วันพุธที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2557

ผี เรื่องผี เรื่องเล่าสยองขวัญ โรงแรมเฮี้ยน นครสวรรค์


















ช่วงนี้ทำบุญบ่อย ใส่บาตรแทบทุกวัน เนื่องจากกลัวว่าคุณยายจะไม่มีอะไรทานในสวรรค์

ทุกครั้งที่ทำบุญจะอธิษฐานให้ตัวเองไม่ต้องเจอผี คือ ไม่ต้องมาขอส่วนบุญ ถ้าทำบุญจะอุทิศฯ ไปให้คุณผีเองโดยไม่ต้องมาขอ

ดังนั้น ช่วงนี้สบายใจ ไม่ต้องโดนผีหลอกค่ะ แต่ว่าเพื่อน ๆ อยากฟังเรื่องผีอีกเหรอ? อืมม……..งั้นเอาเรื่องที่เคยเจอในอดีตมาเล่าให้ฟังละกันค่ะ

อืมม บอกไว้ก่อนเผื่อมีเพื่อน ๆ บางคนที่เคยฟังแล้ว เพราะว่าเรื่องนี้ก็เป็นอีกเรื่องที่เคยเล่าในรายการเดอะช็อคค่ะ…..

อ้อ…..เหตุการณ์ในเรื่องนี้ บางคนอาจจะคิดว่า โอเวอร์ก็ได้ แต่อยากจะบอกว่า เรื่องนี้เรื่องจริง ๆ เลยค่ะ เจอกันหลายคนเลยล่ะ

ตอนนั้นฉันมีโอกาสได้แสดงภาพยนต์เรื่องนึง (แต่หนังไม่ดังหรอก เพราะช่วงนั้นหนังไทยไม่ทำเงินเหมือนช่วงนี้)

เราไปถ่ายทำกันที่จังหวัดนครสวรรค์ พอตกกลางคืน ทางทีมงานก็เปิดห้องพัก 2 ห้องให้ฉัน แม่ น้องชาย และพี่คนขับรถ ได้พักผ่อนกัน

ด้านล่างของโรงแรม ค่อนข้างสวยงามใช้ได้ แต่พอขึ้นลิฟท์ไปจนถึงห้องพักนี่สิ…….บรรยากาศน่ากลัวสุด ๆ เหมือนกับคนละโลกกันเลย

อ้อ…..ลืมบอกไปว่าตอนนี้ฉันมาถึงห้องพักน่ะ เป็นเวลาโพล้เพล้พอดี คือ ประมาณหกโมงเย็นกว่า ๆ แล้วล่ะ ทำให้พอมองบรรยากาศข้างนอกได้ค่อนข้างชัด

ฉันมองผ่านหน้าต่างออกมา ก็เห็นว่า มีหลุมศพอยู่ 2 หลุมติดกันเลย ตอนนั้นใจน่ะ อยากจะขอเปลี่ยนห้องแล้วล่ะ แต่ก็เกรงใจทางทีมงานอยู่ไม่น้อย กลัวว่าถ้าทำตัวเรื่องมาก ก็พาลจะถูกนินทาเอาได้ ก็เลยจำใจนอนห้องนี้ก็ได้ฟะ…..

และอีกอย่างก็คิดว่า วิวห้องไหน มันก็คงจะเหมือน ๆ กันแหละ แต่ตอนนั้น ยังไม่ทันได้สำรวจห้องอะไรมากมาย ก็ต้องรีบลงไปข้างล่างก่อน เพราะว่าเดี่ยวจะมีพี่ที่กองถ่ายจะต้องบอกคิวว่า วันไหนจะต้องย้ายกองไปที่ไหน และพวกเราก็ลงไปเที่ยวในเมือง เพื่อหาอะไรอร่อย ๆ ทานด้วย

กว่าจะกลับมาที่ห้องอีกทีก็สัก 1 ทุ่มกว่า ๆ ก็เริ่ม ๆ ทำการสำรวจห้อง พบว่า……

– ห้องพักเก่ามากกกกกกกกกกก

– เตียงนอนก็เหม็นสุด ๆ มีคราบเหลือง ๆ แดง ๆ อะไรก็ไม่รู้ ปะปนกันมั่วไปหมด

– ส่วนผนังห้องก็มีสีแดง ๆ คล้ายคราบเลือดเลอะผนังห้องเต็มไปหมด

– ห้องน้ำ ก็มีไฟหลอดแดง ๆ ประมาณ 40 วัตต์ ห้อยโตงเตงอยู่
สีของหลอดก็สลัว ๆ ได้อารมณ์สยิวกิ้วยิ่งนัก

– กระจกห้องน้ำไม่ต้องพูดถึง เป็นคราบ ๆ เลอะ ๆ เต็มไปหมด เวลามองหน้าตัวเองในกระจก จะรู้สึกว่าตัวเองดูป่วย ๆ ดูโทรม ๆ ไปถนัดตา พูดง่าย ๆ ว่าดูแล้วน่ากลัวน่ะค่ะ

– อ่างอาบน้ำ และฝักบัว ก็เก่าแสนเก่า ในอ่างนี่ก็มีคราบเหลือง ๆ แดง ๆ ปะปนกัน มองยังไงก็ไม่กล้าอาบน้ำในอ่างแน่ ๆ กลัวโดนผีจับกดน้ำ

– ห้องเหม็นอับมาก ๆ ขอบอก เหมือนกับไม่เคยมีการทำความสะอาดมาก่อน

หลังจากที่ฉัน สำรวจห้องพัก ทั้ง 2 ห้องเรียบร้อยแล้ว ฉันก็มีความคิดเจ้าเล่ห์นิด ๆ ก็คือ ฉันเลือกที่จะนอนในห้องที่มี TV ค่ะ

เพราะคิดเอาเองว่า อย่างน้อย ๆ ห้องนี้ก็น่าจะไม่มีผี เพราะว่า น่าจะมีคนมาพักบ่อย เพราะยังมี TV อยู่เลย

ส่วนห้องที่ไม่มี TV ฉันก็ยกให้น้องชาย กับพี่ที่มาขับรถให้ นอนแทน อิอิ

ดังนั้น ฉันกับแม่ก็เลือกที่จะนอนห้องนี้ พอเข้าห้องฉันก็เปิดทีวีดู อ้อ…ที่โรงแรมนี้ไม่มียูบีซีหรอกนะคะ ดังนั้นก็ต้องดูรายการปกติของสถานีแทน

ฉันก็กำลังปรับ ๆ ทีวีดู ส่วนแม่ฉันก็นอนอ่านหนังสืออยู่บนเตียง ขณะที่ฉันกำลังปรับทีวีอยู่นั้น ก็หันมาเห็นแม่ทำหน้าแปลก ๆ พร้อมทำจมูกฟุดฟิต ๆ

ฉันถามว่ามีอะไรเหรอ แม่ก็ไม่ตอบ พร้อมส่งซิก ว่าเหมือนกำลังมีอะไรบางอย่าง ที่มองไม่เห็นอยู่ข้าง ๆ แม่ฉัน

ฉันก็เลยถามว่า “มีอะไรเหรอ แม่”

แม่ก็ตอบว่า “ได้กลิ่นอะไรมั้ย เหม็นมาก ๆ”

ฉันก็ตอบว่า “ไม่ได้กลิ่นค่ะ”

สักพัก เหมือนสิ่งที่มองไม่เห็นจะได้ยิน แล้วเดินมาทางฉัน เพราะขณะที่ฉันปรับทีวีที่ไม่ชัดอยู่นั้น อยู่ดี ๆ ก็ได้กลิ่นขึ้นมา

เป็นกลิ่นเน่า เหมือนมีอะไรตาย มาอยู่ข้าง ๆ ฉัน เหม็นมากกกกกก

พอฉันได้กลิ่น ฉันก็หันไปมองหน้าแม่ พร้อมกับบอกแม่ว่า “ได้กลิ่นแล้ว ๆ”

ฉันถามว่า “แม่ยังได้กลิ่นอยู่หรือเปล่า”

แม่บอก “ไม่ค่อยได้กลิ่นแล้ว”

ฉันก็เลยตอบไปว่า “ตอนนี้เค้าคงมายืนข้าง ๆ ฉันแล้วล่ะ เพราะกลิ่นตรงนี้แรงมาก ๆ เมื่อกี้ยังไม่มีอยู่เลย” พอพูดยังไม่ทันขาดคำ สิ่งที่มองไม่เห็นนั่น ก็เริ่มแสดงอิทธิฤทธิ์ขึ้นมาทันที……

คือ ทีวีที่ฉันกำลังปรับ เพื่อให้ภาพคมชัดนั้น ตอนนั้นกำลังจะดูข่าวหรือละครช่อง 7 นี่ละ จากภาพข่าว ก็กลายเป็น ภาพข่าวอย่างเดียว แต่เสียงที่ควรจะรายงานข่าวน่ะ กลายเป็นเสียงสวดมนต์แบบแขก ๆ ฉันก็ลองเปลี่ยนเป็นช่องอื่น ๆ แต่ว่าเสียงก็ยังเป็น เสียงสวดมนต์เหมือนเดิมทุกช่อง มันน่าแปลกมั้ยล่ะ?

สักพักมันเริ่มจะไม่ไหวแล้ว เพราะว่าพอฉันปิดทีวี มันก็ยังมีเสียงสวดมนต์อยู่เลย นั่นทำให้ฉันกับแม่ ตัดสินใจวิ่ง ลุกออกไปเปิดประตู เพื่อวิ่งไปยังห้องน้องชาย แต่ว่า

ประตูมันเปิดไม่ออกค่ะ เปิดเท่าไหร่ก็เปิดไม่ออกสักที

แต่โชคยังดีที่โทรศัพท์ใช้การได้ ฉันจึงโทรมาที่ห้องของน้อง บอกให้น้องมานี่หน่อยไม่ต้องพูดอะไร ให้รีบ ๆ มาเดี๋ยวนี้เลย

น้องฉันก็เลยมาเคาะประตู พร้อมกับบิดประตูเข้ามาอย่างง่ายดาย

ส่วนฉันกับแม่ พอเห็นน้องชายเข้ามาได้ ก็ค่อยโล่งอก
รีบวิ่งแจ้นออกนอกห้องกันแทบไม่ทัน

พอเข้ามาห้องน้องชายเรียบร้อยแล้ว แม่ก็บอกว่าลืมของในห้อง พี่คนที่ขับรถมาให้ก็เลยบอกว่า จะไปหยิบมาให้ พร้อมกับเรียกน้องชายของฉันให้ไปเป็นเพื่อน

แต่ว่าเค้าไม่ได้หยิบแค่ของอย่างเดียว ยังหยิบอย่างอื่นเข้ามาด้วย นั่นก็คือ…….

ที่นอนค่ะ

นาทีนั้น ตอนที่ฉันเห็นที่นอน ฉันนะตกใจมาก ๆ เพราะว่ามันเหมือนกับการเอาของ ๆ ห้องที่มีผีเข้ามา แบบนี้ผีมันก็ตามเข้ามาด้วยน่ะสิ คิดยังไม่ทันไร ตาก็เหลีอบไปเห็น

เลือดค่ะ เลือดเลอะเต็มด้านหลังของที่นอนนั่นเลย ไม่ใช่เลือดประจำเดือนแน่ ๆ เลือดมากขนาดนี้ สงสัยมีการฆ่ากันตาย บนเตียงนี้แน่ ๆ

คือ ตอนที่น้องฉันกับพี่คนขับรถ ไปหยิบที่นอนน่ะ เขาไม่เห็นเลือด แต่เห็นว่าพอหยิบที่นอนมาแล้วเจอยันต์ และหนังสือสวดมนต์วางอยู่ใต้ที่นอน

นั่นทำให้ฉันกับแม่ ร้องพร้อมกันว่า “เอาไปเก็บเดี่ยวนี้”

น้องฉันกับพี่คนขับรถยังงงไม่หาย จนฉันต้องบอกต่อว่า

“เลือดเต็มไปหมด” นั่นทำให้น้องชายฉันถึงกับเข่าอ่อน ด้วยความตกใจ เพราะเกิดมา ไม่เคยเห็นที่นอน ที่มีเลือดเยอะขนาดนี้เลย

น้องชายฉันไม่กล้าไปที่ห้องนั่นเลย แต่ว่าแม่สั่งให้ช่วยพี่เค้า น้องชายฉันเลยต้องช่วยกัน แบกที่นอนไปเก็บด้วยความจำใจ…..

พี่คนขับรถให้ฉัน เป็นนักวิทยุฯ สมัครเล่นด้วย เค้าจะมี”วอ” (ที่เหมือนของตำรวจน่ะค่ะ ที่ใช้คุยกันน่ะค่ะ) ติดตัวตลอด เพื่อใช้พูดคุยกัน ซึ่งเจ้าวิทยุ หรือที่เรียกง่าย ๆ ว่า “วอ” เนี่ย ก็จะสามารถพูดคุยกับคนในท้องถิ่นนั้นด้วย

ฉันก็ได้ยิน พี่จิ้น (ก็พี่คนที่ขับรถให้ฉันนั่นแหละ) พูดคุยกับคนในวอ แล้วคนในวอเค้าก็ถามว่า พักที่ไหน โรงแรมอะไร

พี่จิ้นก็ตอบ ๆ ไป สักพักเค้าก็ตอบกลับมาว่า (แล้วไม่ใช่ตอบคนเดียวนะ คือ ในวอเนี่ย มันจะคุยกันได้หลาย ๆ คนเลยล่ะ) คนในวอ เค้าก็แทบจะพร้อมใจกัน ตอบออกมาว่า…..

“หา อะไรนะ ทำไมมานอนโรงแรมนี้ล่ะ นี่มันโรงแรมผีสิงนะ ผีดุมาก ผีแขกด้วย เป็นป่าช้าเก่า ให้พวกเรารีบย้ายออกมาโดยด่วน ไม่มีใครนอนโรงแรมนี้ได้พ้นคืนหรอก ต้องวิ่งป่าราบกันทุกคน เพราะว่าในโรงแรมนี้น่ะ มีทั้งฆ่ายัดใต้เตียง ฆ่ากันในอ่างอาบน้ำ และที่สด ๆ ร้อน ๆ เมื่อ 3 วันที่แล้ว ยิงกันตายในลิฟท์”

โอ้ว พระเจ้าช่วยกล้อยทอด นี่มันอะไรกันฟะเนี่ยยย

ฉันนั่งฟังตาปริบ ๆ น้องชายฉันก็นั่งทำหน้าเหวอ ๆ แม่ฉันก็อึ้ง ๆ
ส่วนพี่จิ้น ก็ยังคุยไม่เลิก ยิ่งพูดก็ยิ่งน่ากลัว ๆ เรื่อย ๆ

จริง ๆ ฉันบอกให้พี่จิ้นเลิกคุยได้แล้ว เพราะยิ่งคุยมันก็เหมือนกับ เราท้าทายเค้าน่ะค่ะ แต่พี่จิ้นเค้าไม่ยอมเลิกคุย โดยให้เหตุผลว่า เราควรจะรู้ประวัติของโรงแรมนี้ให้มากที่สุด และอีกอย่างในนี้คนเยอะ เค้ารู้สึกว่ามันไม่น่ากลัว เหมือนมีคนร่วมทุกข์ร่วมสุขเพียบ….

พูดง่าย ๆ ว่าพอเจออะไรไป พี่จิ้นก็รีบรายงานให้คนในวอฟังทันที ประหนึ่งตัวเองเป็นนักข่าวรายงานสดนอกสถานที่

ฉันนึกในใจว่า “รู้แล้วมันจะได้อะไรขึ้นมาฟะ รู้แล้วยิ่งกลัวเปล่า ๆ”

ยิ่งคนในวอ เล่าประสบการณ์สยองมากเท่าไหร่ เกี่ยวกับโรงแรมนี้ ต่างคนก็ต่างเล่ากันใหญ่ว่าเจออะไร มันก็ยิ่งเป็นการท้าทาย ๆ คุณผีมากขึ้น ๆ เพราะว่าตอนนี้เค้าเริ่มจะแสดงอิทธิฤทธิ์มากขึ้นกว่าเดิม เช่น…..

