระเป๋าเสื้อผ้าใบเล็กๆ บนโต๊ะก็หายไปด้วย

ทุ่มเศษ ดนตรีเริ่มโหมโรง ผมหันไปทางบาร์น้ำก็ไม่เห็นอ๋อย ถามสาวเสิร์ฟที่สนิทกัน ทุกคนก็บอกว่าคืนนี้ยังไม่เห็นอ๋อยเลย

ผมรู้สึกไม่สบายใจชอบกล นึกห่วงกังวลถึงอ๋อยอย่างไม่คิดเป็นมาก่อนจนหมดสนุก ตัดสินใจสั่งเบียร์มาดื่มอีกขวดแล้วตัดสินใจกลับบ้าน

วันรุ่งขึ้น ผมไปถึงคาเฟ่แห่งนั้นราวสี่ทุ่ม...ได้ข่าวว่าคืนที่แล้วอ๋อยเดินทางไปทอด ผ้าป่ากับเพื่อนๆ เลยรังสิตไปไม่นานก็เกิดอุบัติเหตุชนท้ายรถกระบะ ได้รับบาดเจ็บกันระนาว

ส่วนอ๋อยกระเด็นออกไปนอกรถ...คอหักตายคาที่เพียงคนเดียว!

ขอบคุณ แหล่งที่มาหนังสือพิมพ์

ผี เรื่องผี เรื่องเล่าสยองขวัญ วิญญาณในภาพถ่าย





วนิดา เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากภาพผีสิง

ตอนนี้ดิฉันกำลังขนลุกกับรูปถ่ายขาวดำของหญิงสาวแสนสวยในกรอบกระจก ที่คุณลุงดิฉันเก็บขึ้นมาจากกองขยะใกล้บ้าน!

ทุกเช้า...เช้ามืดนะคะ! ขอย้ำให้คุณๆ เห็นภาพพจน์ คุณลุงจะเดินออกกำลังกายรับอรุณเกือบ 500 เมตรไปถึงตลาด ถือโอกาสใส่บาตรแล้วเดินกลับ สวนกับผู้คนที่เร่งรีบออกไปทำงาน

ตอนนี้ล่ะค่ะที่ท่านจะต้องเดินผ่านที่ทิ้งขยะประจำซอย ทางกทม.เขาเอาถังขยะใบมหึมาตั้ง 4-5 ใบมาวางเรียงให้แต่ก็ยังไม่พอใส่ขยะ ไม่รู้ว่าอะไรมาทิ้งกันนักหนา

กองขยะนี้เป็นขุมทรัพย์ของหลายๆ คนนะคะ อย่างพวกเก็บของเก่าและคุณลุงของดิฉันนี่แหละ ดูท่าทางสนุกเหมือนเด็กเล่นขุดหาสมบัติไม่มีผิด ท่านมีมิตรจิตมิตรใจกับคนเก็บขยะมาก มักจะเก็บหนังสือพิมพ์เก่าๆ และเศษไม้ไว้ให้พวกเขาเอาไปขายกัน

บางครั้งพวกนั้นจะช่วยยกฟูกอันหนักๆ หนาๆ เข้ามาให้ และช่วยกันเช็ดอย่างดี คุณป้าเห็นเข้าจะโวยวาย "โฮ้ย! เอาเข้ามาทำไม ที่นอนคนนอนตายหรือเปล่าก็ไม่รู้"

จากนั้นคุณป้าก็ออกคำสั่งเด็ดขาดว่าให้เอาไปทิ้งที่เก่าเดี๋ยวนี้!

เรารู้ว่าคุณลุงเก็บของจากกองขยะติดมือเข้าบ้าน ทุกเช้า ส่วนมากจะเป็นเศษผ้า เพราะในซอยมีโรงงานเย็บผ้าด้วย ผ้าพวกนี้ใช้ประโยชน์ได้ อย่างน้อยก็เป็นผ้าขี้ริ้วไว้เช็ดถูชิงช้าหน้าบ้านและโต๊ะหินข้างสนาม ใช้เสร็จก็ทิ้งได้เพราะทั้งเปื้อนฝุ่นและเปื้อนขี้นก

