วันพุธที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2557

ผี เรื่องผี เรื่องเล่าสยองขวัญ โรงแรมเฮี้ยน นครสวรรค์


















ช่วงนี้ทำบุญบ่อย ใส่บาตรแทบทุกวัน เนื่องจากกลัวว่าคุณยายจะไม่มีอะไรทานในสวรรค์

ทุกครั้งที่ทำบุญจะอธิษฐานให้ตัวเองไม่ต้องเจอผี คือ ไม่ต้องมาขอส่วนบุญ ถ้าทำบุญจะอุทิศฯ ไปให้คุณผีเองโดยไม่ต้องมาขอ

ดังนั้น ช่วงนี้สบายใจ ไม่ต้องโดนผีหลอกค่ะ แต่ว่าเพื่อน ๆ อยากฟังเรื่องผีอีกเหรอ? อืมม……..งั้นเอาเรื่องที่เคยเจอในอดีตมาเล่าให้ฟังละกันค่ะ

อืมม บอกไว้ก่อนเผื่อมีเพื่อน ๆ บางคนที่เคยฟังแล้ว เพราะว่าเรื่องนี้ก็เป็นอีกเรื่องที่เคยเล่าในรายการเดอะช็อคค่ะ…..

อ้อ…..เหตุการณ์ในเรื่องนี้ บางคนอาจจะคิดว่า โอเวอร์ก็ได้ แต่อยากจะบอกว่า เรื่องนี้เรื่องจริง ๆ เลยค่ะ เจอกันหลายคนเลยล่ะ

ตอนนั้นฉันมีโอกาสได้แสดงภาพยนต์เรื่องนึง (แต่หนังไม่ดังหรอก เพราะช่วงนั้นหนังไทยไม่ทำเงินเหมือนช่วงนี้)

เราไปถ่ายทำกันที่จังหวัดนครสวรรค์ พอตกกลางคืน ทางทีมงานก็เปิดห้องพัก 2 ห้องให้ฉัน แม่ น้องชาย และพี่คนขับรถ ได้พักผ่อนกัน

ด้านล่างของโรงแรม ค่อนข้างสวยงามใช้ได้ แต่พอขึ้นลิฟท์ไปจนถึงห้องพักนี่สิ…….บรรยากาศน่ากลัวสุด ๆ เหมือนกับคนละโลกกันเลย

อ้อ…..ลืมบอกไปว่าตอนนี้ฉันมาถึงห้องพักน่ะ เป็นเวลาโพล้เพล้พอดี คือ ประมาณหกโมงเย็นกว่า ๆ แล้วล่ะ ทำให้พอมองบรรยากาศข้างนอกได้ค่อนข้างชัด

ฉันมองผ่านหน้าต่างออกมา ก็เห็นว่า มีหลุมศพอยู่ 2 หลุมติดกันเลย ตอนนั้นใจน่ะ อยากจะขอเปลี่ยนห้องแล้วล่ะ แต่ก็เกรงใจทางทีมงานอยู่ไม่น้อย กลัวว่าถ้าทำตัวเรื่องมาก ก็พาลจะถูกนินทาเอาได้ ก็เลยจำใจนอนห้องนี้ก็ได้ฟะ…..

และอีกอย่างก็คิดว่า วิวห้องไหน มันก็คงจะเหมือน ๆ กันแหละ แต่ตอนนั้น ยังไม่ทันได้สำรวจห้องอะไรมากมาย ก็ต้องรีบลงไปข้างล่างก่อน เพราะว่าเดี่ยวจะมีพี่ที่กองถ่ายจะต้องบอกคิวว่า วันไหนจะต้องย้ายกองไปที่ไหน และพวกเราก็ลงไปเที่ยวในเมือง เพื่อหาอะไรอร่อย ๆ ทานด้วย

กว่าจะกลับมาที่ห้องอีกทีก็สัก 1 ทุ่มกว่า ๆ ก็เริ่ม ๆ ทำการสำรวจห้อง พบว่า……

– ห้องพักเก่ามากกกกกกกกกกก

– เตียงนอนก็เหม็นสุด ๆ มีคราบเหลือง ๆ แดง ๆ อะไรก็ไม่รู้ ปะปนกันมั่วไปหมด

– ส่วนผนังห้องก็มีสีแดง ๆ คล้ายคราบเลือดเลอะผนังห้องเต็มไปหมด

– ห้องน้ำ ก็มีไฟหลอดแดง ๆ ประมาณ 40 วัตต์ ห้อยโตงเตงอยู่
สีของหลอดก็สลัว ๆ ได้อารมณ์สยิวกิ้วยิ่งนัก

– กระจกห้องน้ำไม่ต้องพูดถึง เป็นคราบ ๆ เลอะ ๆ เต็มไปหมด เวลามองหน้าตัวเองในกระจก จะรู้สึกว่าตัวเองดูป่วย ๆ ดูโทรม ๆ ไปถนัดตา พูดง่าย ๆ ว่าดูแล้วน่ากลัวน่ะค่ะ

– อ่างอาบน้ำ และฝักบัว ก็เก่าแสนเก่า ในอ่างนี่ก็มีคราบเหลือง ๆ แดง ๆ ปะปนกัน มองยังไงก็ไม่กล้าอาบน้ำในอ่างแน่ ๆ กลัวโดนผีจับกดน้ำ

– ห้องเหม็นอับมาก ๆ ขอบอก เหมือนกับไม่เคยมีการทำความสะอาดมาก่อน

หลังจากที่ฉัน สำรวจห้องพัก ทั้ง 2 ห้องเรียบร้อยแล้ว ฉันก็มีความคิดเจ้าเล่ห์นิด ๆ ก็คือ ฉันเลือกที่จะนอนในห้องที่มี TV ค่ะ

เพราะคิดเอาเองว่า อย่างน้อย ๆ ห้องนี้ก็น่าจะไม่มีผี เพราะว่า น่าจะมีคนมาพักบ่อย เพราะยังมี TV อยู่เลย

ส่วนห้องที่ไม่มี TV ฉันก็ยกให้น้องชาย กับพี่ที่มาขับรถให้ นอนแทน อิอิ

ดังนั้น ฉันกับแม่ก็เลือกที่จะนอนห้องนี้ พอเข้าห้องฉันก็เปิดทีวีดู อ้อ…ที่โรงแรมนี้ไม่มียูบีซีหรอกนะคะ ดังนั้นก็ต้องดูรายการปกติของสถานีแทน

ฉันก็กำลังปรับ ๆ ทีวีดู ส่วนแม่ฉันก็นอนอ่านหนังสืออยู่บนเตียง ขณะที่ฉันกำลังปรับทีวีอยู่นั้น ก็หันมาเห็นแม่ทำหน้าแปลก ๆ พร้อมทำจมูกฟุดฟิต ๆ

ฉันถามว่ามีอะไรเหรอ แม่ก็ไม่ตอบ พร้อมส่งซิก ว่าเหมือนกำลังมีอะไรบางอย่าง ที่มองไม่เห็นอยู่ข้าง ๆ แม่ฉัน

ฉันก็เลยถามว่า “มีอะไรเหรอ แม่”

แม่ก็ตอบว่า “ได้กลิ่นอะไรมั้ย เหม็นมาก ๆ”

ฉันก็ตอบว่า “ไม่ได้กลิ่นค่ะ”