ห้องน้ำ มีเสียงกดชักโครกเอง น้ำไหลซู่ เหมือนมีคนเปิดน้ำทิ้งไว้ ทั้ง ๆ ที่ไม่มีใครอยู่ และมีเสียงคนเดินในห้องน้ำ

หน้าต่าง ไม่มีระเบียง แต่มีคนเคาะหน้าต่างบ่อยมาก ๆ ก็คิดดูสิว่าใครเคาะล่ะ จะว่าต้นไม้ก็ไม่ใช่ เพราะตอนเย็นน่ะ มองแล้วว่าไม่มีต้นไม้ใหญ่ มาเลาะหน้าต่างแน่นอน

ประตู มีคนมาเคาะประตูทั้งคืน ตอนแรกฉันนึกว่าทีมงานมาแกล้ง จึงส่องตาแมวไปดู ปรากฏว่า ไม่มีใครสักคน

สักพักก็ยังมีคนมาเคาะอีกหลายหน ฉันจึงตัดสินใจลุกไปกัน 3 คนเพื่อส่องตาแมวให้รู้ไปเลยว่าใครมาแกล้งฟะ ปรากฏว่าขณะที่เสียงเคาะประตูกำลังดังอยู่นั้น ฉันส่องตาแมวพอดี ก็ไม่เห็นมีใครมาเคาะประตูเลย นั่นทำให้ฉันเหวอมาก ๆ

ส่วนลิฟท์ ก็มีเสียงคนขึ้นลงตลอดเวลา และที่สำคัญไม่ว่าลิฟท์จะขึ้นหรือลงยังไง ก็ต้องมาหยุดตรงชั้นห้องของฉัน และต้องมีเสียงคนเดินมาหยุดหน้าห้องทุกที ซึ่งแน่นอนว่า พวกเราไปส่องตาแมวดูแล้วก็ไม่มีใครสักคน

สักพัก พี่จิ้นเริ่มทนไม่ไหว ขณะที่ประตูกำลังเคาะอยู่นั้น พี่จิ้นก็แสดงความกล้าหาญด้วยการเปิดประตูทันที แล้วก็ออกไปมองข้างนอก ว่าใครวะ มาแกล้งป่านนี้ ซึ่งก็ไม่เจอใครสักคนเลยค่ะ และก็ไม่มีทางด้วยที่ใครจะมาแอบ เพราะมันไม่มีมุมให้แอบได้เลย

อ้อ ส่วนห้องข้าง ๆ คือ จะมีลิฟท์ก่อน และก็ห้องเก็บของ และก็ห้องฉัน นะคะ ก็เคาะผนังตรงหัวเตียงฉันทั้งคืนเช่นกันค่ะ

คุณลองคิดเล่น ๆ ดูสิ ว่าฉันกำลังนอนกลัวอยู่บนเตียง แต่หัวเตียงน่ะ มีเสียงคนเคาะดังมาก ๆ เลย เคาะป๊อก ป๊อก ป๊อก แถมลากของทั้งคืน เสียงเหมือนลากตู้ ลากเตียง เอี๊ยด อ๊าดทั้งคืน

สักพัก น้องชายของฉันก็กลัวจนหลับไป คือ นอนทั้งน้ำตาน่ะค่ะ ขณะที่น้องฉันกำลังหลับอยู่นั้น อยู่ดี ๆ ก็ลุกขึ้นมา ทำท่าทางเหมือนคนแขก และก็พูดภาษาแขก ๆ ว่า อะบิดาบา อะไรประมาณนี้น่ะค่ะ ไม่รู้แปลว่าอะไร แต่ว่าน่ากลัวมาก ๆ เพราะว่าปกติน้องชายฉันไม่เคยนอนละเมอเลย แต่นี่ลุกขึ้นมาดื้อ ๆ อย่างนั้น มันน่ากลัวมาก ๆ ค่ะ จนแม่ต้องให้พระคล้องคอน้องใส่ น้องถึงนอนลงได้

อ้อ…ลืมบอกไปว่า ตอนที่เข้าห้องนี้แล้ว ช่วงที่เกิดเหตุการณ์แรก ๆ ขึ้นคือ มีคนเคาะประตูนี่ ฉันกับคุณแม่ก็สวดมนต์พระคาถา ชินบัญชรด้วยนะคะ ลองคิดดูสิว่าขนาดสวดมนต์ก็แล้ว แผ่ส่วนบุญส่วนกุศล บอกเจ้าที่เจ้าทางก็แล้ว ยังโดนขนาดนี้ ถ้าไม่ทำจะโดนขนาดไหนเนี่ย

(อ้อ ขณะที่กำลังเขียนอยู่นี้ ตี 4 กว่าพอดี หมาแถวบ้านหอนกันสนั่นเลย ได้อารมณ์จริง ๆ )

ตอนแรก ๆ แม่เริ่มถอดใจ หลังจากน้องชายโดนผีเข้า แม่กะว่า เราออกไปหาโรงแรมอื่น นอนกันเถอะลูก แต่เรากลับคิดว่า นอนที่นี่ต่อไปดีกว่า….. เพราะว่า

– กลัวผีในลิฟท์อีก เกิดเข้าลิฟท์ดี ๆ แล้วลิฟท์ค้างกะทันหัน ไฟดับจะทำอย่างไร ไม่ตายกันในลิฟท์เหรอ ป่านนี้แล้วใครจะมาช่วย

– ตอนนั้นมันก็ดึกมาก ๆ แล้ว ตีอะไรก็ไม่รู้ ไม่รู้จะไปนอนที่ไหน เพราะไม่เคยมาจังหวัดนี้มาก่อน แล้วก็ไม่รู้ว่าที่อื่นมันจะดุกว่านี้หรือเปล่า

สรุปคืนนั้น เรียกได้ว่าแทบไม่ได้นอน เจอผีกันทั้งคืน

เจอจนจากกลัวเป็นโกรธ ฉันโกรธจริง ๆ นะ เข้าใจเลยว่า คนที่กลัวอะไรสุด ๆ สามารถเปลี่ยนความกลัว เป็นความโกรธได้

คือ ช่วงหลัง ๆ เริ่มจะชินแล้ว อยากหลอกก็หลอกล่ะกัน เพราะอย่างน้อย เค้าก็ยังใจดีที่ไม่มาให้เห็นกันจะ ๆ ไม่งั้นคงช็อกตายคาที หรือไม่ก็วิ่งป่าราบเหมือนคนอื่น ๆ

ฉันกับแม่เผลอหลับไปในตอนเช้า ส่วนพี่จิ้นก็หลับคาวอนั่นแหละ ตื่นมาอีกทีก็ 9 โมงกว่า รีบเผ่นจากห้องกันแทบไม่ทัน

ระหว่างออกจากห้อง ก็ต้องเดินผ่านห้องเก็บของข้าง ๆ ที่เมื่อคืนลากอะไรกันไม่รู้ทั้งคืน ฉันเหลือบไปเห็น ที่นอน (อีกแล้ว) แต่คราวนี้เป็นที่นอนที่มีเลือดเกือบจะสด ๆ เลอะเต็มที่นอน และไหลเป็นคราบมากองที่พื้นอีกด้วย

อ้อ…..พอดีมีคนทำความสะอาด 2 คนเดินมาพอดี ฉันเลยถามเลยว่า พี่คะ ห้องนี้เมื่อคืนมีใครเข้ามาลากอะไรหรือเปล่าคะ

พี่คนทำความสะอาดทำหน้าตาเหวอ ๆ บอกกลับมาว่า ห้องนี้ไม่มีคนหรอกค่ะ พอตกเย็นพนักงานก็รีบกลับบ้านกันหมดแล้ว ไม่มีใครกล้าทำงานตอนกลางคืนหรอก เพราะโรงแรมนี้ผีดุจะตาย ดูสิ ขนาดกลางวันแสกๆ เค้ายังไม่กล้าทำงานคนเดียวเลย ต้องขึ้นมาเป็นเพื่อนกัน 2 คน แล้วที่นอนที่เห็นนี่ ก็เพิ่งฆ่ากันตายมาไม่กี่วัน เลือดยังนองอยู่ ไม่มีใครกล้าเช็ด

พอทราบความดังนั้น พวกเราก็ขอบคุณพร้อมกับรีบลงจากลิฟท์ ลิฟท์ก็น่ากลั๊ว น่ากลัว นี่ขนาดตอนเช้านะเนี่ย

พอลงมาก็เจอเจ้าของโรงแรม เดินมาทักทายใหญ่เชียว ว่าเมื่อคืนหลับสบายมั้ยครับ?

โห…..ฉันนะ รีบบอกใหญ่เลยล่ะ ว่าเมื่อคืนเจออะไร

เจ้าของโรงแรมรีบบอกกลับทันที่ว่า “ที่คุณเจอน่ะ มันยังเล็กน้อย ผมเจอยิ่งกว่านี้อีก และอีกอย่าง วันนี้ผมจะทุบโรงแรมนี้ทิ้งพอดี เพราะว่าเปิดต่อไป ก็ไม่มีใครมาพักเลย เนื่องจากผมก็ยอมรับว่าโรงแรมผมผีดุจริง ๆ เมื่อคืนเป็นคืนสุดท้าย ผีเค้าเลยมาทักทายซะหน่อย”

ฉัน แม่ น้อง พี่จิ้น ยืนฟังตาเหลือก

เรานึกในใจว่า “อะไรฟะ ผีดุแบบนี้กล้าให้พวกเรามานอนได้ไงฟะเนี่ย”

เราถามเกี่ยวกับทีมงานคนอื่น ๆ ก็ได้ความว่า ไม่มีใครพักที่นี่เลยค่ะ (พูดง่าย ๆ ว่าทั้งโรงแรมมีฉันอยู่ห้องเดียว) คือ ดาราคนอื่น เค้ารู้กันหมดแล้วว่าที่นี่ผีดุ ไม่มีใครกล้าพัก ส่วนเราเพิ่งเล่นเรื่องแรก ยังไม่รู้อะไร ไม่มีใครบอก เลยได้พักไป ซวยไป

อีก 2 วันต่อมาก็มีคิวถ่ายต่อ แหม…ทีมงานถามกันใหญ่เลย ว่าเจออะไรบ้าง หึหึ สนุกกันเข้าไป

นี่ละหนา ที่เค้าว่าคนในวงการบันเทิง ไม่มีมิตรแท้ และศัตรูจริง ก็ดูสิ ไม่มีใครบอกฉันสักคน

วันอังคารที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2557

ผี เรื่องผี เรื่องเล่าสยองขวัญ คำสาปบนดอยสูง


















วิถีชีวิตของชาวเขาเผ่าต่างๆที่อาศัยอยู่บนดอยสูงนั้น

วัฒนธรรมพวกเขาเคยสงบหยุดนิ่งมาหลายชั่วอายุคน ปัจจุบันเริ่มเปลี่ยนแปลงไปตามกระแสโลกยุคใหม่มากขึ้น วัยรุ่นแต่งตัวเกาหลี วัฒนธรรมจากภายนอกหลั่งไหลเข้าไปและรับเอาโดยคนรุ่นใหม่อย่างไม่ยากเย็น วิถีเก่าๆจึงค่อยๆจืดจางลงไปตามกาลเวลา

แต่มีบางสิ่งยังคงอยู่ แม้กาลเวลาจะผ่านไปนานเท่าใดก็ตาม

ในอดีต เรือกสวนไร่นาของชาวเขา ส่วนใหญ่จะอยู่ห่างจากหมู่บ้าน ลัดเลาะไปตามไหล่เขาไกลบ้างใกล้บ้าง เนื่องจากพื้นที่ปลูกพืชที่ดีๆหายาก แต่ละครอบครัวจึงต้องเดินเข้าป่าลึกเพื่อถากถากจับจองกันเองตามกำลัง เมื่อพืชผลเจริญงอกงาม ด้วยระยะทางจากบ้านมาก็ไกลโข จึงเกิดความระแวงว่าแขกไม่ได้รับเชิญจะมาเก็บเอาผลผลิตไปโดยวิสาสะ

จึงต้องมีพิธีกรรมบางอย่างเกิดขึ้น….

เริ่มจากตระเตรียมสำรับกับข้าวของคาวของหวานและเหล้าสำหรับเซ่นไหว้จนครบแล้ว จึงเริ่มการสวดด้วยคาถาอาคมที่สืบทอดกันมาหลายรุ่น คาถานั้นเป็นคำสาปแช่งให้ผู้ที่เอาของจากไร่โดยไม่ได้รับอนุญาตนั้นให้มีอันเป็นไป หลังจากนั้นหัวหน้าครอบครัวก็จะสั่งคนในบ้านว่า ห้ามกินของในไร่เป็นอันขาดจนกว่าจะถึงฤดูเก็บเกี่ยว

แต่แล้วก็เกิดเรื่องขึ้นจนได้

ครอบครัวนี้มีลูกหลายคน และหลายวัย เด็กชายตัวเล็กๆ ติดตามพ่อแม่ไปทำงานในไร่ ทั้งพ่อทั้งแม่มัวแต่ยุ่งกับงานในไร่ จึงไม่ได้สนใจลูก ฝ่ายลูกชายที่มัวเล่นเพลิน ด้วยความหิว จึงคว้าเอาพุทราผลหนึ่งเข้าปาก และตามด้วยอีกผลด้วยความเอร็ดอร่อย กระทั่งเย็นย่ำ สามพ่อแม่ลูกจึงเดินทางกลับเข้าหมู่บ้าน ภรรยาหุงหาอาหารเสร็จสรรพเรียบร้อย จึงเรียกทุกคนล้อมวงกินข้าวกัน หลังจากกินได้ไม่นาน

ลูกชายคนเล็กก็ล้มลง ตัวโก่งตัวงอ ปากร้องว่า “ปวดท้องๆ” แม่ตกใจลนลาน รีบไปหายาสมุนไพรแก้ปวดท้องมาให้กิน อาการก็ยังไม่ทุเลา คนเป็นพ่อเริ่มเอะใจว่าไม่น่าจะปวดท้องแบบธรรมดาซะแล้ว ในใจนึกว่าขออย่าให้เป็นดังที่คิดเลย ทนไม่ไหวเต็มทีจึงถามลูกว่า

“ตอนกลางวัน นอกจากข้าวที่เตรียมมา แกไปกินอะไรอีก”

ลูกชายฝืนใจตอบอย่างยากเย็น

“พุทรา”

คนเป็นพ่อตกใจ

“พุทราที่ไหน”

“ในไร่เรา”

“ฮ้า!!!…..”

พ่อใจหล่นวูบ เป็นดังที่คิดเสียแล้ว กระวีกระวาดเตรียมของจำเป็นสำหรับไหว้แล้ว คว้าไฟฉายแล้ววิ่งไปไร่ทันที หนทางไปไร่มืดสนิทมีแต่แสงไฟฉายนำทางวูบๆวาบๆ เหนื่อยแทบขาดใจจึงถึงไร่ วางเครื่องเซ่นลงจัดแจง ใจยังเต้นตุ้บๆ ปากแทบจะท่องคาถาไม่เป็นคำ หลังจากว่าคาถาคลายคำสาปแช่งเสร็จ เชื่อว่ามนต์นั้นถูกคลายแล้วอย่างแน่นอน เก็บข้าวเก็บของเสร็จวิ่งอย่างไม่คิดชีวิตกลับมาบ้าน

กระหืดกระหอบขึ้นบันได ถามเมียว่าลูกเป็นอย่างไร

เมียหันหลังให้ เห็นแต่หัวกับเท้าลูกพาดบนตัก

“ลูกเราเสียแล้วพี่ ฮือ..ฮือ…”

คนเป็นพ่อน้ำตาคลอเบ้า แข้งขาอ่อนทรุดลงทันที เราช้าไปเสียแล้ว ใจคิดแต่โทษตัวเองว่าช่วยลูกชายไว้ไม่ได้ จึงปล่อยโฮตามเมียอีกคน ร่างลูกถูกคลุมด้วยผ้าขาว บนหัวนอนมีโคมน้ำมันก๊าดจุดไว้ทั้งคืน รุ่งเช้าญาติพี่น้องช่วยกันจัดพิธีฝังศพตามมีตามเกิดด้วยบรรยากาศที่แสนจะโศกเศร้า

ครอบครัวหนึ่ง ต้องสูญเสียลูกชายด้วยความคับแค้นใจ พืชผลในไร่กับชีวิตของลูกชาย หากแลกได้คงไม่เอาอันใดนอกจากชีวิตของลูก เรื่องนี้เป็นอุทาหรณ์สำหรับชาวเขาด้วยกันเอง การใช้มนต์ดำเพื่อรักษาพืชผลจึงต้องทำอย่างระมัดระวัง แต่สำหรับพ่อที่เสียลูกไป คงไม่อยากใช้อีกเลยตลอดชีวิต

หนาวนี้หลายคนชอบไปเที่ยวดอยสูง หากเจอดอกไม้สวยๆ ผลไม้งามๆ ที่ไหนสักแห่งบนเขา แล้วคิดจะเด็ดมาชิมหรือชมแล้วละก็ ไม่แน่ว่า อาจมีคำสาปพ่อเฒ่าชาวเผ่าผู้หวงแหนแฝงอยู่ก็เป็นได้

ปล. เรื่องนี้เกิดขึ้นสมัยสองพันห้าร้อยต้นๆ ยาฆ่าแมลงคงยังไม่เป็นที่แพร่หลาย ยุคนั้นจะเป็นการทำเกษตรแบบธรรมชาติเสียมากกว่า ส่วนประเด็นที่ว่าเด็กอาจ เป็นโรคบางอย่างอันนี้ไม่แน่ครับ เพราะได้ฟังมาอีกทีเหมือนกัน แต่ที่แน่ๆเรื่องการสาปแช่งมนต์ดำนี่ยังคงหลงเหลืออยู่ครับ ถ้ามีโอกาสจะเล่าให้ฟัง

ขอบคุณ แหล่งที่มาหนังสือพิมพ์

วันจันทร์ที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2557

ผี เรื่องผี เรื่องเล่าสยองขวัญ ห้องทางผ่าน



















3 ปีที่แล้ว หลังจากฝึกงานเสร็จ ผมเป็นคนต่างจังหวัด
แต่คงยังต้องอยู่ในจังหวัดแห่งหนึ่งในภาคเหนือที่คนชอบไปเที่ยวกัน เป็นจังหวัดที่ใหญ่ที่สุดใน 8 ภาคเหนือ

หลังจากฝึกงานเสร็จผมต้องไปหาหอพักใหม่ เพราะผมฝึกอำเภอที่ติดกับอำเภอเมือง
หลังจากหาหอพักอยู่หลาย ก็ไปถูกใจอยู่หอพักนึ่ง เพราะคนพักเยอะ ดูปลอดภัย สะอาด จึงตัดสินใจจอง มันเหลืออยู่ 2 ห้อง
โดยที่ผมไม่ได้ดูห้อง แล้วก็ไม่รู้ว่าอยู่ชั้นไหน(ที่นี่มี 4 ชั้น) ห้องหนึ่งต้องรอคนเช่าเดิมออกสิ้นเดือน อีกห้องไม่มีคนเช่าอยู่
พอมาถึงวันที่ 1 ผมก็เตรียมของบ้างอย่าง แค่เสื้อผ้าไม่กี่ชุด แล้วชุดปูที่นอน 1 ชุด แค่นั้น
เจ้าของหอพักก็ให้เลือกว่าจะอยู่ห้องไหน ห้องแรกอยู่ชั้น 1 เจ้าของเดิมเก็บของออกหมดแล้ว ห้องก็ทำความสะอาดเรียบร้อย