เศษผ้าพวกนี้เขาเอามาทิ้งให้เราใช้อย่างเหลือเฟือทุกวันเชียวล่ะ

คืนหนึ่งราวๆ ตี 2 หมาบ้านเรา 4-5 ตัวพากันเห่าหอนผิดปกติจนสามีกับลูกลุกขึ้นไปเดินด้อมๆ มองๆ ภายในบ้าน เพราะเกือบแน่ใจว่ามีโจรผู้ร้ายปีนรั้วเข้ามา...แต่ถ้ามันเข้ามาแล้วหมาเห่า ขนาดนี้ มันก็คงไม่มีแก่ใจจะขโมยอะไรอีกแล้วค่ะ

ทว่า เกือบชั่วโมงผ่านไปมันก็ยังเห่ากันไม่เลิก บางทีก็ครวญคราง บางตัวก็โก่งคอหอนโหยหวน...เยือกเย็นเข้าไปถึงหัวใจ!

ลูกๆ ดิฉันเป็นสาววัยรุ่นทั้งคู่ เดินเข้ามาในห้องและกระซิบอย่างตื่นเต้นว่า เห็นคนนั่งอยู่ใต้ต้นไม้ ดิฉันกับสามีตกใจ เดินไปแอบดูที่หน้าต่างห้องนอนลูก

นั่นไง! จริงด้วยสิคะ มีผู้หญิงนั่งอยู่ที่นั่นและหันหน้ามาทางเรา ผมดัดฟูยาวประบ่า เธอเอามือทั้งสองข้าง เกยคาง...หมาก็เห่าอยู่รอบๆ ตัวเธอ!

ใครน่ะ? ในบ้านเราไม่มีผู้หญิงลักษณะนี้แน่นอน...ดิฉันงง ขณะเดียวก็ขนลุกซ่าขึ้นมาเฉยๆ และแล้วร่างของเธอก็เลือนหายไปในความมืด มันเหมือนกับพวกเราตาฝาดไปเองงั้นแหละ ลูกๆ ยังมึน ถามว่า...เอ๊ะ! หรือเราเห็นเงาไม้เป็นผู้หญิงกันแน่?

ดิฉันตอบไม่ถูก ใจหนึ่งก็คิดว่าผีหลอก แต่มาหลอกทำไมล่ะ? จะว่าเป็นผีบ้านผีเรือน ก็แหม...ดัดผมซะ สวยเชียว!

รุ่งขึ้น เมื่อส่งลูกๆ ไปโรงเรียนแล้ว ดิฉันก็เดินผ่านบริเวณนั้น ในใจคิดถึงเงาร่างที่เห็นเมื่อกลางดึก สงสัยจริงๆ ว่าอะไร? มาได้ไง?

ทันใดนั้น ดิฉันก็ได้คำตอบ!

ไม่ยากเลยค่ะที่จะไขปริศนา เพียงแค่ปรายตาไปตรงชั้นที่วางกะละมังซักผ้าใกล้ๆ กับโต๊ะหินนั่นแหละ ดิฉันเห็นกรอบรูปกว้างราวหนึ่งฟุต ยาวสักฟุตครึ่ง เป็นกรอบไม้ติดกระจกใส...

ภายในกรอบเป็นภาพขาวดำของหญิงคนหนึ่งสวยมาก เธอคงถ่ายรูปนี้ที่ร้านถ่ายรูป และตั้งท่าอย่างดี...เป็นท่าที่เธอเบือนหน้ามาอมยิ้มข้ามไหล่ ใบหน้าหวานละมุนแบบน้องนางบ้านนา อายุไม่น่าจะเกิน 20 ปี ตาโตและใส่ขนตาปลอม ผมดัดฟูยาวประบ่า

ไม่ต้องสงสัยเลย เธอคือผู้ที่มานั่งเกยคางตรงโต๊ะหินตัวนี้เมื่อคืนแน่ๆ และกรอบรูปนี่...เห็นแล้วทำให้นึกถึงรูปตั้งหน้าศพ!

ดิฉันรีบขึ้นไปหาคุณลุง ถามว่าเก็บรูปนี้มาใช่ไหม? ท่านยิ้มแล้วเอานิ้วชี้แตะปาก...อย่าเอ็ดไป เดี๋ยวป้ารู้! แหม...เห็นรูปสาวสวยล่ะหยิบเข้าบ้านปุ๊บเลย...ดิฉันว่าญาติพี่น้องเขายังเอา รูปมาโยนทิ้ง นี่แปลว่าผู้หญิงคนนี้ต้องไม่มีชีวิตอยู่ในโลกนี้แล้ว เผลอๆ เธอคงเป็นผี และผีดุด้วย! ดุซะจนญาติขยาด ไม่อาจจะเอารูปเก็บไว้ในบ้านได้

ดูสิคะ...ที่ซอกมุมกรอบรูปน่ะมีผงขี้เถ้าจากธูป และมีรอยน้ำตาเทียมอีกด้วย! มันจะแปลว่าอะไรคะ?