สักพัก เหมือนสิ่งที่มองไม่เห็นจะได้ยิน แล้วเดินมาทางฉัน เพราะขณะที่ฉันปรับทีวีที่ไม่ชัดอยู่นั้น อยู่ดี ๆ ก็ได้กลิ่นขึ้นมา

เป็นกลิ่นเน่า เหมือนมีอะไรตาย มาอยู่ข้าง ๆ ฉัน เหม็นมากกกกกก

พอฉันได้กลิ่น ฉันก็หันไปมองหน้าแม่ พร้อมกับบอกแม่ว่า “ได้กลิ่นแล้ว ๆ”

ฉันถามว่า “แม่ยังได้กลิ่นอยู่หรือเปล่า”

แม่บอก “ไม่ค่อยได้กลิ่นแล้ว”

ฉันก็เลยตอบไปว่า “ตอนนี้เค้าคงมายืนข้าง ๆ ฉันแล้วล่ะ เพราะกลิ่นตรงนี้แรงมาก ๆ เมื่อกี้ยังไม่มีอยู่เลย” พอพูดยังไม่ทันขาดคำ สิ่งที่มองไม่เห็นนั่น ก็เริ่มแสดงอิทธิฤทธิ์ขึ้นมาทันที……

คือ ทีวีที่ฉันกำลังปรับ เพื่อให้ภาพคมชัดนั้น ตอนนั้นกำลังจะดูข่าวหรือละครช่อง 7 นี่ละ จากภาพข่าว ก็กลายเป็น ภาพข่าวอย่างเดียว แต่เสียงที่ควรจะรายงานข่าวน่ะ กลายเป็นเสียงสวดมนต์แบบแขก ๆ ฉันก็ลองเปลี่ยนเป็นช่องอื่น ๆ แต่ว่าเสียงก็ยังเป็น เสียงสวดมนต์เหมือนเดิมทุกช่อง มันน่าแปลกมั้ยล่ะ?

สักพักมันเริ่มจะไม่ไหวแล้ว เพราะว่าพอฉันปิดทีวี มันก็ยังมีเสียงสวดมนต์อยู่เลย นั่นทำให้ฉันกับแม่ ตัดสินใจวิ่ง ลุกออกไปเปิดประตู เพื่อวิ่งไปยังห้องน้องชาย แต่ว่า

ประตูมันเปิดไม่ออกค่ะ เปิดเท่าไหร่ก็เปิดไม่ออกสักที

แต่โชคยังดีที่โทรศัพท์ใช้การได้ ฉันจึงโทรมาที่ห้องของน้อง บอกให้น้องมานี่หน่อยไม่ต้องพูดอะไร ให้รีบ ๆ มาเดี๋ยวนี้เลย

น้องฉันก็เลยมาเคาะประตู พร้อมกับบิดประตูเข้ามาอย่างง่ายดาย

ส่วนฉันกับแม่ พอเห็นน้องชายเข้ามาได้ ก็ค่อยโล่งอก
รีบวิ่งแจ้นออกนอกห้องกันแทบไม่ทัน

พอเข้ามาห้องน้องชายเรียบร้อยแล้ว แม่ก็บอกว่าลืมของในห้อง พี่คนที่ขับรถมาให้ก็เลยบอกว่า จะไปหยิบมาให้ พร้อมกับเรียกน้องชายของฉันให้ไปเป็นเพื่อน

แต่ว่าเค้าไม่ได้หยิบแค่ของอย่างเดียว ยังหยิบอย่างอื่นเข้ามาด้วย นั่นก็คือ…….

ที่นอนค่ะ

นาทีนั้น ตอนที่ฉันเห็นที่นอน ฉันนะตกใจมาก ๆ เพราะว่ามันเหมือนกับการเอาของ ๆ ห้องที่มีผีเข้ามา แบบนี้ผีมันก็ตามเข้ามาด้วยน่ะสิ คิดยังไม่ทันไร ตาก็เหลีอบไปเห็น

เลือดค่ะ เลือดเลอะเต็มด้านหลังของที่นอนนั่นเลย ไม่ใช่เลือดประจำเดือนแน่ ๆ เลือดมากขนาดนี้ สงสัยมีการฆ่ากันตาย บนเตียงนี้แน่ ๆ

คือ ตอนที่น้องฉันกับพี่คนขับรถ ไปหยิบที่นอนน่ะ เขาไม่เห็นเลือด แต่เห็นว่าพอหยิบที่นอนมาแล้วเจอยันต์ และหนังสือสวดมนต์วางอยู่ใต้ที่นอน

นั่นทำให้ฉันกับแม่ ร้องพร้อมกันว่า “เอาไปเก็บเดี่ยวนี้”

น้องฉันกับพี่คนขับรถยังงงไม่หาย จนฉันต้องบอกต่อว่า

“เลือดเต็มไปหมด” นั่นทำให้น้องชายฉันถึงกับเข่าอ่อน ด้วยความตกใจ เพราะเกิดมา ไม่เคยเห็นที่นอน ที่มีเลือดเยอะขนาดนี้เลย

น้องชายฉันไม่กล้าไปที่ห้องนั่นเลย แต่ว่าแม่สั่งให้ช่วยพี่เค้า น้องชายฉันเลยต้องช่วยกัน แบกที่นอนไปเก็บด้วยความจำใจ…..

พี่คนขับรถให้ฉัน เป็นนักวิทยุฯ สมัครเล่นด้วย เค้าจะมี”วอ” (ที่เหมือนของตำรวจน่ะค่ะ ที่ใช้คุยกันน่ะค่ะ) ติดตัวตลอด เพื่อใช้พูดคุยกัน ซึ่งเจ้าวิทยุ หรือที่เรียกง่าย ๆ ว่า “วอ” เนี่ย ก็จะสามารถพูดคุยกับคนในท้องถิ่นนั้นด้วย

ฉันก็ได้ยิน พี่จิ้น (ก็พี่คนที่ขับรถให้ฉันนั่นแหละ) พูดคุยกับคนในวอ แล้วคนในวอเค้าก็ถามว่า พักที่ไหน โรงแรมอะไร

พี่จิ้นก็ตอบ ๆ ไป สักพักเค้าก็ตอบกลับมาว่า (แล้วไม่ใช่ตอบคนเดียวนะ คือ ในวอเนี่ย มันจะคุยกันได้หลาย ๆ คนเลยล่ะ) คนในวอ เค้าก็แทบจะพร้อมใจกัน ตอบออกมาว่า…..