แต่ห้องไม่มีระเบียงหลังห้อง แดดเข้าไม่ถึง พอมาห้องที่สอง อยู่ชั้น 2 พอเดินขึ้นมาเจอห้องเลย คือบันไดตรงกลับประตูเป๊ะเลย
ตรงประตูก็มีกระจกติดไว้ให้เรียบร้อย จึงเปิดประตูเข้าไปดู ห้องสว่าง แดดเข้าถึง มีระเบียงหลังห้อง จึงตัดสินใจเอาห้องนี่
ผมไม่ได้เป็นคนคิดเรื่องเกี่ยวกับความเชื่ออะไรมาก ถ้าชอบก็คือชอบ แล้วก็เอาขนขึ้นไว้ที่ห้อง แล้วออกไปทานข้าว กลับมาถึงห้องก็ 3-4 ทุ่มแล้วมั้ง
แล้วก็เตรียมตัวอาบน้ำ แก้ผ้าหมดล่ะ เข้าไปอาบน้ำ ช่วงนั้นเป็นช่วงที่กำลังเข้าหน้าหนาว แต่อากาศมันยังร้อนอยู่ ผมไม่ได้เปิดเครื่องทำน้ำอุ่นนะ
น้ำก็ไหลเย็นตามปกติ สักแปปเดียว เพี๊ยะ!!! เราร้อง โอ๊ย!!! น้ำร้องมาก เหมือนแบบจะโดนน้ำร้อนลวก เบรกเกอร์เด้งขึ้นเอง ไฟเครื่องทำน้ำอุ่นติด
รีบออกมากดเบรกเกอร์ลง แล้วก็ขึ้นคิดสักแบบว่า เบรกเกอร์มันเสียหรือป่าว แล้วก็ไปอาบน้ำต่อ  อาบน้ำเสร็จก็ไปนอนต่อ แต่นอนไม่ค่อยหลับเท่าไหร่

หลังจากนอนตื่นขึ้นมาในคืนที่ 2 พอตื่นนอนตอนก็ประมาณเที่ยง เริ่มหิวข้าว ก็กำลังจะไปอาบน้ำ พอกำลังจะเดินเข้าประตูห้องน้ำ ก็ชงัก นิดหนึ่ง
ยื่นดูเบรกเกอร์ แล้วก็ลองดึงขึ้น-ลง มันก็ปกติดีไม่เห็นจะเสียตรงไหน ก็ยังนึกอีกว่า มันคงกระตุกเองมั้ง
แล้วก็เข้าไปอาบน้ำ คราวนี้ไม่มีอะไร น้ำเย็นสบาย อาบน้ำเสร็จ แต่งตัวไปหาข้าวทาน

กลับมาถึงห้อง ประมาณเกือบ 6 โมง เย็น คือแบบว่ามันกำลังจะเข้าหน้าหนาว บรรยายกาศที่นี่มันมืดเร็ว
เปิดประตู แล้วก็เปิดไฟ ไฟสว่างปกติ จากนั้นผมก็ นำเสื้อผ้าแขวนไว้ในตู้ประมาณ 2-3 ตัวได้ เพราะยังไม่ได้นำของอะไรมามาก
ในตู้เสื้อผ้ามันก็โล่ง ไม่มีอะไร มีแต่เสื้อ 2-3 ตัวที่แขวนไว้ แล้วสิ่งที่เกิดขึ้น ไฟกลางห้อง กับไฟที่ระเบียง มันติดๆดับๆ
คือแบบว่ามันรำคาญสายตามาก ผมก็รอประมาณสัก ครึ่งชั่วโมง ดูว่ามันจะหายกระพริบหรือป่าว แต่ก็ยังไม่หาย

ผมจึงไปบอกเจ้าของหอ ซึ่งตอนออกห้องไปไฟมันก็ยังกระพริบอยู่ ออกไปตามเจ้าของห้องประมาณ 5 นาที
พอเดินกลับเข้ามาในห้อง ไฟสว่างเหมือนเดิม ไม่กระพริบอะไรสักอย่าง เออ…คือยืน งง อยู่แปป ก็บอกเจ้าของหอไปว่าเมื่อกี่มันกระพริบอยู่
สงสัยมันกลัวเจ้าของหอมั้งคับ 555 เจ้าของหอก็ใจดี เช็คไฟให้อีกที เปลี่ยนให้เลยด้วยซ้ำ หลังจากนั้นก็ตามปกติไม่มีอะไรมาก
แต่ก็ยังนอนไม่หลับอยู่ดี หลับๆตื่นๆ จึงทำให้ตื่นเกือบเที่ยงคับ

คืนที่ 3 คืนนี้หลังจากกลับมาถึงห้องประมาณ 6 โมง กว่าๆเหมือนเดิม
แต่วันนี้รู้สึกหนาวเย็นยะเยือกขึ้นมาตั้งแต่เดินขึ้นบันไดมาจนถึงเปิดประตูห้องมาแล้ว
อาบน้ำเสร็จ นั่งเล่นโน๊ตบุ๊ต ทำโน้นทำนี่ไป เริ่มง่วง แล้วบรรยายกาศเริ่มเงียบ และเย็น
ที่หอพักนี่เงียบคงเป็นช่วงที่เด็กนักศึกษากลับบ้านหรือไปไหนกันไม่รู้ น่าจะเป็นวันศุกร์หรือวันเสาร์ จำไม่ค่อยได้

ประมาณสี่ทุ่มกว่า ก็ขึ้นเตียงนอน เล่นมือถือสักแปป เริ่มง่วงแล้ว แต่มันยังนอนไม่หลับ พยายามขมตานอนก็ยังไม่หลับ
คือถ้าเดินขึ้นบันไดมา แล้วก็เดินตรงมาเปิดประตูห้อง (ถ้ามองตรงไปจะเป็นประตูระเบียงถ้าเปิดออกไปด้านซ้ายจะเป็นห้องน้ำ)
เตียงจะด้านซ้ายหันหัวเตียงติดมุมเป็นแนวขว้างติดผนังทางเดินไปห้องอื่นแล้วตู้เสื้อผ้าจะติดผนังห้องน้ำ
มีพื้นที่ว่างตรงกลางระหว่างเตียงกับตู้ (พอมองภาพกันออกหรือป่าวไม่รู้นะคับ)

ประมาน ห้าทุ่มกว่า ก็ยังหลับๆตื่นๆ ที่รู้เวลาเพราะดูเวลาจากมือถือด้วย แล้วประมาณเกือบเที่ยงคืน ได้ยินเสียงคนเดินจากข้างนอก
ที่รู้เพราะในเวลานั้นนอนติดกำแพงห้องที่ติดทางเดิน นอนตะแคงแบบนั้น แล้วห้องมันค่อยข้างมืดด้วยนะ
หลังจากนั้นเริ่มรู้สึกเหมือนว่า ได้ยินเสียงดัง ก๊อกๆแก๊ก จากที่ระเบียงห้องก่อน แต่ไม่คิดไรมาก หลังจากนั้นก็ได้ยินเริ่มใกล้เข้ามาแล้ว
คือในตู้เสื้อผ้า มันเป็นเสียงแบบนี้อยู่นานเป็นชั่วโมงเลย แบบว่า แก๊กๆๆ แล้วหาย แล้วก็ดังอีก

ที่จริงก็นอนคิดไปด้วยนะว่าคงเป็นหนูหรือแมลงอะไรประมาณนี้ แต่ยังไม่ได้หันหน้ากลับมาดู ยังหันหน้าติดผนังอยู่ เพราะกำลังกลัวอย่างมาก
พอเสียงมันไม่ยอมหยุดหายก็เริ่มจะไม่ไหวแล้ว ทั้งกลัว ทั้งง่วง ตัดสินใจพลิกตัวกลับหันหน้าไปที่ตู้ ตัดสินใจลืมตา นอนมองที่ตู้
ทันใดนั้นเสียงมันก็หายไม่ได้ยินประมาณ 15 นาทีมั้ง แล้วตาผมก็เริ่มจะปิดลงๆ แต่สายตามองไปที่ประตูบานเลื่อนของตู้เสื้อผ้า
ทันใดนั้นประตูตู้เสือผ้าเริ่มเลื่อยออก เลื่อยออก (คือประตูเสื้อผ้าเป็นแบบบานเลื่อนสองบานใหญ่ซ้ายขวา)
คือมันค่อยๆเลื่อนที่ละเล็กละน้อย แบบคือมองเข้าไปในตู้ที่บานประตูมันค่อยๆเลื่อน

ในนั้นมันมืดมาก แล้วตอนนั้นในใจเต้นแรง เหนื่อยแตก กลัวมากๆ จนแบบประตูมันเปิดออกได้ประมาณ 1 ฝ่ามือ
คิดว่ามันจะหยุดเพราะคิดว่าร่องบานประตูตู้ไม่เท่ากันหรือป่าว คือไม่ไหวแล้ว กลัว จึงลุกขึ้นไปดันบานประตูปิดไว้อย่างเดิม
แล้วยืนคิดว่าจะมีอะไรออกมาหรือป่าว ยืนดันบานประตูแบบนั้น ทั้งกลัว ทำไรไม่ถูก ไม่กล้าปล่อยมือ ยืนแบบนั้นได้ประมาณครึ่งชั่วโมง
หลังจากตั้งสติได้ แล้วรีบวิ่งไปเปิดไฟที่ประตูเข้าออกห้อง แล้วกลับมานั่งขัดสมาธิกลางเตียง แล้วนั่งจ้องที่ประตูตู้เสื้อผ้า
มันก็ไม่เลื่อน นั่งจ้องสัก 10 นาที ก็ไปปิดไฟ เพราะง่วงนอนมาก มันเกือบจะตีสี่แล้วตอนนั้น แล้วก็เอนตัวนอน แต่เสียงมันก็ยังได้ยินอีก
ที่นี่ตัดสินใจ เลื่อนเปิดบานประตู้เสื้อผ้าเองเลย แต่ก็ไม่มีอะไร แล้วก็ปิดประตู กลับมานอน หันหน้าเข้าผนัง แล้วก็พูดขึ้นว่า
จะทำอะไรก็ทำเลย ไม่ไหวแล้ว ง่วงนอน แล้วก็หลับไปเลย ตื่นอีกทีบ่ายโมงกว่าของบ่ายวันนั้น

คือในตู้เสื้อผ้ามันไม่มีอะไรเลยนอกจาก เสื้อผมที่แขวนไว้ 2-3 ตัว
แล้วหลังจากที่ตื่นรีบเปิดคอม ออนเฟส เล่าให้เพื่อนฟัง เพราะพวกเพื่อนรู้ว่าผมมีเซ้น อะไรประมาณนี้
เพือ่นยังถามเลยว่าไหว้เจ้าที่หรือยัง แต่ผมก็ยังไม่ได้ไหว้ด้วยคับ แล้วมันยังบอกอีกว่าห้องเป็นแบบนั้นจะอยู่ทำไม
แต่ก็เจอมาเรื่อยๆนะคับ แต่ผมก็ไม่ย้ายออก ชอบห้องนี้ จนได้งานอีกจังหวัดถึงย้ายออก

ผี เรื่องผี เรื่องเล่าสยองขวัญ ผีเฮี้ยนในห้างดัง


















ผีเฮี้ยนในห้างดัง : เรื่องนี้เป็นเรื่องจริง … ยังมีให้เห็น … และยังเป็นอยู่ …

ก่อนอื่น ต้องขอออกตัวก่อนนะว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องจริง จะพยายาม ไม่เอ่ย ถึงสถานที่ชัดเจน เพื่อผลกระทบ…..ตอนนี้ก็ยังมีให้เห็น และเป็นอยู่….เคยโทรไปออนแอร์นานแล้วกับพิธีกรผีๆกพล ทองพลับ เมื่อสิบกว่าปีมาแล้วครับ….ซึ่งญาติผมเป็นส่วนหนึ่งของเจ้าหน้าที่ทำงานด้าน วิศวกร ออกแบบ ก่อสร้าง…ไม่ขอเอ่ยนาม

ห้างหนึ่ง ในกรุงเทพมหานคร ได้ทำการก่อสร้าง และมีบริษัท รับเหมา ทั้งออกแบบ และก่อสร้าง ควบคุม ดูแลงาน…ได้มีการก่อสร้าง ตามขั้นตอน ตามแบบแปลน ที่วางไว้ จาก ชั้น2ไปชั้น3 ขอย้ำนะครับว่า จากชั้น2 ไปชั้นที่3 ….เรื่องเกิดตรงนี้…
หลังจากสร้างเสร็จแล้ว มีการย้ายเข้าไปอยู่ของทางร้านค้าต่างๆ เป็นทั้งแบบดีพาร์ท และแบบให้เช่า อยู่ได้ไม่นานครับ เจ้ง และหาผู้เช่ารายใหม่ ความว่า กลางคืน ทั้งยาม ทั้งแม่บ้าน เจอกันทุกราย เช่น หุ่นเดินได้ แม่บ้านทำความสะอาดที่มาทำงานก่อนห้างเปิด เจอ คนนั่งร้องให้ เสื้อผ้าลอยได้ คนวิ่งเข้าไปในต้นเสา …ทีแรก นึกว่าเป็นขโมย ต้องตามยามมาค้นหา แต่ก็หาไม่เจอ…ช่วงห้างเลิก…วงจรปิด จับภาพ คนได้ นึกว่า ขโมยแอบเข้ามา ค้นหา ไม่เจอครับ

พอมีการเปลี่ยนเจ้าใหม่ ก็ต้องมีการปิดปรับปรุง เปลี่ยนแปลง ออกแบบ ภายในใหม่ โดย วิศวกรกลุ่มเดิม มาคุมงาน…หลังจาก ห้าทุ่มแล้ว พวก วิศวกร พากันขึ้นไปทานข้าว ที่ห้องอาหารชั้น5 …ซึ่งปิดปรับปรุงเหมือนกัน แต่ก็ยังมีโต๊ะ เก้าอี้ให้นั่ง โดยการซื้ออา หารมาทานเองครับ …เหล่าคนงานที่มาตกแต่งร้านก็พากันกลับหมดแล้ว…กลุ่มพวกวิศวะ พากันนั่งทานอาหารกันอยู่นั้น เหลือบไปเจอ ผู้หญิงวัยกลางคนท่านหนึ่งนั่งหน้าเศร้าอยู่ในมุมมืด..มองมาทางกลุ่มที่ทาน ข้าวอยู่…
หัวหน้า พูดกับลูกน้องว่า..