คุณลุงหุบยิ้ม ตามองสาวสวยอย่างแสนเสียดาย ดิฉันเลยเล่าว่าเมื่อคืนน่ะเห็นเธอมานั่งอยู่ตรงนี้ ถ้ายังขืนเอาไว้ คืนนี้เธอไปนั่งบนเตียงคุณลุงแน่!

เท่านั้นแหละ คุณลุงเรียกเด็กให้เอารูปใส่ถุงไปทิ้งขยะตามเดิม...ขนลุกค่ะ!

ขอบคุณ แหล่งที่มาหนังสือพิมพ์  

วันอาทิตย์ที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2557

ผี เรื่องผี เรื่องเล่าสยองขวัญ คืนขวัญหาย

ลำเพา เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากคืนขวัญหาย

พวกผู้ใหญ่มักจะสอนดิฉันอยู่เสมอว่า ผีไม่มีจริง...ไม่ต้องไปกลัวมัน! คนที่เล่าว่าเห็นผีที่จริงแล้วคือคนจิตอ่อน หรือไม่ก็หลอกตัวเอง ดิฉันก็อยากเชื่อหรอกค่ะ แต่ความคิดมันตรงกันข้ามกับสิ่งที่ท่านพยายามสั่งสอนเสียจริง

คือดิฉันเชื่อว่าผีมีจริงเพราะเคยเจอเรื่องแปลกๆ หลายครั้ง และแน่ใจว่าไม่ได้ประสาทหลอนแน่ๆ มันเป็นเรื่องที่เหนือคำอธิบาย เช่น เมื่อตอนอายุราว 15 ปี วันหนึ่งดิฉันได้ยินเสียงคุณลุงมาเรียกคุณพ่ออยู่หน้าบ้าน คุณพ่อก็ได้ยินค่ะ แต่พอเปิดประตูก็ไม่มีใครสักคน...

ไม่ช้าที่บ้านคุณลุงก็โทรศัพท์มาบอกว่าคุณลุงตายเสียแล้ว ด้วยอาการหัวใจวาย...แล้วใครที่มาเรียกล่ะคะ ถ้าไม่ใช่เจตภูตหรือวิญญาณของท่าน?

เหตุการณ์ทำให้ดิฉันฝังใจมาก คุณพ่อเองก็อธิบายไม่ได้ทั้งที่เป็นคนสอนลูกๆ ไม่ให้กลัวผีหรือเชื่อเรื่องผี! แม้ดิฉันไม่ใช่คนกลัวผี แต่มันเป็นความระแวง กลัวว่าผีจะโผล่ขึ้นมาจนตกอกตกใจจนอาจจะช็อกตายได้ง่ายๆ

แหม! ดิฉันไม่ชอบเลยค่ะ เรื่องขวัญผวานี่น่ะ!

แปลกนะคะ เวลาเจออะไรที่คิดว่าเป็นผีเข้าจริงๆ ดิฉันจะรู้สึกทึ่งมากกว่ากลัว...มันอยากพิสูจน์ อยากรู้อยากเห็น! รู้สึกว่าการเป็นผีนี่ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ หรอก มันน่าตื่นเต้นและนำไปเล่าต่อ...เป็นเรื่องที่ประทับใจจริงๆ ค่ะ

เมื่อโตขึ้น ดิฉันเรียนจบมัธยมปลาย เข้ามหาวิทยาลัยที่กรุงเทพฯ ต้องจากบ้านที่ราชบุรีมาอยู่กับคุณป้า

บ้านคุณป้านี้ดิฉันเคยอยู่เมื่อตอนเป็นเด็กเล็กๆ ค่ะ เป็นบ้านใหญ่ที่อยู่รวมกันทั้งคุณปู่คุณย่า และลูกๆ หลานๆ เราจึงมีหลายครอบครัวในที่ดินผืนใหญ่เกือบ 2 ไร่ บ้านเก่าของดิฉันเป็นเรือนเล็กๆ ชั้นเดียว ปลูกอยู่ด้านหลังตึกใหญ่