“หา อะไรนะ ทำไมมานอนโรงแรมนี้ล่ะ นี่มันโรงแรมผีสิงนะ ผีดุมาก ผีแขกด้วย เป็นป่าช้าเก่า ให้พวกเรารีบย้ายออกมาโดยด่วน ไม่มีใครนอนโรงแรมนี้ได้พ้นคืนหรอก ต้องวิ่งป่าราบกันทุกคน เพราะว่าในโรงแรมนี้น่ะ มีทั้งฆ่ายัดใต้เตียง ฆ่ากันในอ่างอาบน้ำ และที่สด ๆ ร้อน ๆ เมื่อ 3 วันที่แล้ว ยิงกันตายในลิฟท์”

โอ้ว พระเจ้าช่วยกล้อยทอด นี่มันอะไรกันฟะเนี่ยยย

ฉันนั่งฟังตาปริบ ๆ น้องชายฉันก็นั่งทำหน้าเหวอ ๆ แม่ฉันก็อึ้ง ๆ
ส่วนพี่จิ้น ก็ยังคุยไม่เลิก ยิ่งพูดก็ยิ่งน่ากลัว ๆ เรื่อย ๆ

จริง ๆ ฉันบอกให้พี่จิ้นเลิกคุยได้แล้ว เพราะยิ่งคุยมันก็เหมือนกับ เราท้าทายเค้าน่ะค่ะ แต่พี่จิ้นเค้าไม่ยอมเลิกคุย โดยให้เหตุผลว่า เราควรจะรู้ประวัติของโรงแรมนี้ให้มากที่สุด และอีกอย่างในนี้คนเยอะ เค้ารู้สึกว่ามันไม่น่ากลัว เหมือนมีคนร่วมทุกข์ร่วมสุขเพียบ….

พูดง่าย ๆ ว่าพอเจออะไรไป พี่จิ้นก็รีบรายงานให้คนในวอฟังทันที ประหนึ่งตัวเองเป็นนักข่าวรายงานสดนอกสถานที่

ฉันนึกในใจว่า “รู้แล้วมันจะได้อะไรขึ้นมาฟะ รู้แล้วยิ่งกลัวเปล่า ๆ”

ยิ่งคนในวอ เล่าประสบการณ์สยองมากเท่าไหร่ เกี่ยวกับโรงแรมนี้ ต่างคนก็ต่างเล่ากันใหญ่ว่าเจออะไร มันก็ยิ่งเป็นการท้าทาย ๆ คุณผีมากขึ้น ๆ เพราะว่าตอนนี้เค้าเริ่มจะแสดงอิทธิฤทธิ์มากขึ้นกว่าเดิม เช่น…..

ห้องน้ำ มีเสียงกดชักโครกเอง น้ำไหลซู่ เหมือนมีคนเปิดน้ำทิ้งไว้ ทั้ง ๆ ที่ไม่มีใครอยู่ และมีเสียงคนเดินในห้องน้ำ

หน้าต่าง ไม่มีระเบียง แต่มีคนเคาะหน้าต่างบ่อยมาก ๆ ก็คิดดูสิว่าใครเคาะล่ะ จะว่าต้นไม้ก็ไม่ใช่ เพราะตอนเย็นน่ะ มองแล้วว่าไม่มีต้นไม้ใหญ่ มาเลาะหน้าต่างแน่นอน

ประตู มีคนมาเคาะประตูทั้งคืน ตอนแรกฉันนึกว่าทีมงานมาแกล้ง จึงส่องตาแมวไปดู ปรากฏว่า ไม่มีใครสักคน

สักพักก็ยังมีคนมาเคาะอีกหลายหน ฉันจึงตัดสินใจลุกไปกัน 3 คนเพื่อส่องตาแมวให้รู้ไปเลยว่าใครมาแกล้งฟะ ปรากฏว่าขณะที่เสียงเคาะประตูกำลังดังอยู่นั้น ฉันส่องตาแมวพอดี ก็ไม่เห็นมีใครมาเคาะประตูเลย นั่นทำให้ฉันเหวอมาก ๆ

ส่วนลิฟท์ ก็มีเสียงคนขึ้นลงตลอดเวลา และที่สำคัญไม่ว่าลิฟท์จะขึ้นหรือลงยังไง ก็ต้องมาหยุดตรงชั้นห้องของฉัน และต้องมีเสียงคนเดินมาหยุดหน้าห้องทุกที ซึ่งแน่นอนว่า พวกเราไปส่องตาแมวดูแล้วก็ไม่มีใครสักคน

สักพัก พี่จิ้นเริ่มทนไม่ไหว ขณะที่ประตูกำลังเคาะอยู่นั้น พี่จิ้นก็แสดงความกล้าหาญด้วยการเปิดประตูทันที แล้วก็ออกไปมองข้างนอก ว่าใครวะ มาแกล้งป่านนี้ ซึ่งก็ไม่เจอใครสักคนเลยค่ะ และก็ไม่มีทางด้วยที่ใครจะมาแอบ เพราะมันไม่มีมุมให้แอบได้เลย

อ้อ ส่วนห้องข้าง ๆ คือ จะมีลิฟท์ก่อน และก็ห้องเก็บของ และก็ห้องฉัน นะคะ ก็เคาะผนังตรงหัวเตียงฉันทั้งคืนเช่นกันค่ะ

คุณลองคิดเล่น ๆ ดูสิ ว่าฉันกำลังนอนกลัวอยู่บนเตียง แต่หัวเตียงน่ะ มีเสียงคนเคาะดังมาก ๆ เลย เคาะป๊อก ป๊อก ป๊อก แถมลากของทั้งคืน เสียงเหมือนลากตู้ ลากเตียง เอี๊ยด อ๊าดทั้งคืน

สักพัก น้องชายของฉันก็กลัวจนหลับไป คือ นอนทั้งน้ำตาน่ะค่ะ ขณะที่น้องฉันกำลังหลับอยู่นั้น อยู่ดี ๆ ก็ลุกขึ้นมา ทำท่าทางเหมือนคนแขก และก็พูดภาษาแขก ๆ ว่า อะบิดาบา อะไรประมาณนี้น่ะค่ะ ไม่รู้แปลว่าอะไร แต่ว่าน่ากลัวมาก ๆ เพราะว่าปกติน้องชายฉันไม่เคยนอนละเมอเลย แต่นี่ลุกขึ้นมาดื้อ ๆ อย่างนั้น มันน่ากลัวมาก ๆ ค่ะ จนแม่ต้องให้พระคล้องคอน้องใส่ น้องถึงนอนลงได้

อ้อ…ลืมบอกไปว่า ตอนที่เข้าห้องนี้แล้ว ช่วงที่เกิดเหตุการณ์แรก ๆ ขึ้นคือ มีคนเคาะประตูนี่ ฉันกับคุณแม่ก็สวดมนต์พระคาถา ชินบัญชรด้วยนะคะ ลองคิดดูสิว่าขนาดสวดมนต์ก็แล้ว แผ่ส่วนบุญส่วนกุศล บอกเจ้าที่เจ้าทางก็แล้ว ยังโดนขนาดนี้ ถ้าไม่ทำจะโดนขนาดไหนเนี่ย

(อ้อ ขณะที่กำลังเขียนอยู่นี้ ตี 4 กว่าพอดี หมาแถวบ้านหอนกันสนั่นเลย ได้อารมณ์จริง ๆ )

ตอนแรก ๆ แม่เริ่มถอดใจ หลังจากน้องชายโดนผีเข้า แม่กะว่า เราออกไปหาโรงแรมอื่น นอนกันเถอะลูก แต่เรากลับคิดว่า นอนที่นี่ต่อไปดีกว่า….. เพราะว่า

– กลัวผีในลิฟท์อีก เกิดเข้าลิฟท์ดี ๆ แล้วลิฟท์ค้างกะทันหัน ไฟดับจะทำอย่างไร ไม่ตายกันในลิฟท์เหรอ ป่านนี้แล้วใครจะมาช่วย

– ตอนนั้นมันก็ดึกมาก ๆ แล้ว ตีอะไรก็ไม่รู้ ไม่รู้จะไปนอนที่ไหน เพราะไม่เคยมาจังหวัดนี้มาก่อน แล้วก็ไม่รู้ว่าที่อื่นมันจะดุกว่านี้หรือเปล่า