ใครวะ ดึกๆ ดื่นๆ ยังไม่กลับอีก มานั่งอยู่ตรงนั้น ไปเรียกเขามาทานข้าวด้วยกันซิ…แล้วก็ให้ลูกน้องไปเรียก หญิงวัยกลางคน คนนั้น มาทานข้าวด้วย..…….พี่ๆๆ ทำไมยังไม่กลับอีก มาทำอะไรอยู่ตรงนี้หรือ…ไม่มีเสียงตอบรับจากหญิงวัยกลางคนก็เลยสำทับกับคำ ถามเดิมอีกครั้ง…พี่ๆ ทำไมยังไม่กลับอีก มาทำอะไรอยู่ตรงนี้…หัวหน้า เรา ให้ผมมาเรียกไปทานอาหารด้วยกัน…มาม๊ะ มาทานอาหารด้วย

กัน..เสียงหญิงคนนั้น พูดช้าๆเสียงออกทำนองอิสานว่า..บ่ไปหรอก..ให้หัวหน้าเธอมาทานที่นี่ซิ..ฝ่าย ลูกน้องก็ตะโกนไปบอกหัวหน้าที่นั่งห่างไม่ใกลเท่าไหร่ ประมาณสัก 5-6 เมตร ว่า หัวหน้า ..เธอไม่ไปหรอก เธอให้พวกเรา มาทานที่โต๊ะของเธอ…จะบ้าเร๊อาะ พวกเราเย๊อาะกว่า จะให้ย้ายไปที่คนน้อยกว่าได้ไง..มานั่งที่นี่ด้วยกันซิ..ผู้หญิงคนนั้นได้ ยิน ค่อยๆหันหน้า มาทางหัวหน้าและกลุ่มวิศวะอย่างช้าๆมองแบบตาขวางๆหน้าเศร้าๆ แล้วพูดขึ้นมาว่า หัวหน้า ไม่เจอกันตั้งนาน ยังใจดำเหมือนเดิมนะ….หัวหน้า งง

 ..ป้ารู้จักผมหรือ ทำไมผมไม่รู้จักป้าเลย….ทำไมจะไม่รู้จักละ ป้าตอบ..เออ แล้วป้า เป็นใคร อยู่ที่ไหน มาทำอะไรที่นี่…เสียงจากหญิงลึกลับพูดมาว่า..เวลาผ่านมาไม่นาน ทำเป็นจำหนูไม่ได้ ก็หนูติดอยู่ที่ต้นเสาชั้นสอง ที่หัวหน้าไม่ยอมเอาหนูออกมาไง…เสียงตอบจากป้า
แค่นั้นละ…หัวหน้าวิศวะ วิ่งป่าราบ ก่อนเพื่อนเลย ลูกน้องที่นั่งอยู่ด้วย ก็วิ่งตาม…ไป และถามหัวหน้าข้างนอกตึกว่า วิ่งทำไมหรือ…หัวหน้าตอบว่า…มันไม่ใช่คน……………..แล้วก็เลยเล่าเรื่อง ที่เกิดขึ้นพลางสำทับไปว่า…ห้ามแพร่งพราย…ไม่งั้น เดือดร้อนกันทั่ว…จนกว่าเราจะหมดพันธะจากการเป็นที่ปรึกษาของบริษัทนี้ก่อน…

เรื่อง ที่ ปกปิด เป็นความลับ คือว่า ห้าง แห่งนี้ ตอน ก่อสร้าง ได้ มีคนงาน เป็นหญิงวัยกลางคนชาว อิสาน ได้ตกไปใน เสาเอก หรือเสาหลัก ตอนเทปุน…มาเจอตอนที่เขาแกะบล็อกออกจากเสา จึงรู้ว่า มีคนอยู่ข้างใน…จะเอาออก ก็ไม่ได้ ต้องทำการรื้อใหม่ ทั้งชั้น จะสูญเสียงบไป หลายสิบล้านบาท…จึงหาวิธีแก้ โดยการโบกปูนฉาบทับไปเลยและปิดเป็นความลับ สุดยอด…สอบถามถึงคนที่ติดอยู่ข้างใน เป็นใคร

…สุดท้ายจึงรู้ว่า เป็นเมียคนงาน ที่ทำงานอยู่ที่นี่…ฝ่ายผู้รับเหมา และวิศวะเลยต้องหาวิธีโดยไม่ต้องรื้อ…ทำไงหรือครับ เสนอเงินจำนวนหนึ่ง ให้ฝ่ายสามี…แล้วก็ฉาบปูนทับไปเลย ไม่มีการเอาศพออก….เรื่องก็เงียบไป….แต่อย่างว่าละครับ…มันเลยเป็นอาถรรณ์ ใครมาบริหารห้างนี้ เจ้งแล้ว เจ้งอีก ผมก็เคย ไปดูให้เห็นกับตามาแล้ว…แต่คนที่มาอยู่ใหม่ เจ้าใหม่ คงไม่รู้แน่ๆ
ทุกวันนี้ ก็ยัง เฮี้ยนไม่เลิกครับ……สงสารเจ้าของใหม่ แม่บ้าน และยาม ที่เขาไม่รู้..ต้องเจอดี

http://shock.mthai.com

วันเสาร์ที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2557

วิธีป้องกันวิญญาณ ตอนไปเที่ยวโรงแรม!!

คงไม่มีใครเถียงแน่นอน ว่าโรงแรมเป็นสถานที่ยอดฮิตอันดับต้นๆ ที่คุณจะได้เจอผี วันนี้ เลยจะมาแนะนำวิธีป้องกันผีหลอก ในกรณีที่เราต้องเข้าไปพักในโรงแรมคนเดียวหรือโรงแรมที่น่ากลัวๆ มาฝากกัน

- ก่อนที่จะเข้า
ยังห้องพักของคุณ จงเคาะประตูก่อนทุกครั้ง แม้คุณจะรู้ว่านี่เป็นห้องว่างก็ตาม

- หลังจากที่เข้าไปอยู่ในห้องแล้ว หากคุณรู้สึกเย็นวาบขึ้นมาในทันทีทันใด และมีอาการ “ขนลุก” จง ออกจากห้องไปเงียบๆ และโดยทันที แล้วไปหาพนักงานต้อนรับเพื่อขอเปลี่ยนห้องใหม่ โดยส่วนใหญ่แล้ว พนักงานต้อนรับจะเข้าใจทันทีว่าเกิดอะไรขึ้น

- หลังจากอยู่ภายในห้องแล้ว จงเปิดไฟให้ครบทุกดวงในทันที พร้อมกับเปิดผ้าม่านเพื่อ ปล่อยให้แสงแดดส่องเข้ามา

- ก่อนเข้านอน จัดวางรองเท้าของคุณให้อยู่ในลักษณะกลับหัวกลับหางกัน บางคนบอกเอาไว้ว่านี่เป็น การแสดงถึงหลัก “หยิน-หยาง”เพื่อคุ้มครองคุณขณะที่คุณหลับ

- จงเปิดโคมไฟทิ้งไว้อย่างน้อยดวงหนึ่งขณะที่คุณหลับ ยิ่งเป็นไฟในห้องน้ำยิ่งดี
- หากคุณพักคนเดียว และห้องคุณเป็นเตียงคู่ อย่าเข้านอนโดยปล่อยให้อีกเตียงหนึ่งว่างเปล่า พยายามนำสิ่งของไปวางไว้เช่น กระเป๋าเดินทาง ที่เตียงว่างอีกเตียงหนึ่งก่อนที่คุณจะหลับ

วันพฤหัสบดีที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2557

ผี เรื่องผี เรื่องเล่าสยองขวัญ ห้องนอนมรณะ

กรอง เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากห้องนอนผีแขวนคอ เหตุการณ์นี้มาผ่านกว่า 3 ปี แต่รับรองชาตินี้ทั้งชาติดิฉันไม่มีวันลืมแน่นอน

เหตุการณ์นี้ผ่านมาสามปีกว่าแล้วล่ะค่ะ แต่รับรองว่าชาตินี้ทั้งชาติดิฉันไม่มีวันลืมแน่ มันเป็นเรื่องสยดสยองสุดๆ เลยเชียว ตอนนั้นฉันอยู่มหาวิทยาลัยปี 2 และเป็นเด็กกิจกรรมด้วยก็เลยมีเพื่อนฝูงเยอะแยะ แต่เพื่อนที่สนิทกันจริงๆ มีแค่ไม่กี่คนเอง หนึ่งในนั้นคือ “ปิ่น” ซึ่งคนอื่นอาจมองว่าหล่อนออกจะเพี้ยนๆ พิกล แต่สำหรับฉัน หล่อนเป็นเพื่อนที่ดีมาก มีน้ำใจและน่าสงสารด้วย เพราะปิ่นเพิ่งสูญเสียพี่สาวสุดที่รักไปได้ไม่นาน ด้วยสาเหตุที่น่าสลดใจมากเชียว พี่ปูของปิ่นอายุเข้าเบญจเพสพอดีตอนที่เกิดเรื่องสยองขวัญ!

ถ้าครอบครัวของปิ่นจะมีใครสักคนที่เพี้ยน ก็คงเป็นพี่ปูนี่แหละ ไม่ใช่ปิ่นหรอก เพราะพี่ปูต้องไปหาหมอและต้องกินยาเป็นประจำ ห้ามหยุดเด็ดขาด

ปิ่นว่าหมอบอกพี่ปูเป็นโรคซึมเศร้า และเมื่อฟังอาการแล้วฉันคิดว่าเธอน่าจะเป็นโรคไบโพลาร์นะ คืออารมณ์แปรปรวน เหวี่ยงไปเหวี่ยงมาแบบสุดขั้ว คือเดี๋ยวก็เศร้า เครียด หดหู่ เดี๋ยวก็ร่าเริงสุดขีด นอกจากนั้นยังเป็นคนขี้ระแวงแบบไม่มีเหตุผล บางทีก็เดือดดาลพาลทะเลาะกับพ่อแม่อย่างรุนแรงแทบบ้านแตก

แต่ถึงกระนั้น พี่ปูก็ยังรักน้องปิ่นมาก ไม่แตะต้องหรือพูดจาอะไรให้เสียใจเลย!

อยู่มาวันหนึ่ง พี่ปูผูกคอตายในห้องนอนของเธอเอง ไม่มีใครรู้จนบ่ายแก่ๆ แม่ต้องให้คนในบ้านมาช่วยกันงัดประตูเข้าไป แล้วก็พบพี่ปูผูกคออยู่ในตู้เสื้อผ้า ใบหน้าที่เคยสวยงามน่ารักกลับบวมพอง เขียวคล้ำ ดวงตาถลนออกมาและลิ้นสีดำจุกปากอย่างน่ากลัวที่สุด

“ตั้งแต่ฆ่าตัวตายไปวันนั้น พี่ปูก็สิงอยู่ในห้องตลอด ไม่ยอมไปผุดไปเกิด ไม่เชื่อก็ลองเข้าไปสิ ห้องนั้นจะเย็นยะเยือก ทั้งๆ ที่อากาศร้อนอบอ้าว และเราก็ไม่ได้เปิดแอร์ด้วย” ปิ่นเล่าอย่างน่าขนหัวลุกให้ฟัง “แม่นิมนต์พระมาทำบุญบ้านแล้ว แต่ปิ่นว่าวิญญาณพี่ปูยังไม่สงบ พวกเราในบ้านไม่เคยถูกผีพี่ปูหลอก แต่คนในซอยที่เขาลือกันแซดว่าเห็นพี่ปูยืนอยู่ตรงหน้าต่าง”

เราที่นั่งล้อมวงกันฟังอยู่ต่างมองหน้ากันอย่างเสียวสยอง แต่ก็ยังมีคนบ้าๆ อย่างฉันนึกอยากลองของไปดูห้องนั้น ว่ามันจะเยือกเย็นอย่างประหลาดจริงอย่างที่ปิ่นโม้หรือเปล่า?

แล้ววันหนึ่งที่เราเลิกเรียนตอนบ่าย เราก็ไปที่บ้านของปิ่นกันโดยมีตัวฉันกับเพื่อนอีก 4 คน บอกตรงๆ ว่าตัวฉันเองน่ะนั่งขนลุกไปตลอดทาง

พอถึงบ้านปิ่น เราก็ไปสวัสดีคุณแม่ที่กำลังเตรียมทำกับข้าว จากนั้นปิ่นบอกคุณแม่ว่าจะพาเพื่อนๆ ไปคุยบนห้อง

ห้องของปิ่นติดกับห้องพี่ปู และที่หน้าห้องพี่ปูก็มีผ้ายันต์ปิดไว้ เห็นแล้วเสียวสันหลังวาบเลยค่ะ ปิ่นบอกให้เราเงียบๆ ขณะผลักประตูเข้าไป ลมเย็นกลิ่นหอมเอียนๆ เหมือนดอกไม้แห้งโชยวูบออกมา และเมื่อก้าวเข้าไปอยู่ในห้อง เราทุกคนก็รู้สึกเย็นแปลกๆ จริงๆ ด้วย

ขณะที่เพื่อนๆ กำลังซึมซับความเสียวสยอง ฉันก็มองไปเห็นผู้หญิงคนหนึ่งตรงมุมห้อง ร่างเธอผอมบาง ผิวมืดๆ เป็นสีม่วงคล้ำทั้งตัว ผมยาวประบ่า สวมเสื้อยืดลึกลับที่ฉันแน่ใจว่าคือพี่ปู ลอยวูบเข้ามาหา มายืนอยู่ข้างหลัง…

ขณะที่ตกใจและช่วยตัวเองไม่ได้นั้น ฉันรู้สึกอึดอัดเหมือนมีอะไรมารัดคอไว้แน่นจนหายใจไม่เข้า และเอามือตะกุยที่ลำคอ

ในความรู้สึกครึ่งๆ กลางๆ นั้น เพื่อนๆ ร้องวี้ดว้ายชุลมุน ต่างตะโกนว่าผีเข้า…ผีเข้า! แม่ของปิ่นวิ่งโครมๆ ขึ้นบันไดมากับคนรับใช้ และเมื่อแม่ของปิ่นประคองฉันก็ปรากฏว่าฉันร้องไห้โฮ โดยมันไม่ใช่ตัวของฉันเลย!

ฉันร้องแบบคนหายใจไม่ออก และพร่ำขอโทษแม่ เสียงที่ออกมาจากลำคอของฉันก็ไม่ใช่เสียงตัวฉันเองสักหน่อย ฉันพูดและทำอาการกิริยาต่างๆ ตามที่วิญญาณพี่ปูให้ทำแทนเธอ…ฉันเป็นแค่หุ่นกระบอกที่มีผีพี่ปูคอยชักใย อยู่เบื้องหลัง…

พี่ปูพูดอะไรต่อมิอะไรมากมาย ฉันเหนื่อยเหลือเกิน แล้วสติก็ดับวูบ

เมื่อฟื้นอีกที ฉันอยู่ที่โรงพยาบาลใกล้บ้านปิ่น แถวๆ ลาดพร้าวนั่นแหละ ไม่ต้องมีใครเล่าซ้ำฉันก็รู้ว่าตัวเองโดนผีเข้า เพราะตลอดเวลาของการเข้าสิงฉันรู้สึกตัวตลอด ซ้ำร้ายยังมองเห็นผีพี่ปูด้วย…นี่เองที่เรียกว่าผีเข้า! ผีพี่ปูไม่ได้เข้ามาอยู่ในร่างฉัน เธออยู่ใกล้และครอบงำฉันอย่างสมบูรณ์!

ดูเหมือนการเข้าสิงให้ฉันเป็นร่างทรงคราวนั้น จะทำให้เธอระบายความในใจจนหมดเปลือกและหายห่วง วิญญาณพี่ปูจึงไปสู่สุคติ ห้องนอนมรณะไม่เยือกเย็นอีกต่อไป และไม่มีใครเห็นผีพี่ปูอีกเลย

มีก็แต่ฉันและผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์วันนั้นที่ยังผวาไม่หาย และกลัวผีอย่างฝังจิตฝังใจไปชั่วชีวิต! ที่มา : /www.creditonhand.com/ รายงาน : ปฏิพร วาปีทะ Share Button [Pin It] Comments 0 comments เรื่องที่น่าสนใจ ห้องนอนมรณะ ชายปริศนาในชุดขาวที่วัดบวรฯ ตำนานวังพญานาค วังนาคินทร์ ตำนานรักต้องห้ามของ “เจ้าน้อย”กับ”มะเมี๊ยะ” (เรื่องจริงสมัย ร.5) อีอยู่ นักโทษประหาร


 เรื่องจริงของนักโทษประหารในสมัยรัชกาลที่ ๕ เรื่องลี้ลับในวังหลวง เดชผีตายโหง แฟลตผีสิง ยังไม่มีการแสดงความคิดเห็นสำหรับเรื่องนี้..... แสดงความคิดเห็น ชื่อ อีเมล์ เว็บไซต์ ความคิดเห็น CAPTCHA Image Refresh Image CAPTCHA Code * Variety Update กองประกวดMUT ปลด “น้ำเพชร” รองอันดับ2พิษภาพหวิว โพสเมื่อ วันที่19 กรกฎาคม 2014 “เจษ”ควง”ยิปซี”ออกงานครั้งแรก ย้ำสถานะยังไม่ใช่แฟน (มีคลิป) โพสเมื่อ วันที่19 กรกฎาคม 2014 ชีวิตหลังเกษียณ “มิยาซากิ” ยังมา Studio Ghibli ทุกวัน โพสเมื่อ วันที่19 กรกฎาคม 2014 ดูละครย้อนหลัง PICPOST กินเที่ยว ข่าวฮ็อต คลิปวีดีโอ ดาราอินเตอร์ ดาราเอเชีย ดาราโลก ดาราไทย ธุรกิจดารา ประเด็นร้อน พรีวิวบันเทิง ภาพยนตร์ ยานยนต์ เกร็ดหนุ่มสาว ผู้ชาย ผู้หญิง แกดเจ็ท Thailand Web Stat Copy right 2013 ©



ขอบคุณ แหล่งที่มาหนังสือพิมพ์

ผี เรื่องผี เรื่องเล่าสยองขวัญ ลางมรณะ

เอก เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากลางมรณะ

สมัยหนุ่มผมเป็นแขกขาประจำของคาเฟ่ย่านสะพานควาย จนรู้จักกับเจ้าของ กัปตัน นักร้องและสาวเสิร์ฟทุกคน บางวันก็แวะไปตั้งแต่ตอนเย็น ได้พบกับเรื่องแปลกๆ ที่เกิดขึ้นก่อนคาเฟ่เปิดรับแขกที่ทยอยกันเข้ามาราวสองทุ่มเศษ

ช่วงนั้นจะมีคนมาสมัครงานกันหนาตา ที่โต๊ะหินหน้าบาร์น้ำ ติดๆ กับสนามโล่งกว้างเป็นที่ตั้งโต๊ะ ใต้เต็นท์ มีเวทีติดกับกำแพงรั้วด้านขวามือ

เรื่องน่าขนหัวลุกที่ผมประสบมาเกิดขึ้นที่นั่น เองครับ!