เมื่อเข้ากรุงเทพฯ คุณป้าก็ให้ดิฉันอยู่บ้านหลังเดิม บางวันแม่ก็มาค้างด้วย

เวลาที่แม่กลับไปที่ราชบุรี ดิฉันจะอยู่ที่บ้านหลังเล็กตามลำพัง ไม่ได้กลัวอะไรเลยเพราะเป็นบ้านของเราแท้ๆ เสียแต่เวลากลับบ้านมืดๆ น่ะต้องเดินฝ่าความมืดเป็นระยะทางค่อนข้างไกลทีเดียว

ที่สำคัญคุณป้าเป็นคนประหยัดไฟ บ้านเราจึงค่อนข้างมืด โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลา 2-3 ทุ่มไปแล้ว คุณป้าจะขึ้นไปอยู่ชั้นบน ชั้นล่างนี่ปิดไฟหมด ไฟตรงซุ้มที่ดิฉัน เดินลอดก็เสีย ยังไม่มีการแก้ไขหรือเปลี่ยนหลอดมันจึง มืดมาก

ถึงจะมีแสงสลัวๆ จากบ้านอื่นมันก็ยังมืดแทบมะงุมมะงาหรา

คืนหนึ่ง ดิฉันไขกุญแจประตูใหญ่เข้ามาตอน 4 ทุ่ม บ้านเงียบและวังเวง มีแต่แสงไฟจากห้องคุณป้าที่ชั้นบนลอดผ่านม่านออกมา เรือนคนใช้ก็มีแสงไฟเปิดอยู่

ดิฉันต้องเดินอ้อมตึก ผ่านซุ้มไม้ ทันใดนั้นก็เหลือบเห็นเงาดำๆ คล้ายคนคลุมผ้านั่งยองๆ อยู่ตรงมุมตึกที่ดิฉันต้องเดินผ่าน!

แม้จะผิดสังเกต แต่ดิฉันก็ไม่ได้ชะงักฝีเท้า ทั้งที่ในใจสงสัยว่านั่นอะไรน่ะ? รู้อยู่อย่างเดียวว่าไม่ใช่คน ไม่ใช่ผู้ร้าย...มันเป็นเพียงเงาที่ดำทึบกว่าความมืดสลัวรอบๆ ตัวเอง

ครั้นดิฉันเดินผ่าน ใกล้ขนาดฟุตเดียวเท่านั้นล่ะค่ะ ก็รู้สึกว่าเงานั้นยืดตัวขึ้น เหมือนคนที่นั่งยองๆ ลุกขึ้นยืน ความสูงก็ประมาณผู้ชายตัวสูงๆ แต่ขอย้ำว่าไม่ใช่คนแน่นอน! มันเป็นเงาที่เหมือนใครเอาผ้าคลุมหัวตลอดร่างลงมา...

ว่าจะไม่กลัวก็เสียววูบเอาการ และนึกว่าเราตาฝาด ประสาทหลอน! หรือคิดไปเองรึเปล่า? อากาศก็เริ่มจะหนาวเย็นลงทุกที อยากจะเร่งฝีเท้าหรือวิ่งหนี แต่คิดว่ามันงี่เง่าที่จะทำอย่างนั้น

ขณะเดินเร็วๆ เพื่อจะรีบเข้าบ้าน ก็รู้สึกว่าเงานั้นตามมาตลอด...ตามมาติดๆ

มือเปิดประตู ผลุบเข้าบ้านแล้วปิดประตูตามหลังทันที ความรู้สึกยังบอกว่าร่างนั้นชะงักอยู่หลังประตูนี่เอง! มันคืออะไรนะ? สงสัยพรุ่งนี้ต้องลุกขึ้นใส่บาตรซะแล้ว

คืนนั้นดิฉันเปิดไฟทั้งบ้านเลยค่ะ อยู่คนเดียวด้วย แล้วความคิดก็ย้อนกลับไปเมื่อตอนเด็กๆ สมัยที่คุณย่ายังมีชีวิตอยู่และต่อเติมบ้านหลังใหญ่ ดิฉันจำได้ว่าคนงานก่อสร้างเล่าว่าถูกผีหลอก เขาบอกว่าตอนแรกคิดว่าแม่ยายเขามานั่งยองๆ เอาผ้าคลุมหัว แต่ปรากฏว่าไม่ใช่ เพราะแม่ยายกำลังเปิบข้าวอยู่ในเพิงที่พัก