สรุปคืนนั้น เรียกได้ว่าแทบไม่ได้นอน เจอผีกันทั้งคืน

เจอจนจากกลัวเป็นโกรธ ฉันโกรธจริง ๆ นะ เข้าใจเลยว่า คนที่กลัวอะไรสุด ๆ สามารถเปลี่ยนความกลัว เป็นความโกรธได้

คือ ช่วงหลัง ๆ เริ่มจะชินแล้ว อยากหลอกก็หลอกล่ะกัน เพราะอย่างน้อย เค้าก็ยังใจดีที่ไม่มาให้เห็นกันจะ ๆ ไม่งั้นคงช็อกตายคาที หรือไม่ก็วิ่งป่าราบเหมือนคนอื่น ๆ

ฉันกับแม่เผลอหลับไปในตอนเช้า ส่วนพี่จิ้นก็หลับคาวอนั่นแหละ ตื่นมาอีกทีก็ 9 โมงกว่า รีบเผ่นจากห้องกันแทบไม่ทัน

ระหว่างออกจากห้อง ก็ต้องเดินผ่านห้องเก็บของข้าง ๆ ที่เมื่อคืนลากอะไรกันไม่รู้ทั้งคืน ฉันเหลือบไปเห็น ที่นอน (อีกแล้ว) แต่คราวนี้เป็นที่นอนที่มีเลือดเกือบจะสด ๆ เลอะเต็มที่นอน และไหลเป็นคราบมากองที่พื้นอีกด้วย

อ้อ…..พอดีมีคนทำความสะอาด 2 คนเดินมาพอดี ฉันเลยถามเลยว่า พี่คะ ห้องนี้เมื่อคืนมีใครเข้ามาลากอะไรหรือเปล่าคะ

พี่คนทำความสะอาดทำหน้าตาเหวอ ๆ บอกกลับมาว่า ห้องนี้ไม่มีคนหรอกค่ะ พอตกเย็นพนักงานก็รีบกลับบ้านกันหมดแล้ว ไม่มีใครกล้าทำงานตอนกลางคืนหรอก เพราะโรงแรมนี้ผีดุจะตาย ดูสิ ขนาดกลางวันแสกๆ เค้ายังไม่กล้าทำงานคนเดียวเลย ต้องขึ้นมาเป็นเพื่อนกัน 2 คน แล้วที่นอนที่เห็นนี่ ก็เพิ่งฆ่ากันตายมาไม่กี่วัน เลือดยังนองอยู่ ไม่มีใครกล้าเช็ด

พอทราบความดังนั้น พวกเราก็ขอบคุณพร้อมกับรีบลงจากลิฟท์ ลิฟท์ก็น่ากลั๊ว น่ากลัว นี่ขนาดตอนเช้านะเนี่ย

พอลงมาก็เจอเจ้าของโรงแรม เดินมาทักทายใหญ่เชียว ว่าเมื่อคืนหลับสบายมั้ยครับ?

โห…..ฉันนะ รีบบอกใหญ่เลยล่ะ ว่าเมื่อคืนเจออะไร

เจ้าของโรงแรมรีบบอกกลับทันที่ว่า “ที่คุณเจอน่ะ มันยังเล็กน้อย ผมเจอยิ่งกว่านี้อีก และอีกอย่าง วันนี้ผมจะทุบโรงแรมนี้ทิ้งพอดี เพราะว่าเปิดต่อไป ก็ไม่มีใครมาพักเลย เนื่องจากผมก็ยอมรับว่าโรงแรมผมผีดุจริง ๆ เมื่อคืนเป็นคืนสุดท้าย ผีเค้าเลยมาทักทายซะหน่อย”

ฉัน แม่ น้อง พี่จิ้น ยืนฟังตาเหลือก

เรานึกในใจว่า “อะไรฟะ ผีดุแบบนี้กล้าให้พวกเรามานอนได้ไงฟะเนี่ย”

เราถามเกี่ยวกับทีมงานคนอื่น ๆ ก็ได้ความว่า ไม่มีใครพักที่นี่เลยค่ะ (พูดง่าย ๆ ว่าทั้งโรงแรมมีฉันอยู่ห้องเดียว) คือ ดาราคนอื่น เค้ารู้กันหมดแล้วว่าที่นี่ผีดุ ไม่มีใครกล้าพัก ส่วนเราเพิ่งเล่นเรื่องแรก ยังไม่รู้อะไร ไม่มีใครบอก เลยได้พักไป ซวยไป

อีก 2 วันต่อมาก็มีคิวถ่ายต่อ แหม…ทีมงานถามกันใหญ่เลย ว่าเจออะไรบ้าง หึหึ สนุกกันเข้าไป

นี่ละหนา ที่เค้าว่าคนในวงการบันเทิง ไม่มีมิตรแท้ และศัตรูจริง ก็ดูสิ ไม่มีใครบอกฉันสักคน

วันอังคารที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2557

ผี เรื่องผี เรื่องเล่าสยองขวัญ คำสาปบนดอยสูง


















วิถีชีวิตของชาวเขาเผ่าต่างๆที่อาศัยอยู่บนดอยสูงนั้น

วัฒนธรรมพวกเขาเคยสงบหยุดนิ่งมาหลายชั่วอายุคน ปัจจุบันเริ่มเปลี่ยนแปลงไปตามกระแสโลกยุคใหม่มากขึ้น วัยรุ่นแต่งตัวเกาหลี วัฒนธรรมจากภายนอกหลั่งไหลเข้าไปและรับเอาโดยคนรุ่นใหม่อย่างไม่ยากเย็น วิถีเก่าๆจึงค่อยๆจืดจางลงไปตามกาลเวลา

แต่มีบางสิ่งยังคงอยู่ แม้กาลเวลาจะผ่านไปนานเท่าใดก็ตาม

ในอดีต เรือกสวนไร่นาของชาวเขา ส่วนใหญ่จะอยู่ห่างจากหมู่บ้าน ลัดเลาะไปตามไหล่เขาไกลบ้างใกล้บ้าง เนื่องจากพื้นที่ปลูกพืชที่ดีๆหายาก แต่ละครอบครัวจึงต้องเดินเข้าป่าลึกเพื่อถากถากจับจองกันเองตามกำลัง เมื่อพืชผลเจริญงอกงาม ด้วยระยะทางจากบ้านมาก็ไกลโข จึงเกิดความระแวงว่าแขกไม่ได้รับเชิญจะมาเก็บเอาผลผลิตไปโดยวิสาสะ

จึงต้องมีพิธีกรรมบางอย่างเกิดขึ้น….