นักร้องกับสาวเสิร์ฟมาสมัครงาน สาวเสิร์ฟ มักหมุนเวียนเข้าออกกันอยู่เสมอ พวกดาวตลกกับ นักแสดงกลโนเนมก็ทยอยกันเข้ามาเรื่อยๆ รวมทั้งรถส่งเครื่องดื่มเหล้าเบียร์และโซดา...ผมรู้จักอ๋อยตอนแรกก็ที่คาเฟ่ แห่งนั้นเอง

ตอนแรกนึกว่าสมัครนักร้อง เพราะอ๋อยสะสวย ผิวขาว หุ่นดี แต่เธอกลับขอสมัครเป็นสาวเสิร์ฟ บอกว่าไม่เคยทำงานมาก่อน เห็นติดป้ายรับสมัครก็เลยแวะเข้ามา

ทางร้านอยากให้เป็นนักร้องโดยมีครูสอนให้ แต่อ๋อยบอกว่าร้องเพลงไม่เป็นและไม่ชอบเป็นนักร้อง...ไม่ว่าจะเกลี้ยกล่อม ยังไงเธอก็ปฏิเสธท่าเดียว ในที่สุดก็รับไว้เป็นผู้ช่วยติ๋มที่บาร์น้ำแถวหน้าห้องครัวใกล้ๆ กับโต๊ะแขกที่เป็นม้าหินล้วนๆ ริมกำแพง

อ๋อยเป็นคนเงียบๆ เฉยๆ มีแขกสนใจหลายคน แต่เธอไม่แยแสใครเลย

เย็นหนึ่ง สาวเสิร์ฟทยอยกันมา อ๋อยตระเตรียมโซดา น้ำแข็งและผลไม้เรียบร้อยแล้ว เห็นผมนั่งดื่มเบียร์คนเดียวก็เดินเข้ามานั่งร่วมโต๊ะม้าหินใกล้ประตูรั้ว และศาลพระภูมิ...เธอได้รับทิปจากผมบ่อยๆ เพราะเห็นใจที่มีแต่สาวเสิร์ฟเท่านั้นได้ทิปจากแขกแค่นิดๆ หน่อยๆ

อ๋อยเล่าว่าอีก 2-3 วันจะไปทอดผ้าป่ากับเพื่อนๆ ที่ศรีสะเกษ รถออกจากสะพานควายตอนดึกไปสว่างที่โน่น เสร็จแล้วได้พบปะคนบ้านเดียวกัน บ่ายๆ ก็จะกลับมาถึงนี่ตอนค่ำ ไม่เสียงานอีกด้วย

พอดีนักร้องทยอยกันเข้ามา บางคนแวะคุยก่อนจะเข้าห้องแต่งตัวเปลี่ยนชุดนักร้อง บางคนแต่งหน้าแต่งตัวเสร็จก็มาคุยด้วย แต่บางคนก็หอบอาหารที่แวะซื้อใส่จานมานั่งกิน...พูดจาหยอกล้อกันจนแขกเริ่ม เข้า...

อีกราว 3-4 วันต่อมา ผมก็แวะไปที่คาเฟ่แห่งนั้นราวหกโมงเย็น

ฤดูหนาวทำให้ค่ำเร็ว เห็นอ๋อยนั่งเหม่ออยู่คนเดียวที่ม้าหินโต๊ะแรก ตอนนั้นยังไม่เปิดไฟเพราะแขกยังไม่เข้า ผมสั่งเบียร์แล้วนั่งโต๊ะเดียวกับอ๋อย แต่เธอทำหน้าเหมือนมองไม่เห็น จนสังเกตเห็นกระเป๋าใบเล็กๆ วางอยู่บนโต๊ะ...ไม่รู้ว่าไปทอดผ้าป่ามาหรือยัง?

อ๋อยยิ้มนิดๆ เห็นแล้วเอะใจชอบกล...เป็นรอยยิ้มเศร้าๆ หน้าตาซีดเซียว ดูหม่นหมองผิดกว่าที่เคยเห็น

"คืนนี้แหละพี่! คืนนี้อ๋อยจะไป..."

สุ้มเสียงเลื่อนลอย ดังวู่หวิวคล้ายสายลมพัดมาไกลๆ ผมขนลุกซ่าไปทั้งตัวเมื่อนึกได้ว่ายังไม่ได้เอ่ยปากถามอะไรเธอเลยแม้แต่คำเดียว

"อ๋อยเป็นอะไรไปหรือเปล่า?" ผมเลิกคิ้วอย่างสงสัย เธอก็ส่ายหน้ายิ้มเศร้าๆ ตามเดิม

"เปล่านี่ อ๋อยไม่ได้เป็นอะไร" รอยยิ้มดูฝืดฝืนเต็มที ใบหน้าขาวซีดผิดปกติจนดูเด่นชัดในความสลัว ผมรินเบียร์ดื่มพลางมองหน้าเธอ แต่บางครั้งใบหน้านั้นก็เลือนรางไปราวกับไม่มีอ๋อยนั่งอยู่ที่นั่นเลย!

ค่ำนี้เธอไม่ค่อยพูดจาเหมือนวันก่อนๆ เอาแต่นั่งเหม่อคล้ายหมกมุ่นครุ่นคิดอะไรอยู่ก็เหลือเดา...นักร้องทยอยกันมา ไม่มีใครทักทายอ๋อย เธอเองก็ไม่ทักทายใครเช่นกัน

ผมสั่งกับแกล้ม 2-3 อย่างแล้วขอตัวเข้าห้องน้ำ...เมื่อกลับออกมาก็ไม่เห็นอ๋อยเสียแล้ว เธอคงเข้าไปคุยกับเพื่อนๆ หรือเริ่มต้นทำงานแล้วก็ได้ เพราะกระเป๋าเสื้อผ้าใบเล็กๆ บนโต๊ะก็หายไปด้วย

ทุ่มเศษ ดนตรีเริ่มโหมโรง ผมหันไปทางบาร์น้ำก็ไม่เห็นอ๋อย ถามสาวเสิร์ฟที่สนิทกัน ทุกคนก็บอกว่าคืนนี้ยังไม่เห็นอ๋อยเลย

ผมรู้สึกไม่สบายใจชอบกล นึกห่วงกังวลถึงอ๋อยอย่างไม่คิดเป็นมาก่อนจนหมดสนุก ตัดสินใจสั่งเบียร์มาดื่มอีกขวดแล้วตัดสินใจกลับบ้าน

วันรุ่งขึ้น ผมไปถึงคาเฟ่แห่งนั้นราวสี่ทุ่ม...ได้ข่าวว่าคืนที่แล้วอ๋อยเดินทางไปทอด ผ้าป่ากับเพื่อนๆ เลยรังสิตไปไม่นานก็เกิดอุบัติเหตุชนท้ายรถกระบะ ได้รับบาดเจ็บกันระนาว

ส่วนอ๋อยกระเด็นออกไปนอกรถ...คอหักตายคาที่เพียงคนเดียว!

ขอบคุณ แหล่งที่มาหนังสือพิมพ์

ผี เรื่องผี เรื่องเล่าสยองขวัญ วิญญาณในภาพถ่าย





วนิดา เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากภาพผีสิง

ตอนนี้ดิฉันกำลังขนลุกกับรูปถ่ายขาวดำของหญิงสาวแสนสวยในกรอบกระจก ที่คุณลุงดิฉันเก็บขึ้นมาจากกองขยะใกล้บ้าน!

ทุกเช้า...เช้ามืดนะคะ! ขอย้ำให้คุณๆ เห็นภาพพจน์ คุณลุงจะเดินออกกำลังกายรับอรุณเกือบ 500 เมตรไปถึงตลาด ถือโอกาสใส่บาตรแล้วเดินกลับ สวนกับผู้คนที่เร่งรีบออกไปทำงาน

ตอนนี้ล่ะค่ะที่ท่านจะต้องเดินผ่านที่ทิ้งขยะประจำซอย ทางกทม.เขาเอาถังขยะใบมหึมาตั้ง 4-5 ใบมาวางเรียงให้แต่ก็ยังไม่พอใส่ขยะ ไม่รู้ว่าอะไรมาทิ้งกันนักหนา

กองขยะนี้เป็นขุมทรัพย์ของหลายๆ คนนะคะ อย่างพวกเก็บของเก่าและคุณลุงของดิฉันนี่แหละ ดูท่าทางสนุกเหมือนเด็กเล่นขุดหาสมบัติไม่มีผิด ท่านมีมิตรจิตมิตรใจกับคนเก็บขยะมาก มักจะเก็บหนังสือพิมพ์เก่าๆ และเศษไม้ไว้ให้พวกเขาเอาไปขายกัน

บางครั้งพวกนั้นจะช่วยยกฟูกอันหนักๆ หนาๆ เข้ามาให้ และช่วยกันเช็ดอย่างดี คุณป้าเห็นเข้าจะโวยวาย "โฮ้ย! เอาเข้ามาทำไม ที่นอนคนนอนตายหรือเปล่าก็ไม่รู้"

จากนั้นคุณป้าก็ออกคำสั่งเด็ดขาดว่าให้เอาไปทิ้งที่เก่าเดี๋ยวนี้!

เรารู้ว่าคุณลุงเก็บของจากกองขยะติดมือเข้าบ้าน ทุกเช้า ส่วนมากจะเป็นเศษผ้า เพราะในซอยมีโรงงานเย็บผ้าด้วย ผ้าพวกนี้ใช้ประโยชน์ได้ อย่างน้อยก็เป็นผ้าขี้ริ้วไว้เช็ดถูชิงช้าหน้าบ้านและโต๊ะหินข้างสนาม ใช้เสร็จก็ทิ้งได้เพราะทั้งเปื้อนฝุ่นและเปื้อนขี้นก

เศษผ้าพวกนี้เขาเอามาทิ้งให้เราใช้อย่างเหลือเฟือทุกวันเชียวล่ะ

คืนหนึ่งราวๆ ตี 2 หมาบ้านเรา 4-5 ตัวพากันเห่าหอนผิดปกติจนสามีกับลูกลุกขึ้นไปเดินด้อมๆ มองๆ ภายในบ้าน เพราะเกือบแน่ใจว่ามีโจรผู้ร้ายปีนรั้วเข้ามา...แต่ถ้ามันเข้ามาแล้วหมาเห่า ขนาดนี้ มันก็คงไม่มีแก่ใจจะขโมยอะไรอีกแล้วค่ะ

ทว่า เกือบชั่วโมงผ่านไปมันก็ยังเห่ากันไม่เลิก บางทีก็ครวญคราง บางตัวก็โก่งคอหอนโหยหวน...เยือกเย็นเข้าไปถึงหัวใจ!

ลูกๆ ดิฉันเป็นสาววัยรุ่นทั้งคู่ เดินเข้ามาในห้องและกระซิบอย่างตื่นเต้นว่า เห็นคนนั่งอยู่ใต้ต้นไม้ ดิฉันกับสามีตกใจ เดินไปแอบดูที่หน้าต่างห้องนอนลูก

นั่นไง! จริงด้วยสิคะ มีผู้หญิงนั่งอยู่ที่นั่นและหันหน้ามาทางเรา ผมดัดฟูยาวประบ่า เธอเอามือทั้งสองข้าง เกยคาง...หมาก็เห่าอยู่รอบๆ ตัวเธอ!

ใครน่ะ? ในบ้านเราไม่มีผู้หญิงลักษณะนี้แน่นอน...ดิฉันงง ขณะเดียวก็ขนลุกซ่าขึ้นมาเฉยๆ และแล้วร่างของเธอก็เลือนหายไปในความมืด มันเหมือนกับพวกเราตาฝาดไปเองงั้นแหละ ลูกๆ ยังมึน ถามว่า...เอ๊ะ! หรือเราเห็นเงาไม้เป็นผู้หญิงกันแน่?

ดิฉันตอบไม่ถูก ใจหนึ่งก็คิดว่าผีหลอก แต่มาหลอกทำไมล่ะ? จะว่าเป็นผีบ้านผีเรือน ก็แหม...ดัดผมซะ สวยเชียว!

รุ่งขึ้น เมื่อส่งลูกๆ ไปโรงเรียนแล้ว ดิฉันก็เดินผ่านบริเวณนั้น ในใจคิดถึงเงาร่างที่เห็นเมื่อกลางดึก สงสัยจริงๆ ว่าอะไร? มาได้ไง?

ทันใดนั้น ดิฉันก็ได้คำตอบ!

ไม่ยากเลยค่ะที่จะไขปริศนา เพียงแค่ปรายตาไปตรงชั้นที่วางกะละมังซักผ้าใกล้ๆ กับโต๊ะหินนั่นแหละ ดิฉันเห็นกรอบรูปกว้างราวหนึ่งฟุต ยาวสักฟุตครึ่ง เป็นกรอบไม้ติดกระจกใส...

ภายในกรอบเป็นภาพขาวดำของหญิงคนหนึ่งสวยมาก เธอคงถ่ายรูปนี้ที่ร้านถ่ายรูป และตั้งท่าอย่างดี...เป็นท่าที่เธอเบือนหน้ามาอมยิ้มข้ามไหล่ ใบหน้าหวานละมุนแบบน้องนางบ้านนา อายุไม่น่าจะเกิน 20 ปี ตาโตและใส่ขนตาปลอม ผมดัดฟูยาวประบ่า

ไม่ต้องสงสัยเลย เธอคือผู้ที่มานั่งเกยคางตรงโต๊ะหินตัวนี้เมื่อคืนแน่ๆ และกรอบรูปนี่...เห็นแล้วทำให้นึกถึงรูปตั้งหน้าศพ!

ดิฉันรีบขึ้นไปหาคุณลุง ถามว่าเก็บรูปนี้มาใช่ไหม? ท่านยิ้มแล้วเอานิ้วชี้แตะปาก...อย่าเอ็ดไป เดี๋ยวป้ารู้! แหม...เห็นรูปสาวสวยล่ะหยิบเข้าบ้านปุ๊บเลย...ดิฉันว่าญาติพี่น้องเขายังเอา รูปมาโยนทิ้ง นี่แปลว่าผู้หญิงคนนี้ต้องไม่มีชีวิตอยู่ในโลกนี้แล้ว เผลอๆ เธอคงเป็นผี และผีดุด้วย! ดุซะจนญาติขยาด ไม่อาจจะเอารูปเก็บไว้ในบ้านได้

ดูสิคะ...ที่ซอกมุมกรอบรูปน่ะมีผงขี้เถ้าจากธูป และมีรอยน้ำตาเทียมอีกด้วย! มันจะแปลว่าอะไรคะ?

คุณลุงหุบยิ้ม ตามองสาวสวยอย่างแสนเสียดาย ดิฉันเลยเล่าว่าเมื่อคืนน่ะเห็นเธอมานั่งอยู่ตรงนี้ ถ้ายังขืนเอาไว้ คืนนี้เธอไปนั่งบนเตียงคุณลุงแน่!

เท่านั้นแหละ คุณลุงเรียกเด็กให้เอารูปใส่ถุงไปทิ้งขยะตามเดิม...ขนลุกค่ะ!

ขอบคุณ แหล่งที่มาหนังสือพิมพ์  

วันอาทิตย์ที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2557

ผี เรื่องผี เรื่องเล่าสยองขวัญ คืนขวัญหาย

ลำเพา เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากคืนขวัญหาย

พวกผู้ใหญ่มักจะสอนดิฉันอยู่เสมอว่า ผีไม่มีจริง...ไม่ต้องไปกลัวมัน! คนที่เล่าว่าเห็นผีที่จริงแล้วคือคนจิตอ่อน หรือไม่ก็หลอกตัวเอง ดิฉันก็อยากเชื่อหรอกค่ะ แต่ความคิดมันตรงกันข้ามกับสิ่งที่ท่านพยายามสั่งสอนเสียจริง

คือดิฉันเชื่อว่าผีมีจริงเพราะเคยเจอเรื่องแปลกๆ หลายครั้ง และแน่ใจว่าไม่ได้ประสาทหลอนแน่ๆ มันเป็นเรื่องที่เหนือคำอธิบาย เช่น เมื่อตอนอายุราว 15 ปี วันหนึ่งดิฉันได้ยินเสียงคุณลุงมาเรียกคุณพ่ออยู่หน้าบ้าน คุณพ่อก็ได้ยินค่ะ แต่พอเปิดประตูก็ไม่มีใครสักคน...

ไม่ช้าที่บ้านคุณลุงก็โทรศัพท์มาบอกว่าคุณลุงตายเสียแล้ว ด้วยอาการหัวใจวาย...แล้วใครที่มาเรียกล่ะคะ ถ้าไม่ใช่เจตภูตหรือวิญญาณของท่าน?

เหตุการณ์ทำให้ดิฉันฝังใจมาก คุณพ่อเองก็อธิบายไม่ได้ทั้งที่เป็นคนสอนลูกๆ ไม่ให้กลัวผีหรือเชื่อเรื่องผี! แม้ดิฉันไม่ใช่คนกลัวผี แต่มันเป็นความระแวง กลัวว่าผีจะโผล่ขึ้นมาจนตกอกตกใจจนอาจจะช็อกตายได้ง่ายๆ

แหม! ดิฉันไม่ชอบเลยค่ะ เรื่องขวัญผวานี่น่ะ!