พวกเขาบอกว่าสงสัยเป็นวิญญาณเจ้าที่เจ้าทาง

เฮ้อ...กำลังหวาดๆ ก็ดันความจำดีขึ้นมาซะอีกแน่ะ! สิ่งที่ดิฉันเห็นจะเป็นสิ่งเดียวกับที่คนงานเห็นเมื่อหลายปีก่อนหรือเปล่าก็ ไม่รู้...แต่ที่แน่ๆ คือขนหัวลุกค่ะ!

ขอบคุณ แหล่งที่มาหนังสือพิมพ์

ผี เรื่องผี เรื่องเล่าสยองขวัญ มันมาจากนรก

เอก เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากปีศาจสยองขวัญ

สมัยเด็กผมอยู่ อ.พรานกระต่าย จ.กำแพงเพชร เมืองแห่งกล้วยไข่และกระยาสารทอันขึ้นชื่อลือชาที่สุดของเมืองไทยนั่นแหละครับ

ครั้งนั้นบ้านเมืองยังไม่เจริญเหมือนทุกวันนี้ ชาวบ้านยึดอาชีพทำไร่ทำนา ทำสวนและหาของป่าขาย พวกผู้หญิงที่เสร็จจากงานบ้านก็ทำสวนผัก ทอผ้าที่ใต้ถุน บ้างก็มีฝีมือทางจักสาน ทำกระจาด กระบุง ตะกร้าสวยๆ เอาไว้ใช้เองบ้าง ขายบ้าง

พูดกันโดยรวมแล้ว ถือว่าชาวบ้านอยู่ในฐานะพออยู่พอกิน ไม่มีอะไรเดือดร้อน

วัฒนธรรมของพวกเราคล้ายคลึงกับคนไทยภาคกลางส่วนใหญ่ มีทั้งมอญ ลาว พวนและจีน ผสมกลมกลืนแทบแยกไม่ออก นับถือผีบรรพบุรุษ เชื่อว่าวิญญาณของผู้ตายจะคอยคุ้มครองลูกหลานตลอดไป

เรื่องผีที่น่ากลัวมากคือผีของคนที่ออกลูกตาย หรือเรียกว่าตายทั้งกลมนั่นเอง!

บางปีมีคนออกลูกตายถึง 2-3 ราย เพราะการแพทย์ยังไม่เจริญ ส่วนมากจะอาศัยฝีมือหมอตำแยชื่อป้าอบ คนท้องแก่ก็มักจะเจ็บท้องใกล้คลอดลูกตอนกลางคืนเสียด้วย เดือดร้อนป้าอบต้องถูกปลุกกลางดึก คว้าตะกร้าเครื่องใช้ไม้สอยราวกับล่วมยาของแพทย์ กระวีกระวาดไปทำหน้าที่นางผดุงครรภ์ หรือสูตินรีแพทย์โดยด่วน

ปีหนึ่งมีข่าวลือว่าพญามัจจุราชจะมาเอาชีวิตเด็กๆ ไปเมืองผีถึง 7 คน!

บ้างก็ว่าครบรอบปีอาถรรพณ์ บ้างก็เชื่อว่ามีวิญญาณบาปหลบหนีจากนรกมาเกิดในเมืองมนุษย์ เทพเจ้าแห่งความตายกริ้วโกรธมาก จึงติดตามมา กระชากวิญญาณกลับแดนอเวจีตามเดิม

ในเวลาไล่ๆ กัน มีคนตั้งท้องถึง 2 ราย คือน้าสวยกับน้าวิไล!

บ้านไหนมีการตั้งท้อง ใกล้จะคลอดลูกบ้านนั้นก็จะตระเตรียมข้าวของที่จำเป็นเอาไว้อย่างพรักพร้อม คือพ่อบ้านจะตัดไม้สะแกมาตากแดด แล้วซ้อนกันเป็นกองๆ สำหรับใช้ในการอยู่ไฟ นอกจากนั้นยังตัดกิ่งพุทราหรือไผ่มาสะไว้ตามรั้วบ้าน เพื่อป้องกันภูตผี เช่น ปอบหรือกระสือ เข้ามากินเด็กอ่อนเพราะกลิ่นคาวเลือดดึงดูดใจ

น้าสวยถึงเวลาคลอดลูกก็เกิดเรื่องน่าสยองขวัญขึ้นโดยไม่มีใครนึกฝัน!