เริ่มจากตระเตรียมสำรับกับข้าวของคาวของหวานและเหล้าสำหรับเซ่นไหว้จนครบแล้ว จึงเริ่มการสวดด้วยคาถาอาคมที่สืบทอดกันมาหลายรุ่น คาถานั้นเป็นคำสาปแช่งให้ผู้ที่เอาของจากไร่โดยไม่ได้รับอนุญาตนั้นให้มีอันเป็นไป หลังจากนั้นหัวหน้าครอบครัวก็จะสั่งคนในบ้านว่า ห้ามกินของในไร่เป็นอันขาดจนกว่าจะถึงฤดูเก็บเกี่ยว

แต่แล้วก็เกิดเรื่องขึ้นจนได้

ครอบครัวนี้มีลูกหลายคน และหลายวัย เด็กชายตัวเล็กๆ ติดตามพ่อแม่ไปทำงานในไร่ ทั้งพ่อทั้งแม่มัวแต่ยุ่งกับงานในไร่ จึงไม่ได้สนใจลูก ฝ่ายลูกชายที่มัวเล่นเพลิน ด้วยความหิว จึงคว้าเอาพุทราผลหนึ่งเข้าปาก และตามด้วยอีกผลด้วยความเอร็ดอร่อย กระทั่งเย็นย่ำ สามพ่อแม่ลูกจึงเดินทางกลับเข้าหมู่บ้าน ภรรยาหุงหาอาหารเสร็จสรรพเรียบร้อย จึงเรียกทุกคนล้อมวงกินข้าวกัน หลังจากกินได้ไม่นาน

ลูกชายคนเล็กก็ล้มลง ตัวโก่งตัวงอ ปากร้องว่า “ปวดท้องๆ” แม่ตกใจลนลาน รีบไปหายาสมุนไพรแก้ปวดท้องมาให้กิน อาการก็ยังไม่ทุเลา คนเป็นพ่อเริ่มเอะใจว่าไม่น่าจะปวดท้องแบบธรรมดาซะแล้ว ในใจนึกว่าขออย่าให้เป็นดังที่คิดเลย ทนไม่ไหวเต็มทีจึงถามลูกว่า

“ตอนกลางวัน นอกจากข้าวที่เตรียมมา แกไปกินอะไรอีก”

ลูกชายฝืนใจตอบอย่างยากเย็น

“พุทรา”

คนเป็นพ่อตกใจ

“พุทราที่ไหน”

“ในไร่เรา”

“ฮ้า!!!…..”

พ่อใจหล่นวูบ เป็นดังที่คิดเสียแล้ว กระวีกระวาดเตรียมของจำเป็นสำหรับไหว้แล้ว คว้าไฟฉายแล้ววิ่งไปไร่ทันที หนทางไปไร่มืดสนิทมีแต่แสงไฟฉายนำทางวูบๆวาบๆ เหนื่อยแทบขาดใจจึงถึงไร่ วางเครื่องเซ่นลงจัดแจง ใจยังเต้นตุ้บๆ ปากแทบจะท่องคาถาไม่เป็นคำ หลังจากว่าคาถาคลายคำสาปแช่งเสร็จ เชื่อว่ามนต์นั้นถูกคลายแล้วอย่างแน่นอน เก็บข้าวเก็บของเสร็จวิ่งอย่างไม่คิดชีวิตกลับมาบ้าน

กระหืดกระหอบขึ้นบันได ถามเมียว่าลูกเป็นอย่างไร

เมียหันหลังให้ เห็นแต่หัวกับเท้าลูกพาดบนตัก

“ลูกเราเสียแล้วพี่ ฮือ..ฮือ…”

คนเป็นพ่อน้ำตาคลอเบ้า แข้งขาอ่อนทรุดลงทันที เราช้าไปเสียแล้ว ใจคิดแต่โทษตัวเองว่าช่วยลูกชายไว้ไม่ได้ จึงปล่อยโฮตามเมียอีกคน ร่างลูกถูกคลุมด้วยผ้าขาว บนหัวนอนมีโคมน้ำมันก๊าดจุดไว้ทั้งคืน รุ่งเช้าญาติพี่น้องช่วยกันจัดพิธีฝังศพตามมีตามเกิดด้วยบรรยากาศที่แสนจะโศกเศร้า

ครอบครัวหนึ่ง ต้องสูญเสียลูกชายด้วยความคับแค้นใจ พืชผลในไร่กับชีวิตของลูกชาย หากแลกได้คงไม่เอาอันใดนอกจากชีวิตของลูก เรื่องนี้เป็นอุทาหรณ์สำหรับชาวเขาด้วยกันเอง การใช้มนต์ดำเพื่อรักษาพืชผลจึงต้องทำอย่างระมัดระวัง แต่สำหรับพ่อที่เสียลูกไป คงไม่อยากใช้อีกเลยตลอดชีวิต

หนาวนี้หลายคนชอบไปเที่ยวดอยสูง หากเจอดอกไม้สวยๆ ผลไม้งามๆ ที่ไหนสักแห่งบนเขา แล้วคิดจะเด็ดมาชิมหรือชมแล้วละก็ ไม่แน่ว่า อาจมีคำสาปพ่อเฒ่าชาวเผ่าผู้หวงแหนแฝงอยู่ก็เป็นได้

ปล. เรื่องนี้เกิดขึ้นสมัยสองพันห้าร้อยต้นๆ ยาฆ่าแมลงคงยังไม่เป็นที่แพร่หลาย ยุคนั้นจะเป็นการทำเกษตรแบบธรรมชาติเสียมากกว่า ส่วนประเด็นที่ว่าเด็กอาจ เป็นโรคบางอย่างอันนี้ไม่แน่ครับ เพราะได้ฟังมาอีกทีเหมือนกัน แต่ที่แน่ๆเรื่องการสาปแช่งมนต์ดำนี่ยังคงหลงเหลืออยู่ครับ ถ้ามีโอกาสจะเล่าให้ฟัง

ขอบคุณ แหล่งที่มาหนังสือพิมพ์

วันจันทร์ที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2557

ผี เรื่องผี เรื่องเล่าสยองขวัญ ห้องทางผ่าน



















3 ปีที่แล้ว หลังจากฝึกงานเสร็จ ผมเป็นคนต่างจังหวัด
แต่คงยังต้องอยู่ในจังหวัดแห่งหนึ่งในภาคเหนือที่คนชอบไปเที่ยวกัน เป็นจังหวัดที่ใหญ่ที่สุดใน 8 ภาคเหนือ

หลังจากฝึกงานเสร็จผมต้องไปหาหอพักใหม่ เพราะผมฝึกอำเภอที่ติดกับอำเภอเมือง
หลังจากหาหอพักอยู่หลาย ก็ไปถูกใจอยู่หอพักนึ่ง เพราะคนพักเยอะ ดูปลอดภัย สะอาด จึงตัดสินใจจอง มันเหลืออยู่ 2 ห้อง
โดยที่ผมไม่ได้ดูห้อง แล้วก็ไม่รู้ว่าอยู่ชั้นไหน(ที่นี่มี 4 ชั้น) ห้องหนึ่งต้องรอคนเช่าเดิมออกสิ้นเดือน อีกห้องไม่มีคนเช่าอยู่
พอมาถึงวันที่ 1 ผมก็เตรียมของบ้างอย่าง แค่เสื้อผ้าไม่กี่ชุด แล้วชุดปูที่นอน 1 ชุด แค่นั้น
เจ้าของหอพักก็ให้เลือกว่าจะอยู่ห้องไหน ห้องแรกอยู่ชั้น 1 เจ้าของเดิมเก็บของออกหมดแล้ว ห้องก็ทำความสะอาดเรียบร้อย