แปลกนะคะ เวลาเจออะไรที่คิดว่าเป็นผีเข้าจริงๆ ดิฉันจะรู้สึกทึ่งมากกว่ากลัว...มันอยากพิสูจน์ อยากรู้อยากเห็น! รู้สึกว่าการเป็นผีนี่ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ หรอก มันน่าตื่นเต้นและนำไปเล่าต่อ...เป็นเรื่องที่ประทับใจจริงๆ ค่ะ

เมื่อโตขึ้น ดิฉันเรียนจบมัธยมปลาย เข้ามหาวิทยาลัยที่กรุงเทพฯ ต้องจากบ้านที่ราชบุรีมาอยู่กับคุณป้า

บ้านคุณป้านี้ดิฉันเคยอยู่เมื่อตอนเป็นเด็กเล็กๆ ค่ะ เป็นบ้านใหญ่ที่อยู่รวมกันทั้งคุณปู่คุณย่า และลูกๆ หลานๆ เราจึงมีหลายครอบครัวในที่ดินผืนใหญ่เกือบ 2 ไร่ บ้านเก่าของดิฉันเป็นเรือนเล็กๆ ชั้นเดียว ปลูกอยู่ด้านหลังตึกใหญ่

เมื่อเข้ากรุงเทพฯ คุณป้าก็ให้ดิฉันอยู่บ้านหลังเดิม บางวันแม่ก็มาค้างด้วย

เวลาที่แม่กลับไปที่ราชบุรี ดิฉันจะอยู่ที่บ้านหลังเล็กตามลำพัง ไม่ได้กลัวอะไรเลยเพราะเป็นบ้านของเราแท้ๆ เสียแต่เวลากลับบ้านมืดๆ น่ะต้องเดินฝ่าความมืดเป็นระยะทางค่อนข้างไกลทีเดียว

ที่สำคัญคุณป้าเป็นคนประหยัดไฟ บ้านเราจึงค่อนข้างมืด โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลา 2-3 ทุ่มไปแล้ว คุณป้าจะขึ้นไปอยู่ชั้นบน ชั้นล่างนี่ปิดไฟหมด ไฟตรงซุ้มที่ดิฉัน เดินลอดก็เสีย ยังไม่มีการแก้ไขหรือเปลี่ยนหลอดมันจึง มืดมาก

ถึงจะมีแสงสลัวๆ จากบ้านอื่นมันก็ยังมืดแทบมะงุมมะงาหรา

คืนหนึ่ง ดิฉันไขกุญแจประตูใหญ่เข้ามาตอน 4 ทุ่ม บ้านเงียบและวังเวง มีแต่แสงไฟจากห้องคุณป้าที่ชั้นบนลอดผ่านม่านออกมา เรือนคนใช้ก็มีแสงไฟเปิดอยู่

ดิฉันต้องเดินอ้อมตึก ผ่านซุ้มไม้ ทันใดนั้นก็เหลือบเห็นเงาดำๆ คล้ายคนคลุมผ้านั่งยองๆ อยู่ตรงมุมตึกที่ดิฉันต้องเดินผ่าน!

แม้จะผิดสังเกต แต่ดิฉันก็ไม่ได้ชะงักฝีเท้า ทั้งที่ในใจสงสัยว่านั่นอะไรน่ะ? รู้อยู่อย่างเดียวว่าไม่ใช่คน ไม่ใช่ผู้ร้าย...มันเป็นเพียงเงาที่ดำทึบกว่าความมืดสลัวรอบๆ ตัวเอง

ครั้นดิฉันเดินผ่าน ใกล้ขนาดฟุตเดียวเท่านั้นล่ะค่ะ ก็รู้สึกว่าเงานั้นยืดตัวขึ้น เหมือนคนที่นั่งยองๆ ลุกขึ้นยืน ความสูงก็ประมาณผู้ชายตัวสูงๆ แต่ขอย้ำว่าไม่ใช่คนแน่นอน! มันเป็นเงาที่เหมือนใครเอาผ้าคลุมหัวตลอดร่างลงมา...

ว่าจะไม่กลัวก็เสียววูบเอาการ และนึกว่าเราตาฝาด ประสาทหลอน! หรือคิดไปเองรึเปล่า? อากาศก็เริ่มจะหนาวเย็นลงทุกที อยากจะเร่งฝีเท้าหรือวิ่งหนี แต่คิดว่ามันงี่เง่าที่จะทำอย่างนั้น

ขณะเดินเร็วๆ เพื่อจะรีบเข้าบ้าน ก็รู้สึกว่าเงานั้นตามมาตลอด...ตามมาติดๆ

มือเปิดประตู ผลุบเข้าบ้านแล้วปิดประตูตามหลังทันที ความรู้สึกยังบอกว่าร่างนั้นชะงักอยู่หลังประตูนี่เอง! มันคืออะไรนะ? สงสัยพรุ่งนี้ต้องลุกขึ้นใส่บาตรซะแล้ว

คืนนั้นดิฉันเปิดไฟทั้งบ้านเลยค่ะ อยู่คนเดียวด้วย แล้วความคิดก็ย้อนกลับไปเมื่อตอนเด็กๆ สมัยที่คุณย่ายังมีชีวิตอยู่และต่อเติมบ้านหลังใหญ่ ดิฉันจำได้ว่าคนงานก่อสร้างเล่าว่าถูกผีหลอก เขาบอกว่าตอนแรกคิดว่าแม่ยายเขามานั่งยองๆ เอาผ้าคลุมหัว แต่ปรากฏว่าไม่ใช่ เพราะแม่ยายกำลังเปิบข้าวอยู่ในเพิงที่พัก

พวกเขาบอกว่าสงสัยเป็นวิญญาณเจ้าที่เจ้าทาง

เฮ้อ...กำลังหวาดๆ ก็ดันความจำดีขึ้นมาซะอีกแน่ะ! สิ่งที่ดิฉันเห็นจะเป็นสิ่งเดียวกับที่คนงานเห็นเมื่อหลายปีก่อนหรือเปล่าก็ ไม่รู้...แต่ที่แน่ๆ คือขนหัวลุกค่ะ!

ขอบคุณ แหล่งที่มาหนังสือพิมพ์

ผี เรื่องผี เรื่องเล่าสยองขวัญ มันมาจากนรก

เอก เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากปีศาจสยองขวัญ

สมัยเด็กผมอยู่ อ.พรานกระต่าย จ.กำแพงเพชร เมืองแห่งกล้วยไข่และกระยาสารทอันขึ้นชื่อลือชาที่สุดของเมืองไทยนั่นแหละครับ

ครั้งนั้นบ้านเมืองยังไม่เจริญเหมือนทุกวันนี้ ชาวบ้านยึดอาชีพทำไร่ทำนา ทำสวนและหาของป่าขาย พวกผู้หญิงที่เสร็จจากงานบ้านก็ทำสวนผัก ทอผ้าที่ใต้ถุน บ้างก็มีฝีมือทางจักสาน ทำกระจาด กระบุง ตะกร้าสวยๆ เอาไว้ใช้เองบ้าง ขายบ้าง

พูดกันโดยรวมแล้ว ถือว่าชาวบ้านอยู่ในฐานะพออยู่พอกิน ไม่มีอะไรเดือดร้อน

วัฒนธรรมของพวกเราคล้ายคลึงกับคนไทยภาคกลางส่วนใหญ่ มีทั้งมอญ ลาว พวนและจีน ผสมกลมกลืนแทบแยกไม่ออก นับถือผีบรรพบุรุษ เชื่อว่าวิญญาณของผู้ตายจะคอยคุ้มครองลูกหลานตลอดไป

เรื่องผีที่น่ากลัวมากคือผีของคนที่ออกลูกตาย หรือเรียกว่าตายทั้งกลมนั่นเอง!

บางปีมีคนออกลูกตายถึง 2-3 ราย เพราะการแพทย์ยังไม่เจริญ ส่วนมากจะอาศัยฝีมือหมอตำแยชื่อป้าอบ คนท้องแก่ก็มักจะเจ็บท้องใกล้คลอดลูกตอนกลางคืนเสียด้วย เดือดร้อนป้าอบต้องถูกปลุกกลางดึก คว้าตะกร้าเครื่องใช้ไม้สอยราวกับล่วมยาของแพทย์ กระวีกระวาดไปทำหน้าที่นางผดุงครรภ์ หรือสูตินรีแพทย์โดยด่วน

ปีหนึ่งมีข่าวลือว่าพญามัจจุราชจะมาเอาชีวิตเด็กๆ ไปเมืองผีถึง 7 คน!

บ้างก็ว่าครบรอบปีอาถรรพณ์ บ้างก็เชื่อว่ามีวิญญาณบาปหลบหนีจากนรกมาเกิดในเมืองมนุษย์ เทพเจ้าแห่งความตายกริ้วโกรธมาก จึงติดตามมา กระชากวิญญาณกลับแดนอเวจีตามเดิม

ในเวลาไล่ๆ กัน มีคนตั้งท้องถึง 2 ราย คือน้าสวยกับน้าวิไล!

บ้านไหนมีการตั้งท้อง ใกล้จะคลอดลูกบ้านนั้นก็จะตระเตรียมข้าวของที่จำเป็นเอาไว้อย่างพรักพร้อม คือพ่อบ้านจะตัดไม้สะแกมาตากแดด แล้วซ้อนกันเป็นกองๆ สำหรับใช้ในการอยู่ไฟ นอกจากนั้นยังตัดกิ่งพุทราหรือไผ่มาสะไว้ตามรั้วบ้าน เพื่อป้องกันภูตผี เช่น ปอบหรือกระสือ เข้ามากินเด็กอ่อนเพราะกลิ่นคาวเลือดดึงดูดใจ

น้าสวยถึงเวลาคลอดลูกก็เกิดเรื่องน่าสยองขวัญขึ้นโดยไม่มีใครนึกฝัน!

นั่นคือแกเจ็บท้องร้องโอดโอยตั้งแต่กลางดึกจนรุ่งเช้า ป้าอบและเพื่อนบ้านช่วยกันข่มท้องแต่ก็ไร้ผล เสียงร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวดของน้าสวยดังบาดลึกเข้าไปถึงหัวใจของทุกคน จริงๆ ครับ

ชาวบ้านมาดูกันหนาตา ประสงค์จะช่วยเหลือเท่าที่จะทำได้ มีเสียงซุบซิบกันว่าจะโดนอาถรรพณ์หรือเปล่า? บางคนบอกได้ยินเสียงนกแสกบินผ่านหลังคา ร้องแซ้กๆ น่าขนหัวลุกไปด้วย แต่บางคนก็บอกว่าเป็นธรรมดาของท้องแรกที่มักจะคลอดยาก

ทั้งป้าอบและผู้ช่วยเหงื่อตกไปตามๆ กัน สั่งให้น้าสวยเบ่งเต็มที่ แต่สิ่งที่โผล่ออกมาจากท้องทำให้ทุกคนใจหายวาบเพราะเป็นเท้าเล็กๆ ข้างหนึ่งบ้าง สองข้างบ้าง บางครั้งก็โผล่มือออกมาโบกไหวๆ ราวกับจะล้อหลอกอย่างน่าสยองขวัญ

เสียงน้าสวยร้องกรี๊ดดดด...เป็นครั้งสุดท้าย ทารกเจ้ากรรมหลุดออกจากท้องมาได้ก็สิ้นลมปราณทั้งแม่และลูก

ฝังศพน้าสวยเสร็จก็ถึงคราวน้าวิไล!

บรรยากาศในหมู่บ้านเต็มไปด้วยความเยือกเย็นน่าวังเวงใจ หมูหมาโก่งคอหอนระงม ราวกับพวกมันมองเห็นอะไรบางอย่างที่น่าเกลียดน่ากลัวอย่างเหลือประมาณ

ถึงแม้ท้องน้าวิไลจะเป็นท้องที่สอง แต่กลับทำให้ทุกคนถึงกับอ้ำอึ้งตะลึงตะไลไปตามๆ กัน เมื่อป้าอบแจ้งข่าวร้ายว่า...เด็กตายในท้องแม่เสียแล้ว! แถมยังน่าขนลุกขึ้นไปอีกเมื่อท้องน้าวิไลโป่งขึ้นยุบลง ราวกับเด็กที่ตายแล้วจะพลิกตัวไปมาอยู่ในท้องกระนั้น!

เสียงน้าวิไลร้องครางว่าช่วยด้วยๆ ป้าอบหน้าดำคร่ำเครียด บอกเสียงเหี้ยมๆว่าศพเด็กมันแรงเหลือเกิน ต้องใช้อาคมช่วยให้ออกจากร่างเร็วๆไม่งั้นแม่เด็กจะมีอันตราย

ป้าอบทำพิธีด้วยการเอาด้ายมาจับเป็นมงคล 7 เส้น แล้วเสกคาถาพึมพำก่อนจะม้วนให้น้าวิไลกินกับน้ำมนต์ซึ่งเสกคาถาเช่นกัน เพื่อให้มงคลคลายในท้องแม่ แล้วสวมคอลูกที่ตายในท้อง ป้าอบร่ายคาถาเร็วปรื๋อแล้วเป่าลงที่กระหม่อมน้าวิไล ไปยืนอยู่ใกล้ๆ ศีรษะแล้วกระทืบเท้าอย่างแรงสามครั้ง

น้าวิไลร้องกรี๊ดสุดเสียง...ทารกที่ตายก็หลุดผลัวะออกมา!

ซากเละๆ ของศพเด็กเน่าเหม็นสุดขีดจนผู้คนแตกกระเจิง ฝูงหมาเห่าขรม ยอดไม้ไหวซ่าเหมือนเสียงใครหัวเราะครืนใหญ่ด้วยความสาสมใจอย่างเหลือประมาณ!


ขอบคุณ แหล่งที่มาหนังสือพิมพ์

วันอาทิตย์ที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

ผี เรื่องผี เรื่องเล่าสยองขวัญ ขนหัวลุกจากซอยอารีย์

วิทูรย์ เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากซอยอารีย์

เลิกเหล้า เลิกจน เริ่มต้นเข้าพรรษา

เดือนหน้าก็จะถึงเทศกาลเข้าพรรษาแล้ว เป็นโอกาสในการหยุดดื่มสุราไปถึง 3 เดือน ช่วยประหยัดทรัพย์ ห่างไกลโรคร้าย โดยเฉพาะการเกิดอุบัติเหตุต่างๆ อีกด้วย

สุราอันว่าเหล้าทำให้ผู้ดื่มขาดสติ ก่อคดีต่างๆ นานา ไม่ว่าวิวาทบาดถลุงแบบย่อยๆ ไปจนถึงตีรันฟันแทง ยิงกัน ฆ่ากันเหมือนผักเหมือนปลา...แม้แต่เพื่อนฝูง ผัวเมีย หรือแม้แต่พ่อลูกกันแท้ๆ ก็ยังฆ่าแกงกันได้ลงคอ

คดีปลุกปล้ำทำอนาจาร ข่มขืนฆ่า กล้าลักขโมย จี้ปล้น ส่วนหนึ่งก็เกิดจากการดื่มเหล้าจนมึนเมา ฮึกเหิม ขาดสติควบคุมตัวเองโดยสิ้นเชิง!

ผู้มีฐานะยากจนแต่ติดสุรา แทนที่จะนำเงินทองที่หาได้มาเลี้ยงดูครอบครัว แต่กลับนำไปกรอกใส่ขวดเหล้าแทน อ้างว่าเพื่อแก้เหนื่อยบ้าง ดับความกลัดกลุ้มสุมใจบ้างแต่เมื่อสร่างเมาก็ต้องพบกับปัญหาหนักหน่วงกว่า เดิม

ถ้านำเงินที่ซื้อสุรามาสะสมเก็บออมไว้ นานวันก็ย่อมจะเพิ่มพูนขึ้นทันตาเห็น ที่เคยเดือดร้อนทุรนทุรายหาเงินไปซื้อเหล้า นอกจากจะหมดปัญหาแล้วยังได้เงินเพิ่มขึ้นมาอีกเล่า รวมทั้งสุขภาพที่ดีขึ้นทันตาเห็น...ไม่ต้องลำบากยากจนเพราะการดื่มสุราอีก ต่อไป

และนี่เองคือที่มาของคำขวัญสำหรับเตือนใจคอสุราทุกผู้คน!

"เลิกเหล้า เลิกจน เริ่มต้นเข้าพรรษา"

เมื่อสมัยหนุ่มๆ ผมได้ชื่อว่าเป็น "คอแป๊บ" คนหนึ่ง คือดื่มเหล้าได้ทุกชนิด ขึ้นชื่อว่าเครื่องดองของเมาแล้วขอให้บอกมาเถอะ ไม่ว่าเหล้าไทย เหล้าฝรั่ง เบียร์และสาโท...ผมพร้อมที่จะดื่มดวดได้ทั้งนั้น แถมไม่แสดงอาการเมามายให้ใครเห็นอีกต่างหาก

ยิ่งมีคนชมว่าคอแข็ง กินเหล้าจุและทน ผมยิ่งปลื้มอกปลื้มใจจนลืมไปว่าการดื่มสุราก็เหมือนกับการ กรอกน้ำทองแดงร้อนๆ ลงคอตัวเองยังไงยังงั้น!

ในวงเหล้า คนเราจะรู้จักและสนิทสนมกันได้ง่ายมาก นับวันยิ่งมีเพื่อนฝูงเพิ่มขึ้น สารพัดอาชีพและนิสัยใจคอ บางคนเมาแล้วช่างพูดช่างคุย สนุกสนานครึก ครื้น บางคนก็ชอบทำตาขุ่นตาขวาง พูดจาเกะกะระราน หาเรื่องโต๊ะนั้นโต๊ะนี้ แม้แต่เพื่อนฝูงโต๊ะเดียวกันก็ไม่ละเว้น

คนประเภทเมาแล้วหาเรื่องผมไม่ยอมคบหาสมาคมให้เปลืองตัว เจอเข้าหนเดียวก็เข็ดหลาบ...เหลือแต่เพื่อนสนิทที่รู้นิสัยใจคอกันจริงๆ เท่านั้น คือพูดคุยกันสนุกสนาน หรือจะเย้าแหย่ก็เฉพาะในโต๊ะของเรา ไม่ยื่นปากยื่นตาไปยุ่งเกี่ยวกับโต๊ะอื่นๆ

แต่แล้วก็ไม่วายเกิดเรื่องขึ้นจนได้!

"ใหญ่" เป็นเซลส์แมนขายรถยนต์ที่สุขุมวิท อายุสามสิบเศษ ผิวคล้ำ ร่างใหญ่กำยำสมชื่อ ใจนักเลงได้การ ไม่เกะกะระรานใครก่อน แต่ถ้าใครมาวุ่นวายวอแวใหญ่ก็จะไม่ยอมใครง่ายๆ เช่นกัน

คืนนั้นเราไปตั้งวงกันที่ซอยอารีย์สนามเป้า ใกล้ๆ บ้านผม ใหญ่เกิดกระทบกระทั่งกับชายหนุ่มกลุ่มหนึ่ง มีการด่าทอและท้าทายกัน จนผมต้องไปขอร้องห้ามปรามจนสงบเงียบกันไป...ราวห้าทุ่มเศษก็ออกจากร้าน คนอื่นๆ แยกย้ายไป

ส่วนใหญ่นั่งแท็กซี่มาส่งผมที่บ้าน แล้วบอกว่าตัวเองก็จะกลับบ้านที่คลองประปาใกล้ๆ นั่นเอง!