นั่นคือแกเจ็บท้องร้องโอดโอยตั้งแต่กลางดึกจนรุ่งเช้า ป้าอบและเพื่อนบ้านช่วยกันข่มท้องแต่ก็ไร้ผล เสียงร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวดของน้าสวยดังบาดลึกเข้าไปถึงหัวใจของทุกคน จริงๆ ครับ

ชาวบ้านมาดูกันหนาตา ประสงค์จะช่วยเหลือเท่าที่จะทำได้ มีเสียงซุบซิบกันว่าจะโดนอาถรรพณ์หรือเปล่า? บางคนบอกได้ยินเสียงนกแสกบินผ่านหลังคา ร้องแซ้กๆ น่าขนหัวลุกไปด้วย แต่บางคนก็บอกว่าเป็นธรรมดาของท้องแรกที่มักจะคลอดยาก

ทั้งป้าอบและผู้ช่วยเหงื่อตกไปตามๆ กัน สั่งให้น้าสวยเบ่งเต็มที่ แต่สิ่งที่โผล่ออกมาจากท้องทำให้ทุกคนใจหายวาบเพราะเป็นเท้าเล็กๆ ข้างหนึ่งบ้าง สองข้างบ้าง บางครั้งก็โผล่มือออกมาโบกไหวๆ ราวกับจะล้อหลอกอย่างน่าสยองขวัญ

เสียงน้าสวยร้องกรี๊ดดดด...เป็นครั้งสุดท้าย ทารกเจ้ากรรมหลุดออกจากท้องมาได้ก็สิ้นลมปราณทั้งแม่และลูก

ฝังศพน้าสวยเสร็จก็ถึงคราวน้าวิไล!

บรรยากาศในหมู่บ้านเต็มไปด้วยความเยือกเย็นน่าวังเวงใจ หมูหมาโก่งคอหอนระงม ราวกับพวกมันมองเห็นอะไรบางอย่างที่น่าเกลียดน่ากลัวอย่างเหลือประมาณ

ถึงแม้ท้องน้าวิไลจะเป็นท้องที่สอง แต่กลับทำให้ทุกคนถึงกับอ้ำอึ้งตะลึงตะไลไปตามๆ กัน เมื่อป้าอบแจ้งข่าวร้ายว่า...เด็กตายในท้องแม่เสียแล้ว! แถมยังน่าขนลุกขึ้นไปอีกเมื่อท้องน้าวิไลโป่งขึ้นยุบลง ราวกับเด็กที่ตายแล้วจะพลิกตัวไปมาอยู่ในท้องกระนั้น!

เสียงน้าวิไลร้องครางว่าช่วยด้วยๆ ป้าอบหน้าดำคร่ำเครียด บอกเสียงเหี้ยมๆว่าศพเด็กมันแรงเหลือเกิน ต้องใช้อาคมช่วยให้ออกจากร่างเร็วๆไม่งั้นแม่เด็กจะมีอันตราย

ป้าอบทำพิธีด้วยการเอาด้ายมาจับเป็นมงคล 7 เส้น แล้วเสกคาถาพึมพำก่อนจะม้วนให้น้าวิไลกินกับน้ำมนต์ซึ่งเสกคาถาเช่นกัน เพื่อให้มงคลคลายในท้องแม่ แล้วสวมคอลูกที่ตายในท้อง ป้าอบร่ายคาถาเร็วปรื๋อแล้วเป่าลงที่กระหม่อมน้าวิไล ไปยืนอยู่ใกล้ๆ ศีรษะแล้วกระทืบเท้าอย่างแรงสามครั้ง

น้าวิไลร้องกรี๊ดสุดเสียง...ทารกที่ตายก็หลุดผลัวะออกมา!

ซากเละๆ ของศพเด็กเน่าเหม็นสุดขีดจนผู้คนแตกกระเจิง ฝูงหมาเห่าขรม ยอดไม้ไหวซ่าเหมือนเสียงใครหัวเราะครืนใหญ่ด้วยความสาสมใจอย่างเหลือประมาณ!


ขอบคุณ แหล่งที่มาหนังสือพิมพ์

บทความที่ได้รับความนิยม