แต่ห้องไม่มีระเบียงหลังห้อง แดดเข้าไม่ถึง พอมาห้องที่สอง อยู่ชั้น 2 พอเดินขึ้นมาเจอห้องเลย คือบันไดตรงกลับประตูเป๊ะเลย
ตรงประตูก็มีกระจกติดไว้ให้เรียบร้อย จึงเปิดประตูเข้าไปดู ห้องสว่าง แดดเข้าถึง มีระเบียงหลังห้อง จึงตัดสินใจเอาห้องนี่
ผมไม่ได้เป็นคนคิดเรื่องเกี่ยวกับความเชื่ออะไรมาก ถ้าชอบก็คือชอบ แล้วก็เอาขนขึ้นไว้ที่ห้อง แล้วออกไปทานข้าว กลับมาถึงห้องก็ 3-4 ทุ่มแล้วมั้ง
แล้วก็เตรียมตัวอาบน้ำ แก้ผ้าหมดล่ะ เข้าไปอาบน้ำ ช่วงนั้นเป็นช่วงที่กำลังเข้าหน้าหนาว แต่อากาศมันยังร้อนอยู่ ผมไม่ได้เปิดเครื่องทำน้ำอุ่นนะ
น้ำก็ไหลเย็นตามปกติ สักแปปเดียว เพี๊ยะ!!! เราร้อง โอ๊ย!!! น้ำร้องมาก เหมือนแบบจะโดนน้ำร้อนลวก เบรกเกอร์เด้งขึ้นเอง ไฟเครื่องทำน้ำอุ่นติด
รีบออกมากดเบรกเกอร์ลง แล้วก็ขึ้นคิดสักแบบว่า เบรกเกอร์มันเสียหรือป่าว แล้วก็ไปอาบน้ำต่อ  อาบน้ำเสร็จก็ไปนอนต่อ แต่นอนไม่ค่อยหลับเท่าไหร่

หลังจากนอนตื่นขึ้นมาในคืนที่ 2 พอตื่นนอนตอนก็ประมาณเที่ยง เริ่มหิวข้าว ก็กำลังจะไปอาบน้ำ พอกำลังจะเดินเข้าประตูห้องน้ำ ก็ชงัก นิดหนึ่ง
ยื่นดูเบรกเกอร์ แล้วก็ลองดึงขึ้น-ลง มันก็ปกติดีไม่เห็นจะเสียตรงไหน ก็ยังนึกอีกว่า มันคงกระตุกเองมั้ง
แล้วก็เข้าไปอาบน้ำ คราวนี้ไม่มีอะไร น้ำเย็นสบาย อาบน้ำเสร็จ แต่งตัวไปหาข้าวทาน

กลับมาถึงห้อง ประมาณเกือบ 6 โมง เย็น คือแบบว่ามันกำลังจะเข้าหน้าหนาว บรรยายกาศที่นี่มันมืดเร็ว
เปิดประตู แล้วก็เปิดไฟ ไฟสว่างปกติ จากนั้นผมก็ นำเสื้อผ้าแขวนไว้ในตู้ประมาณ 2-3 ตัวได้ เพราะยังไม่ได้นำของอะไรมามาก
ในตู้เสื้อผ้ามันก็โล่ง ไม่มีอะไร มีแต่เสื้อ 2-3 ตัวที่แขวนไว้ แล้วสิ่งที่เกิดขึ้น ไฟกลางห้อง กับไฟที่ระเบียง มันติดๆดับๆ
คือแบบว่ามันรำคาญสายตามาก ผมก็รอประมาณสัก ครึ่งชั่วโมง ดูว่ามันจะหายกระพริบหรือป่าว แต่ก็ยังไม่หาย

ผมจึงไปบอกเจ้าของหอ ซึ่งตอนออกห้องไปไฟมันก็ยังกระพริบอยู่ ออกไปตามเจ้าของห้องประมาณ 5 นาที
พอเดินกลับเข้ามาในห้อง ไฟสว่างเหมือนเดิม ไม่กระพริบอะไรสักอย่าง เออ…คือยืน งง อยู่แปป ก็บอกเจ้าของหอไปว่าเมื่อกี่มันกระพริบอยู่
สงสัยมันกลัวเจ้าของหอมั้งคับ 555 เจ้าของหอก็ใจดี เช็คไฟให้อีกที เปลี่ยนให้เลยด้วยซ้ำ หลังจากนั้นก็ตามปกติไม่มีอะไรมาก
แต่ก็ยังนอนไม่หลับอยู่ดี หลับๆตื่นๆ จึงทำให้ตื่นเกือบเที่ยงคับ

คืนที่ 3 คืนนี้หลังจากกลับมาถึงห้องประมาณ 6 โมง กว่าๆเหมือนเดิม
แต่วันนี้รู้สึกหนาวเย็นยะเยือกขึ้นมาตั้งแต่เดินขึ้นบันไดมาจนถึงเปิดประตูห้องมาแล้ว
อาบน้ำเสร็จ นั่งเล่นโน๊ตบุ๊ต ทำโน้นทำนี่ไป เริ่มง่วง แล้วบรรยายกาศเริ่มเงียบ และเย็น
ที่หอพักนี่เงียบคงเป็นช่วงที่เด็กนักศึกษากลับบ้านหรือไปไหนกันไม่รู้ น่าจะเป็นวันศุกร์หรือวันเสาร์ จำไม่ค่อยได้

ประมาณสี่ทุ่มกว่า ก็ขึ้นเตียงนอน เล่นมือถือสักแปป เริ่มง่วงแล้ว แต่มันยังนอนไม่หลับ พยายามขมตานอนก็ยังไม่หลับ
คือถ้าเดินขึ้นบันไดมา แล้วก็เดินตรงมาเปิดประตูห้อง (ถ้ามองตรงไปจะเป็นประตูระเบียงถ้าเปิดออกไปด้านซ้ายจะเป็นห้องน้ำ)
เตียงจะด้านซ้ายหันหัวเตียงติดมุมเป็นแนวขว้างติดผนังทางเดินไปห้องอื่นแล้วตู้เสื้อผ้าจะติดผนังห้องน้ำ
มีพื้นที่ว่างตรงกลางระหว่างเตียงกับตู้ (พอมองภาพกันออกหรือป่าวไม่รู้นะคับ)

ประมาน ห้าทุ่มกว่า ก็ยังหลับๆตื่นๆ ที่รู้เวลาเพราะดูเวลาจากมือถือด้วย แล้วประมาณเกือบเที่ยงคืน ได้ยินเสียงคนเดินจากข้างนอก
ที่รู้เพราะในเวลานั้นนอนติดกำแพงห้องที่ติดทางเดิน นอนตะแคงแบบนั้น แล้วห้องมันค่อยข้างมืดด้วยนะ
หลังจากนั้นเริ่มรู้สึกเหมือนว่า ได้ยินเสียงดัง ก๊อกๆแก๊ก จากที่ระเบียงห้องก่อน แต่ไม่คิดไรมาก หลังจากนั้นก็ได้ยินเริ่มใกล้เข้ามาแล้ว
คือในตู้เสื้อผ้า มันเป็นเสียงแบบนี้อยู่นานเป็นชั่วโมงเลย แบบว่า แก๊กๆๆ แล้วหาย แล้วก็ดังอีก