ผมอาบน้ำเสร็จจะเข้านอน พอดีได้ยินเสียงเรียกชื่อดังโวยวายมาจากหน้าบ้านว่า...หมูๆ มันจะฆ่าผม! จำได้ว่าเป็นเสียงของใหญ่ก็รีบเปิดไฟวิ่งไปดูที่ระเบียง

ใหญ่กำลังวิ่งเข้าประตูรั้วมาตามถนนแคบๆ หน้าบ้าน มือกุมศีรษะ เงยหน้าขึ้นมอง...ผมใจหายวาบเมื่อเห็นเลือดแดงฉานไหลอาบอย่างน่ากลัว รีบลงไปเปิดประตูรับเข้ามา ใหญ่ยังกุมมือไว้ที่เดิมพลางพร่ำด่าคู่กรณีที่ทำร้ายตัวเองด้วยเสียงขาด ห้วน...

แน่ล่ะครับ...ทั้งเจ็บปวดและเคียดแค้นสาหัส!

ได้ความว่าหลังจากส่งผมแล้วใหญ่ก็ย้อนกลับไปที่เดิมด้วยฤทธิ์เมา อยากเจอคู่อริให้รู้ดีรู้ชั่ว แต่กลับโดนยำเละเทะที่หน้าร้าน แล้วพวกนั้นก็ขึ้นรถหนีไป

ผมหาเสื้อผ้าให้เปลี่ยน ใหญ่ค่อยสงบและขอนอนที่โซฟา...แต่รุ่งขึ้นก็ไม่เห็นใหญ่เสียแล้ว ตอนสายจึงได้ข่าวว่าเขาย้อนกลับไปที่ร้านนั้นจริงๆ โดนคู่อริรุมตีจนสลบคาร้าน มีคนช่วยหามส่งโรงพยาบาล แต่ไปได้กลางทางก็สิ้นใจ

นึกแล้วขนลุกครับ...ผมน่าจะรู้ตั้งแต่เมื่อคืนแล้วว่าใหญ่ผ่านประตูรั้วที่ ปิดสนิทเข้ามาได้ยังไง ถ้าไม่ใช่ใหญ่ที่เหลือเพียงวิญญาณเท่านั้นเอง!

ขอบคุณ แหล่งที่มาหนังสือพิมพ์

ผี เรื่องผี เรื่องเล่าสยองขวัญ เจตภูตมาเยือน

ไพรณ เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกฉลองปีใหม่

วันนี้ผมมีเรื่องน่ากลัวของเจตภูตมาเล่าสู่กันฟังครับ

เหตุเกิดขึ้นเมื่อราว 5-6 ปีมาแล้ว แต่ยังฝังแน่นอยู่ในความทรงจำของผมมาจนถึงทุกวันนี้!

ขณะนั้นเป็นวันใกล้จะสิ้นปี มีงานรื่นเริงส่งท้ายปีเก่า-ต้อนรับปีใหม่ ทั้งตามบริษัทห้างร้าน ทั้งในหมู่ญาติสนิทมิตรสหาย ยิ่งคนที่มีเพื่อนฝูงมากก็ไปสนุก สนานเฮฮากับเขาแทบไม่ได้พักผ่อน แต่ส่วนมากเต็ม อกเต็มใจเพราะถือว่าเป็นโอกาสที่น่าเฉลิมฉลองกัน...หนึ่งปีมีเพียงครั้ง เดียวเท่านั้น

หลายๆ คนก็ถือว่าเป็นโอกาสดีที่จะเริ่มต้นชีวิตใหม่ในปีใหม่ที่จะถึงนี้

คนที่สนิทสนมรักใคร่กันก็เปิดอกเล่าสู่กันฟังว่า เมื่อขึ้นปีใหม่แล้วจะทำอะไรบ้างที่เป็นประโยชน์ต่อตัวเองและผู้อื่น จะเลิกละสิ่งใดที่ถือว่าไม่ดีงาม เช่น เลิกเล่นการพนัน เลิกดื่มสุรา แม้แต่การเที่ยวเตร่ก็ควรลดน้อยลง เพื่อถนอมสุขภาพตัวเองและประหยัดเงินทองที่หามาได้ด้วยความยากลำบาก

ถือคติว่า...ประหยัดเงิน 100 บาทก็เท่ากับมีเงินเพิ่มขึ้น 100 บาท เป็นต้น!

ถึงแม้ว่าส่วนใหญ่จะทำไม่ได้ครบถ้วน แต่อย่างน้อยก็ถือว่ามีเจตนาดี ตั้งใจดี เมื่อถึงปีใหม่ปีต่อไป ก็ตั้งความหวังดีๆ เอาไว้อีก...ชีวิตที่มีความหวัง อย่างน้อยก็ยังดีกว่าไม่ได้คาดหวังถึงสิ่งดีๆ สำหรับตัวเอง

ก่อนถึงปีใหม่วันเดียว ผมก็ได้ประสบกับเจตภูตน่าขนหัวลุกเข้าอย่างจังๆ

คืนนั้นผมไปงานเลี้ยงที่บ้านเพื่อนแถวเพลินจิต กลับมานอนคนเดียวราวสองยาม เพราะลูกเมียไปเยี่ยมญาติผู้ใหญ่ที่ต่างจังหวัด...กำลังเคลิ้มๆ ก็พอดีมองเห็นภาพนั้นปรากฏขึ้นที่หน้าต่างมุ้งลวดข้างเตียง

ท่ามกลางความเย็นยะเยือกของฤดูหนาว ร่างของชาย ผู้หนึ่งเห็นเพียงครึ่งตัวเป็นรูปมืดสลัว แต่สัญชาตญาณ บอกให้รู้ว่าเขากำลังจ้องมองมาที่ผม ลักษณะเป็นมิตรมากกว่าศัตรู...ได้ยินเสียงคล้ายลมพัดวู่หวิว ไม่แน่ว่าเขาพูดออกมาตามปกติ หรือผมได้ยินจากความรู้สึก แต่ก็จับใจความได้ชัดเจน

"ปีใหม่อีกแล้ว...คิดจะทำอะไรต่อไปล่ะ?"

ตอนนั้นผมคิดว่าคงเป็นวิญญาณพเนจรที่ผ่านมาพอดี แต่มีเสียงหัวเราะดังแว่วขึ้นก่อน...ไม่ใช่ผีสางที่ไหนหรอก อย่ากลัวไปเลย!

อ๋อ...เจตภูตของใครที่มาเยี่ยมเยือนเพราะความคิดถึง? ญาติมิตรคนไหนกันแน่ เพราะสุ้มเสียงที่มากระทบโสตสัมผัสก็ช่างคุ้นหู เหมือนกับที่ได้ยินเพื่อนฝูงคุยกันสนุกเฮฮาเมื่อตอนหัวค่ำนี่เอง

เวลาผ่านไปเร็วเหลือเกินนะ เดี๋ยวปี...เดี๋ยวปี...ชีวิตคนเราก็หดสั้นลงทุกที เหมือนฟ้าแลบแปล๊บเดียว! เหมือนน้ำค้างที่โดนแดดเผา รังแต่จะระเหยหาย เหือดแห้งไปในพริบตา!"

ผมนิ่งอึ้ง ความรู้สึกคล้ายเคลิบเคลิ้ม จิตใจถูกดึงดูดไปตามถ้อยคำที่ฟังเหมือนจะปรารภหรือบอกเล่าสู่กัน มากกว่าจะเป็นคำถามที่ต้องการคำตอบอย่าง จริงๆ จังๆ

"ว่าไง...คนเราควรจะทำยังไงดีกับชีวิตที่เหลืออยู่? ไม่ช้าก็หมดลมหายใจ อยากจะทำอะไรก็ทำไม่ได้แล้ว"

"หาความสุขให้ชีวิตกระมัง?" ผมนึก "ชีวิตนี้ สั้นนัก อย่ามัวไปวิตกกังวลกับปัญหาต่างๆ ให้เสียเวลาเลย...เขาว่าชีวิตเป็นสิ่งมหัศจรรย์! เมื่อเรายังมีลมหายใจอยู่ก็ควรใช้ชีวิตให้คุ้มค่ากับที่เกิดมาทั้งที"

สรรพสิ่งเงียบเชียบเยือกเย็น ร่างที่ปรากฏอยู่เหนือขอบหน้าต่างเพียงครึ่งเดียวก็ผงกศีรษะช้าๆ ผมเริ่มจ้องดูอย่างเอาจริงเอาจัง เพื่อพินิจพิจารณาว่าจะเป็นคน ที่เคยรู้จักมักจี่มาก่อนหรือเปล่า แต่ก็คิดไม่ออกเลย จริงๆ ครับ

ได้แต่นึกสงสัยอยู่ว่า...ใครนะ? มาจากไหนกัน?

ทันใดนั้น แสงสว่างเรืองก็ปรากฏขึ้นที่ใบหน้า นั้นช้าๆ จนมองเห็นได้ชัดเจนขึ้นทุกที...ผมนอนตัวแข็งทื่อด้วยความตกตะลึงพรึงเพริด หัวใจคล้ายจะหยุดเต้นด้วยความหวาดกลัวสุดขีด เมื่อมองเห็นภาพนั้นได้เต็มตา

ถึงผมไม่บอก ก็เชื่อว่าคุณผู้อ่านต้องเดาได้แล้วว่า ภาพนั้นเป็นใบหน้าของผมเอง! เจตภูตของผมแท้ๆ ที่มาเยือนตัวเองในคืนปีใหม่...

ได้เห็นครั้งเดียวก็ขนหัวลุกเกินพอแล้วครับ!

ขอบคุณ แหล่งที่มาหนังสือพิมพ์

ผี เรื่องผี เรื่องเล่าสยองขวัญ ผีอยากเกิด





ผู้อ่าน เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากนางไม้ริมถนน

ว่ากันว่า ภูตผีที่หลอกหลอนมนุษย์มักเป็นวิญญาณชั่วร้าย นิสัยเกะกะเกเร เรียกว่าผีอันธพาล ส่วนผีที่ปรากฏกายให้เห็นส่วนมากไม่ได้มีเจตนาจะทำให้ตกอกตกใจอะไรเลย หวังจะมาขอส่วนบุญเท่านั้นเอง

ผมมีประสบการณ์ผีหลอกเหมือนกัน แต่เชื่อว่า มีจุดหมายแตกต่างกว่าเหตุผลข้างต้นโดยสิ้นเชิง

นั่นคือ...ผีอยากเกิดครับ!

เมื่อเดือนเมษายน พ.ศ. 2546 ผมทำงานอยู่ที่จังหวัดแม่ฮ่องสอน ได้ไปติดต่องานที่อำเภอแม่สะเรียง เราไปกัน 3 คน คือผม เพื่อนและคนขับรถ ทุกคนล้วนแต่ไปที่นั่นเป็นครั้งแรก

ที่แม่สะเรียงนั่นเอง เราได้ทราบว่ามีรอยพระพุทธหัตถ์จำลองอยู่บนเนินเขาเล็กๆ บ้านดงสงัด จึงตัดสินใจจอดไว้เชิงเขา แล้วเดินขึ้นไปราว 20 นาทีก็มาถึงบริเวณที่ประดิษฐานรอยพระพุทธหัตถ์จำลองสมใจ

ผมอยากทราบประวัติที่มา แต่ถามใครก็ล้วนแต่ส่ายหน้า ไม่มีใครทราบถึงเรื่องราวในอดีตอย่างแน่ชัด

ขณะนั้นพวกเราได้พบพระธุดงค์รูปหนึ่ง จึงได้กราบไหว้และถวายปัจจัยท่านไปจำนวนหนึ่ง ขากลับ พระธุดงค์ได้เดินลงมากับพวกเราด้วย แจ้งความประสงค์ว่าต้องไปเยี่ยมญาติใกล้ๆ บ้านดงสงัดนั่นเอง

เมื่อลงมาถึงที่จอดรถจึงได้นิมนต์พระนั่งคู่กับคนขับเพื่อกลับแม่สะเรียง ครั้นถึงบ้านดงสงัดพระท่านจึงได้ขอลงที่หน้าบ้านหลังหนึ่ง ใกล้ๆ ถนนที่จะไปแม่คะตวน ส่วนพวกเราก็กลับไปที่โรงแรมแห่งหนึ่งในอำเภอที่เราเช่าไว้แต่แรกมาแล้ว

ระหว่างทาง ผมสังเกตเห็นผู้หญิงคนหนึ่งยืนอยู่ใกล้ต้นไม้ข้างถนน เธอแต่งตัวแบบคนพื้นเมือง ผมยาวมาก ผิวขาวผ่อง ใบหน้าเบือนกลับมาช้าๆ จนผมมองไม่เห็นชัดเจน แต่หันกลับไปมองโดยไม่ได้ตั้งใจ

โดยสัญชาตญาณ ผมรู้สึกว่าเธอยืนจ้องมองมาที่ผมคนเดียวอย่างแน่นอน!

แต่อะไรกันนั่น? โคนต้นไม้ว่างเปล่า ไม่ปรากฏ ร่างผู้หญิงคนนั้นแล้ว! ผมสะบัดหัวมึนงง คิดว่าตัวเองอาจจะตาฝาดไปก็ได้ แต่รู้สึกหนาวยะเยือกจนขนลุกซู่ ขึ้นดื้อๆ

จนกระทั่งถึงจุดหมายปลายทาง...เพื่อนกับคนขับรถแยกไปพักห้องหนึ่ง ส่วนผมนอนคนเดียวในห้องติดๆ กันนั่นเอง

ห้องนั้นมีห้องน้ำในตัว มี 2 เตียง คือข้างห้องน้ำกับริมหน้าต่าง ผมเลือกนอนเตียงหลัง โดยได้ถอดสร้อยคอห้อยพระเครื่องไว้บนโต๊ะ จากนั้นเข้านอนประมาณ 4 ทุ่ม

ปกติผมเป็นคนหลับง่าย แต่คืนนั้นกลับรู้สึกครึ่งหลับครึ่งตื่นชอบกล ราวๆ สองยามรู้สึกหนาวเย็น ผิดปกติ ได้กลิ่นหอมเอียนๆ ที่ไม่แน่ใจว่าเป็นกลิ่นหอมหรือกลิ่นเหม็นกันแน่...อะไรบางอย่างบอกให้รู้ ว่าผม ไม่ได้นอนในห้องนั้นคนเดียว!

หันไปมองที่เตียงข้างห้องน้ำก็เห็นภาพที่ทำให้ตัวแข็งทื่อ หัวใจคล้ายจะหยุดเต้นไปชั่วขณะ...นั่นคือ ภาพผู้หญิงคนหนึ่ง ผิวขาวเหมือนคนภาคเหนือ ผมยาวมาก นุ่งผ้าซิ่น กำลังนอนคว่ำหน้าแน่นิ่งไม่ผิดกับคนนอนหลับสนิท

คุณพระช่วย! ผมแน่ใจว่านอนอยู่คนเดียวแท้ๆ แล้วจู่ๆ ก็เกิดมีผู้หญิงที่ไหนไม่รู้มานอนด้วย?

มั่นใจว่าก่อนนอนได้ปิดประตูหน้าต่างเรียบร้อย อีกทั้งเป็นห้องติดแอร์แท้ๆ ไม่มีทางที่ใครจะลอบเข้ามาโดยผมไม่รู้ตัวได้อย่างเด็ดขาด

วูบหนึ่ง ผมนึกถึงผู้หญิงคนที่เห็นยืนอยู่ใกล้ต้นไม้ใหญ่ริมทาง กำลังจ้องมองผม แต่เมื่อหันไปมองก็ไม่เห็นเธอเสียแล้ว...สัญชาตญาณบอกผมว่าร่างที่มานอนอยู่ บนเตียงข้างๆ นี้จะต้องเป็นคนเดียวกับผู้หญิงคนนั้นแน่นอน!

ถ้าเป็นภูตผี เหตุไฉนจึงไม่เกรงกลัวอำนาจพระพุทธคุณเล่า?

คิดได้ดังนั้น ผมจึงตั้งนโม 3 จบ แล้วระลึกถึงคุณพระรัตนตรัย พ่อแม่และครูบาอาจารย์ ตั้งใจว่า ถ้า เธอผู้นั้นไม่ยอมออกไปก็จะเข้าไปจับต้องดูว่าเป็นอะไรกันแน่?

ไม่น่าเชื่อครับ หลังจากไหว้ 5 ครั้งแล้วภาพที่เห็นก็ค่อยๆ จางหายไป...

แต่ที่ยังคาใจมาถึงทุกวันนี้ก็คือ สิ่งที่เห็นนั้นเป็นโอปปาติกะหรือสัมภเวสี? มีบางคนให้ความเห็นว่าผมได้บรรลุธรรมขั้นอภิญญาณแล้ว และเธอผู้นั้นมาขอส่วนบุญจากผม แล้วจะได้ไปผุดไปเกิดเสียที...

จริงหรือไม่? น่าฉงนจริงๆ ครับ!