ที่จริงก็นอนคิดไปด้วยนะว่าคงเป็นหนูหรือแมลงอะไรประมาณนี้ แต่ยังไม่ได้หันหน้ากลับมาดู ยังหันหน้าติดผนังอยู่ เพราะกำลังกลัวอย่างมาก
พอเสียงมันไม่ยอมหยุดหายก็เริ่มจะไม่ไหวแล้ว ทั้งกลัว ทั้งง่วง ตัดสินใจพลิกตัวกลับหันหน้าไปที่ตู้ ตัดสินใจลืมตา นอนมองที่ตู้
ทันใดนั้นเสียงมันก็หายไม่ได้ยินประมาณ 15 นาทีมั้ง แล้วตาผมก็เริ่มจะปิดลงๆ แต่สายตามองไปที่ประตูบานเลื่อนของตู้เสื้อผ้า
ทันใดนั้นประตูตู้เสือผ้าเริ่มเลื่อยออก เลื่อยออก (คือประตูเสื้อผ้าเป็นแบบบานเลื่อนสองบานใหญ่ซ้ายขวา)
คือมันค่อยๆเลื่อนที่ละเล็กละน้อย แบบคือมองเข้าไปในตู้ที่บานประตูมันค่อยๆเลื่อน

ในนั้นมันมืดมาก แล้วตอนนั้นในใจเต้นแรง เหนื่อยแตก กลัวมากๆ จนแบบประตูมันเปิดออกได้ประมาณ 1 ฝ่ามือ
คิดว่ามันจะหยุดเพราะคิดว่าร่องบานประตูตู้ไม่เท่ากันหรือป่าว คือไม่ไหวแล้ว กลัว จึงลุกขึ้นไปดันบานประตูปิดไว้อย่างเดิม
แล้วยืนคิดว่าจะมีอะไรออกมาหรือป่าว ยืนดันบานประตูแบบนั้น ทั้งกลัว ทำไรไม่ถูก ไม่กล้าปล่อยมือ ยืนแบบนั้นได้ประมาณครึ่งชั่วโมง
หลังจากตั้งสติได้ แล้วรีบวิ่งไปเปิดไฟที่ประตูเข้าออกห้อง แล้วกลับมานั่งขัดสมาธิกลางเตียง แล้วนั่งจ้องที่ประตูตู้เสื้อผ้า
มันก็ไม่เลื่อน นั่งจ้องสัก 10 นาที ก็ไปปิดไฟ เพราะง่วงนอนมาก มันเกือบจะตีสี่แล้วตอนนั้น แล้วก็เอนตัวนอน แต่เสียงมันก็ยังได้ยินอีก
ที่นี่ตัดสินใจ เลื่อนเปิดบานประตู้เสื้อผ้าเองเลย แต่ก็ไม่มีอะไร แล้วก็ปิดประตู กลับมานอน หันหน้าเข้าผนัง แล้วก็พูดขึ้นว่า
จะทำอะไรก็ทำเลย ไม่ไหวแล้ว ง่วงนอน แล้วก็หลับไปเลย ตื่นอีกทีบ่ายโมงกว่าของบ่ายวันนั้น

คือในตู้เสื้อผ้ามันไม่มีอะไรเลยนอกจาก เสื้อผมที่แขวนไว้ 2-3 ตัว
แล้วหลังจากที่ตื่นรีบเปิดคอม ออนเฟส เล่าให้เพื่อนฟัง เพราะพวกเพื่อนรู้ว่าผมมีเซ้น อะไรประมาณนี้
เพือ่นยังถามเลยว่าไหว้เจ้าที่หรือยัง แต่ผมก็ยังไม่ได้ไหว้ด้วยคับ แล้วมันยังบอกอีกว่าห้องเป็นแบบนั้นจะอยู่ทำไม
แต่ก็เจอมาเรื่อยๆนะคับ แต่ผมก็ไม่ย้ายออก ชอบห้องนี้ จนได้งานอีกจังหวัดถึงย้ายออก

ผี เรื่องผี เรื่องเล่าสยองขวัญ ผีเฮี้ยนในห้างดัง


















ผีเฮี้ยนในห้างดัง : เรื่องนี้เป็นเรื่องจริง … ยังมีให้เห็น … และยังเป็นอยู่ …

ก่อนอื่น ต้องขอออกตัวก่อนนะว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องจริง จะพยายาม ไม่เอ่ย ถึงสถานที่ชัดเจน เพื่อผลกระทบ…..ตอนนี้ก็ยังมีให้เห็น และเป็นอยู่….เคยโทรไปออนแอร์นานแล้วกับพิธีกรผีๆกพล ทองพลับ เมื่อสิบกว่าปีมาแล้วครับ….ซึ่งญาติผมเป็นส่วนหนึ่งของเจ้าหน้าที่ทำงานด้าน วิศวกร ออกแบบ ก่อสร้าง…ไม่ขอเอ่ยนาม

ห้างหนึ่ง ในกรุงเทพมหานคร ได้ทำการก่อสร้าง และมีบริษัท รับเหมา ทั้งออกแบบ และก่อสร้าง ควบคุม ดูแลงาน…ได้มีการก่อสร้าง ตามขั้นตอน ตามแบบแปลน ที่วางไว้ จาก ชั้น2ไปชั้น3 ขอย้ำนะครับว่า จากชั้น2 ไปชั้นที่3 ….เรื่องเกิดตรงนี้…
หลังจากสร้างเสร็จแล้ว มีการย้ายเข้าไปอยู่ของทางร้านค้าต่างๆ เป็นทั้งแบบดีพาร์ท และแบบให้เช่า อยู่ได้ไม่นานครับ เจ้ง และหาผู้เช่ารายใหม่ ความว่า กลางคืน ทั้งยาม ทั้งแม่บ้าน เจอกันทุกราย เช่น หุ่นเดินได้ แม่บ้านทำความสะอาดที่มาทำงานก่อนห้างเปิด เจอ คนนั่งร้องให้ เสื้อผ้าลอยได้ คนวิ่งเข้าไปในต้นเสา …ทีแรก นึกว่าเป็นขโมย ต้องตามยามมาค้นหา แต่ก็หาไม่เจอ…ช่วงห้างเลิก…วงจรปิด จับภาพ คนได้ นึกว่า ขโมยแอบเข้ามา ค้นหา ไม่เจอครับ

พอมีการเปลี่ยนเจ้าใหม่ ก็ต้องมีการปิดปรับปรุง เปลี่ยนแปลง ออกแบบ ภายในใหม่ โดย วิศวกรกลุ่มเดิม มาคุมงาน…หลังจาก ห้าทุ่มแล้ว พวก วิศวกร พากันขึ้นไปทานข้าว ที่ห้องอาหารชั้น5 …ซึ่งปิดปรับปรุงเหมือนกัน แต่ก็ยังมีโต๊ะ เก้าอี้ให้นั่ง โดยการซื้ออา หารมาทานเองครับ …เหล่าคนงานที่มาตกแต่งร้านก็พากันกลับหมดแล้ว…กลุ่มพวกวิศวะ พากันนั่งทานอาหารกันอยู่นั้น เหลือบไปเจอ ผู้หญิงวัยกลางคนท่านหนึ่งนั่งหน้าเศร้าอยู่ในมุมมืด..มองมาทางกลุ่มที่ทาน ข้าวอยู่…
หัวหน้า พูดกับลูกน้องว่า..

ใครวะ ดึกๆ ดื่นๆ ยังไม่กลับอีก มานั่งอยู่ตรงนั้น ไปเรียกเขามาทานข้าวด้วยกันซิ…แล้วก็ให้ลูกน้องไปเรียก หญิงวัยกลางคน คนนั้น มาทานข้าวด้วย..…….พี่ๆๆ ทำไมยังไม่กลับอีก มาทำอะไรอยู่ตรงนี้หรือ…ไม่มีเสียงตอบรับจากหญิงวัยกลางคนก็เลยสำทับกับคำ ถามเดิมอีกครั้ง…พี่ๆ ทำไมยังไม่กลับอีก มาทำอะไรอยู่ตรงนี้…หัวหน้า เรา ให้ผมมาเรียกไปทานอาหารด้วยกัน…มาม๊ะ มาทานอาหารด้วย

กัน..เสียงหญิงคนนั้น พูดช้าๆเสียงออกทำนองอิสานว่า..บ่ไปหรอก..ให้หัวหน้าเธอมาทานที่นี่ซิ..ฝ่าย ลูกน้องก็ตะโกนไปบอกหัวหน้าที่นั่งห่างไม่ใกลเท่าไหร่ ประมาณสัก 5-6 เมตร ว่า หัวหน้า ..เธอไม่ไปหรอก เธอให้พวกเรา มาทานที่โต๊ะของเธอ…จะบ้าเร๊อาะ พวกเราเย๊อาะกว่า จะให้ย้ายไปที่คนน้อยกว่าได้ไง..มานั่งที่นี่ด้วยกันซิ..ผู้หญิงคนนั้นได้ ยิน ค่อยๆหันหน้า มาทางหัวหน้าและกลุ่มวิศวะอย่างช้าๆมองแบบตาขวางๆหน้าเศร้าๆ แล้วพูดขึ้นมาว่า หัวหน้า ไม่เจอกันตั้งนาน ยังใจดำเหมือนเดิมนะ….หัวหน้า งง

 ..ป้ารู้จักผมหรือ ทำไมผมไม่รู้จักป้าเลย….ทำไมจะไม่รู้จักละ ป้าตอบ..เออ แล้วป้า เป็นใคร อยู่ที่ไหน มาทำอะไรที่นี่…เสียงจากหญิงลึกลับพูดมาว่า..เวลาผ่านมาไม่นาน ทำเป็นจำหนูไม่ได้ ก็หนูติดอยู่ที่ต้นเสาชั้นสอง ที่หัวหน้าไม่ยอมเอาหนูออกมาไง…เสียงตอบจากป้า
แค่นั้นละ…หัวหน้าวิศวะ วิ่งป่าราบ ก่อนเพื่อนเลย ลูกน้องที่นั่งอยู่ด้วย ก็วิ่งตาม…ไป และถามหัวหน้าข้างนอกตึกว่า วิ่งทำไมหรือ…หัวหน้าตอบว่า…มันไม่ใช่คน……………..แล้วก็เลยเล่าเรื่อง ที่เกิดขึ้นพลางสำทับไปว่า…ห้ามแพร่งพราย…ไม่งั้น เดือดร้อนกันทั่ว…จนกว่าเราจะหมดพันธะจากการเป็นที่ปรึกษาของบริษัทนี้ก่อน…

เรื่อง ที่ ปกปิด เป็นความลับ คือว่า ห้าง แห่งนี้ ตอน ก่อสร้าง ได้ มีคนงาน เป็นหญิงวัยกลางคนชาว อิสาน ได้ตกไปใน เสาเอก หรือเสาหลัก ตอนเทปุน…มาเจอตอนที่เขาแกะบล็อกออกจากเสา จึงรู้ว่า มีคนอยู่ข้างใน…จะเอาออก ก็ไม่ได้ ต้องทำการรื้อใหม่ ทั้งชั้น จะสูญเสียงบไป หลายสิบล้านบาท…จึงหาวิธีแก้ โดยการโบกปูนฉาบทับไปเลยและปิดเป็นความลับ สุดยอด…สอบถามถึงคนที่ติดอยู่ข้างใน เป็นใคร

…สุดท้ายจึงรู้ว่า เป็นเมียคนงาน ที่ทำงานอยู่ที่นี่…ฝ่ายผู้รับเหมา และวิศวะเลยต้องหาวิธีโดยไม่ต้องรื้อ…ทำไงหรือครับ เสนอเงินจำนวนหนึ่ง ให้ฝ่ายสามี…แล้วก็ฉาบปูนทับไปเลย ไม่มีการเอาศพออก….เรื่องก็เงียบไป….แต่อย่างว่าละครับ…มันเลยเป็นอาถรรณ์ ใครมาบริหารห้างนี้ เจ้งแล้ว เจ้งอีก ผมก็เคย ไปดูให้เห็นกับตามาแล้ว…แต่คนที่มาอยู่ใหม่ เจ้าใหม่ คงไม่รู้แน่ๆ
ทุกวันนี้ ก็ยัง เฮี้ยนไม่เลิกครับ……สงสารเจ้าของใหม่ แม่บ้าน และยาม ที่เขาไม่รู้..ต้องเจอดี

http://shock.mthai.com

วันเสาร์ที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2557

วิธีป้องกันวิญญาณ ตอนไปเที่ยวโรงแรม!!

คงไม่มีใครเถียงแน่นอน ว่าโรงแรมเป็นสถานที่ยอดฮิตอันดับต้นๆ ที่คุณจะได้เจอผี วันนี้ เลยจะมาแนะนำวิธีป้องกันผีหลอก ในกรณีที่เราต้องเข้าไปพักในโรงแรมคนเดียวหรือโรงแรมที่น่ากลัวๆ มาฝากกัน

- ก่อนที่จะเข้า
ยังห้องพักของคุณ จงเคาะประตูก่อนทุกครั้ง แม้คุณจะรู้ว่านี่เป็นห้องว่างก็ตาม

- หลังจากที่เข้าไปอยู่ในห้องแล้ว หากคุณรู้สึกเย็นวาบขึ้นมาในทันทีทันใด และมีอาการ “ขนลุก” จง ออกจากห้องไปเงียบๆ และโดยทันที แล้วไปหาพนักงานต้อนรับเพื่อขอเปลี่ยนห้องใหม่ โดยส่วนใหญ่แล้ว พนักงานต้อนรับจะเข้าใจทันทีว่าเกิดอะไรขึ้น

- หลังจากอยู่ภายในห้องแล้ว จงเปิดไฟให้ครบทุกดวงในทันที พร้อมกับเปิดผ้าม่านเพื่อ ปล่อยให้แสงแดดส่องเข้ามา

- ก่อนเข้านอน จัดวางรองเท้าของคุณให้อยู่ในลักษณะกลับหัวกลับหางกัน บางคนบอกเอาไว้ว่านี่เป็น การแสดงถึงหลัก “หยิน-หยาง”เพื่อคุ้มครองคุณขณะที่คุณหลับ

- จงเปิดโคมไฟทิ้งไว้อย่างน้อยดวงหนึ่งขณะที่คุณหลับ ยิ่งเป็นไฟในห้องน้ำยิ่งดี
- หากคุณพักคนเดียว และห้องคุณเป็นเตียงคู่ อย่าเข้านอนโดยปล่อยให้อีกเตียงหนึ่งว่างเปล่า พยายามนำสิ่งของไปวางไว้เช่น กระเป๋าเดินทาง ที่เตียงว่างอีกเตียงหนึ่งก่อนที่คุณจะหลับ

บทความที่ได้รับความนิยม