ขอบคุณ แหล่งที่มาหนังสือพิมพ์

วันเสาร์ที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

ผี เรื่องผี เรื่องเล่าสยองขวัญ สามแยกสยอง

คนในซอย เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากรถผีสิง

ถ้าท่านมาจากสี่แยกสะพานควายไปทางลาดพร้าว ผ่านวัดไผ่ตันไปหน่อยก็จะถึงสามแยกที่เลี้ยวซ้ายไปตลาดอ.ต.ก. เลยไปอีกหน่อยก็คือพหลโยธิน ซอย 18 ติดกับกรมขนส่งทางบก...ซอยนี้ไปออกสุทธิสารซอย 15 ได้ หรือจะเลยไปออกวิภาวดี 3 ก็ได้

ไม่ต้องเลี้ยวไปไหนให้เสียเวลา เพราะตรงกลางเกาะใต้ทางด่วนรถไฟฟ้านั่นมีป้อมตำรวจจราจรโดดเด่นเป็นสง่าให้ บรรดาตีนผีกับสิงห์มอเตอร์ไซค์ยำเกรง

เรื่องขนหัวลุกเกิดขึ้นที่นั่นแหละ!

เมื่อประมาณกลางเดือนธันวาคม 2549 จู่ๆ ก็มีซากรถยนต์พังยับเยินแบบหักกลาง โผล่ขึ้นมาประดิษฐานใกล้ๆ ป้อมตำรวจ...ไม่ว่าใครๆ มองเห็นเข้าก็ต้องชะงักกึกหันกลับไปมองซ้ำเพราะมันน่ากลัว น่าสยดสยองใจเต็มที

ถามว่าอุบัติเหตุร้ายแรงเกิดขึ้นที่ไหน? กับรถพังแทบเป็นเศษเหล็กแบบนี้ ไม่ว่าคนขับหรือคนที่นั่งมาด้วยจะรอดชีวิตหรือเปล่าหนอ? เหตุเกิดขึ้นที่ถนนวิภาวดีรังสิต ก.ม. 11 ใกล้ๆ นี่เอง!

ผลคือ ตายคาที่ 2 บาดเจ็บสาหัสไปเสียชีวิตที่โรงพยาบาลอีก 2 คน ว่าแต่ตำรวจอุตริลากมาตั้งโดดเด่นอยู่ที่นั่นเพราะอะไร?

คำตอบคือ เพื่อเตือนใจพวกเมาแล้วขับ ชอบซิ่ง ชอบฝ่าฝืนกฎจราจรจะได้ฉุกคิดว่า ถ้าคึกคะนองหรือประมาท อาจจะพบจุดจบแบบรถคันนั้นก็ได้...หรือใครอยากจะไปอยู่ป่าช้าก่อนอายุขัยอัน สมควรก็ตามใจ

เหนือซากรถยังมีเครื่องหมายโดดเด่นบนป้ายสีขาว ที่ตำรวจทำไว้ให้คิด

ชาวบ้านร้านช่องในละแวกนั้นมองเห็นแล้วมักเกิดอาการครั่นเนื้อครั่น ตัว...ว่าจะไม่มองก็อดเผลอหันไปมองไม่ได้ ราวกับมีอะไรมาดึงดูดสายตาโดยไม่ได้ตั้งใจเลย!

คนที่อยู่ในซอย 18 ปกติก็ไม่อยากกลับบ้านกลางค่ำกลางคืนอยู่แล้ว...ไหนจะหวาดระแวงเจ้าพ่อโพธิ์ ที่ยืนทะมึนอยู่กลางซอย เบียดเสียดกับกำแพงรั้วกรมขนส่ง...จะเฮี้ยนสุดๆ แค่ไหน ก็ขนาดไม่กล้าโค่นต้นโพธิ์ทิ้งเพื่อสร้างกำแพงก็แล้วกัน

ไหนจะโผล่ออกมาเจอซากรถที่รู้ๆ อยู่ว่าคร่าชีวิตมนุษย์ไปถึง 4 คนเมื่อไม่ช้าไม่นานมานี่เอง...ไม่อยากเสียค่ามอเตอร์ไซค์เข้าซอย 10 บาทก็ต้องตัดใจควักเงินโดยดี ถือคติว่า...เสียเงินดีกว่าโดนผีหลอก!

วันแรกๆ ที่มีซากรถน่าสะพรึงกลัวมาประดิษฐานอยู่ที่นั่นมีคนเห็นแสงไฟกะพริบวูบวาบ พอจ้องมองอีกทีก็หายไปแล้ว

คนแถววัดไผ่ตันเล่าว่าขับรถกลับบ้านตอนดึกๆ หันไปมองก็เห็นร่างดำๆ รุมล้อมอยู่รอบรถ ตำรวจจราจรอุบเงียบอยู่ในป้อม...ร่างเหล่านั้นหันมามองพลางโบกไม้โบกมือ เล่นเอาขนหัวลุกตั้ง มือไม้สั่นจนแทบจะขับรถกลับบ้านไม่ไหว

คนแถวข้างโรงแรม 24 ก็บอกว่าเคยผ่านมาตอนดึก ได้ยินเสียงแตรรถกดถี่เร็วนึกว่าโดนคันหลังบีบแตรไล่ มองทางกระจกหลังก็ไม่มี พอเสียงแตรดังขึ้นอีกทีก็นึกขึ้นได้...สะดุ้งโหยง เย็นวาบไปทั้งตัวบัดดล

มันดังมาจากรถผีสิงคันนั้นน่ะซี! เขาบีบแตรทักทายหรือเตือนสติด้วยความหวังดี...อย่ารีบร้อนไปตายเหมือนพวกเขาเลย

ยกมือไหว้ แตะเบรก...เล่าไม่อายว่าเกือบจะร้องไห้โฮ!

ทำไมวิญญาณทั้ง 4 จึงเฮี้ยนจัดขนาดนั้นล่ะ?

เมื่อนำซากรถมาไว้ที่นั่นได้ไม่นาน มีตำรวจประจำป้อมนายหนึ่ง นึกขลังอะไรขึ้นมาก็ไม่ทราบ ได้จุดธูป 1 ดอกปักไว้ที่หน้าซากรถ พลางบอกกล่าวเสียงดังฟังชัดว่า

"ถ้าหิวก็ไปหาอะไรกินที่วัดไผ่ตันนะ! กินอิ่มแล้วก็ขอให้กลับมาอยู่ที่นี่ตามเดิม...ไอ้พวกตีนผีตีนปีศาจมันจะได้ยำเกรงเสียที!"

เท่านั้นแหละได้เรื่อง!!

เชื่อว่าวิญญาณทั้ง 4 ถูกจุดธูปเรียกร้อง ไม่อาจบ่ายเบี่ยงได้เพราะควันธูปที่อวลกรุ่นสะกดไว้ เมื่อไปหาเครื่องเซ่นกินที่วัดไผ่ตันแล้ว จึงต้องกลับมา...สิงสู่อยู่ที่ซากรถน่าสยดสยองตั้งแต่นั้นมา

เวลาผ่านไปราว 3-4 เดือน รถผีสิงคันนั้นก็ถูกย้ายจากหน้าป้อมตำรวจไปแล้ว จะย้ายไปไว้ที่ไหนก็ ไม่มีใครแยแส ท่ามกลางความโล่งอกโล่งใจของผู้คนละแวกนั้น...เหลือแต่เรื่องขนหัวลุกเล่า สู่กันฟัง!

ขอบคุณ แหล่งที่มาหนังสือพิมพ์

ผี เรื่องผี เรื่องเล่าสยองขวัญ คำสาปนรก

นพพร เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากคน ตาทิพย์

สมัยหนุ่มๆ ผมอยู่ยานนาวา มีเพื่อนสนิทคนหนึ่งชื่อโหน่ง เป็นลูกคนรวย เรียนจบพาณิชย์ก็ได้งานทำแถวบางรัก แต่ไม่นานก็เปลี่ยนงานใหม่ไปแถวสี่พระยา ตลาดน้อย หัวลำโพง แต่ก็อยู่ไม่ยืดซักแห่งเดียว...มันบอกผมว่ามีแต่คนโง่ๆ ทั้งนั้น!

อาศัยที่พ่อแม่ฐานะดี แถมมีลูกชายคนเดียว เจ้าโหน่งจึงไม่เดือดร้อนเงินทอง มักจะเที่ยว กิน เล่น ไปวันๆ ตามใจชอบ

วันหนึ่งไปมีเรื่องที่บ้านใหม่ (เกือบถึงถนนตก) เขม่นกันในร้านเหล้า เจ้าโหน่งโดนเจ้าถิ่นรุมสกรัม ทั้งประเคนด้วยไม้หน้าสามจนสลบเหมือด ต้องไปนอนโรงพยาบาลสิบกว่าวันถึงจะกลับบ้านได้

ตั้งแต่นั้นมาเจ้าโหน่งก็เปลี่ยนนิสัยเหมือนเป็นคนละคน!

เคยชอบเที่ยวเตร่ สนุกสนานเฮฮาก็กลับนิ่งเงียบ ไม่ค่อยชอบออกจากบ้าน ร่างกายผอมซูบลง นัยน์ตาเลื่อนลอยไม่จับคน บางทีก็พยักหน้าหงึกๆ กับใครไม่ทราบ บางทีก็พูดพึมพำ หัวเราะหัวใคร่อยู่คนเดียวเหมือนคนบ้าๆ บอๆ จนชาวบ้านนึกว่าสติไม่ดีเพราะโดนตีหัวคราวนั้น

ผมเป็นเพื่อนสนิทที่ไปมาหาสู่บ่อยๆ ต้องยืนยันว่าเจ้าโหน่งไม่ได้บ้าๆ บอๆ พูดคุยกันรู้เรื่อง ถามไถ่อะไรก็จำได้ พ่อแม่มันก็ชอบให้ผมไปบ้านเขา ลูกชายจะได้พูดคุย ยิ้มแย้มแจ่มใส ไม่งั้นมักจะหมกตัวเงียบอยู่ในห้องคนเดียว

ไม่ช้าผมก็ต้องขนหัวลุกเพราะเจ้าโหน่งนี่เอง!

ตอนบ่ายวันนั้นเรานั่งคุยกันที่โต๊ะหินหน้าบ้าน มีต้นมะม่วงกับชมพู่ร่มครึ้ม เจ้าโหน่งมองไปที่รั้วไม้ระแนงแล้วถามว่าเห็นใครไหม? ผมเอียงคอมองๆ แล้วส่ายหน้า บอกว่าข้าจะเห็นได้ยังไงรั้วมันบัง

"ไม่ใช่นอกบ้าน...ที่ใต้ต้นมะม่วงริมรั้วข้างในต่างหากล่ะ! ผู้ชายตัวดำๆ ล่ำเตี้ยน่ะ มันกำลังมองเราอยู่ด้วย"

ผมส่ายหน้า ยืนยันว่าไม่เห็นใครเลย เจ้าโหน่งก็ถอนใจยาว

"มันชื่อสิงห์ ตามข้ามาจากโรงพยาบาลแน่ะ!"

"คิดไปเองมั้ง? ไม่ก็ตาฝาด..."

"เปล่า ไอ้สิงห์ตามข้ามาจริงๆ มันโดนสิบล้อทับตายคาที่ ก่อนข้าจะกลับบ้าน 2-3 วันเท่านั้น...มันมาขออยู่ด้วย! นั่นไง...มันกำลังยิ้มฟันขาวกับเอ็งแน่ะ"

ผมขนลุกซ่า ทั้งที่เป็นกลางวันแสกๆ ก็เถอะเอ้า! ตอนแรกคิดว่าเพื่อนเป็นบ้าไปแล้ว แต่คำพูดต่อมาของมันทำให้ผมเสียวสันหลังมากกว่าเดิม

"ข้ารู้ว่าเอ็งไม่เห็น ใครๆ ก็ไม่เห็น มีแต่ข้าคนเดียวที่เห็นถนัด" เจ้าโหน่งถอนใจยืดยาวอีกครั้ง นัยน์ตาที่จมลึกอยู่ในเบ้าราวจะขยายใหญ่ยิ่งกว่าเดิม "ไม่ใช่ ไอ้สิงห์คนเดียวนะ...นั่น! ตาปลอดกับลุงฉ่ำ ยายเขียวกับป้าแสง! ยืนมองเราอยู่ที่หน้าประตูนั่นไง!"

"ไอ้โหน่ง..." ผมคราง ปากคอแห้งผากไปถนัด "เอ็งจะเห็นได้ยังไงวะ...ก็พวกนั้นตายหมดแล้วนี่หว่า"

"อ้าว? ไอ้เด่นเดินมาอีกคนแล้ว ที่มันตกน้ำตายตอนต้นปีน่ะ"

ผมตัวแข็งลิ้นแข็งไปหมดจนพูดอะไรไม่ออก จ้องมองแทบตาถลนไปยังประตูรั้วก็ไม่เห็นใครที่เจ้าโหน่งเอ่ยชื่อมา...ไอ้ เด่นวัยสิบขวบที่ตกน้ำตายก็ไม่เห็น!

คุณพระคุณเจ้า! ผมเห็นเจ้าโหน่งยิ้มกว้างขึ้น กวักมืออย่างอารมณ์ดี

"มาซีวะไอ้เด่น อยากคุยกันก็เข้ามา" มันพูดเสียงดังก่อนจะพยักหน้าช้าๆ "เออ! งั้นก็แล้วไป" แล้วหันมายิ้มกับผม "ไอ้เด่นมันบอกว่าวันหลัง มันรู้ว่าเอ็งกลัวมัน"

เจ้าโหน่งทั้งเห็นผี ได้ยินเสียงผีด้วยหรือเนี่ย? ตอนแรกคิดว่ามันหยอกล้อผมเล่นตามประสาเพื่อนฝูง แต่วันต่อๆ มามันก็ชี้ให้ดูมะม่วงหน้าบ้านต้นนั้น...บอกว่ามีผู้หญิงที่ไหนไม่รู้นั่ง อยู่บนนั้น...ผีผูกคอตาย!

"สงสัยจะตายมานานแล้วว่ะ พ่อแม่ก็ไม่ยอมเล่าให้ฟัง ตอนกลางคืนข้าเห็นแกห้อยโตงเตง กวักมือเรียกข้าไปอยู่ด้วย พอตอนกลางวันก็นั่งร้องไห้อยู่บนกิ่งใหญ่นั่นไง"

ถึงจะมองไม่เห็นอะไรเลยแต่ผมก็ขนลุกซ่า...กลับบ้านไปถามพ่อ ได้ความว่าญาติข้างแม่เจ้าโหน่งมาอาศัยอยู่ไม่นานก็ผูกคอตายมาสิบกว่าปี แล้ว...สาเหตุจากท้องไม่มีพ่อ

ผมแน่ใจว่าเพื่อนไม่ได้บ้า แต่เกิดมีญาณวิเศษหรือพรสวรรค์หลังจากโดนตีจนสลบ...คิดว่าจะห่างๆ ไปสักพักก่อน แต่อีกไม่กี่วันต่อมาเจ้าโหน่งก็ผูกคอตายที่ต้นมะม่วงริมรั้วนั่นเอง...ผี ผูกคอเรียกเพื่อนผมไปอยู่ด้วยกันได้สำเร็จแล้ว!

ขอบคุณ แหล่งที่มาหนังสือพิมพ์

วันอังคารที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

ผี เรื่องผี เรื่องเล่าสยองขวัญ แฟลตผีสิง

งานโครงสร้างคอนกรีตธนาคารทหาร ไทยสำนักงานใหญ่ยังเร่ง แสง สปอตไลท์ยามค่ำคืนคงส่องสว่างถึงรุ่งเช้า รถโม่คอนกรีตสำเร็จรูปยังวิ่งเข้าออกแทบตลอดเวลา สถานีขนส่งผู้โดยสารสายเหนือและตะวันออกเฉียงเหนือหรือหมอชิตยังคราคร่ำไป ด้วยผู้คนเบียดเสียดยัดเยียด

ถือกระเป๋าเดินทางและข้าวของกล่อง กระดาษ สะพานลอยคนเดินข้ามถนนพหลโยธินจากฝั่งหมอชิตไปสวนจตุจักรยังเนืองแน่นหาที่ เดินแทบไม่ได้ แต่ละก้าวของคนแปลกหน้าแต่ละคนยังพัวพันกันไปมาไหลลื่นไปสู่จุดมุ่งหมาย เดียวกัน

6 โมงเช้า ผมกับเบิ้มลงจากรถทัวร์สายขอนแก่น-กรุงเทพฯ ยืนรอรถเมล์ได้สักพักก็ไปขึ้นสาย 59 จากหมอชิตผ่านไปลงอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ จากนั้นเดินย่ำไประยะไม่ห่างกันนักก็มาถึงที่พัก ป้ายกระจกสูงริมเสาไฟบอกชื่อแฟลตพร้อมสัญลักษณ์ดาว 5 ดวง

เราขึ้น ลิฟท์มาชั้น 5 เข้าไปในห้อง ก่อนที่จะรีบอาบน้ำ แต่งตัว ลงมาทานข้าวข้างล่าง ผมยังไม่ชินกับมลพิษทางอากาศของที่นี่ รู้สึกหายใจอึดอัด พอใช้นิ้วมือแคะตามซอกรูจมูกออกมาดู เห็นเขม่าควันดำเกาะโดยรอบ เบิ้มพาไปไซต์สาธรซิตี้หน่วยงานก่อสร้างอาคารสูงออฟฟิศคอนโดมิเนียม 29 ชั้น ขณะนั้นเพิ่งปรับพื้นที่และตอกเข็มพืดหรือชีตไพล์อยู่

ความจริงแล้ว ผมเรียนจบช้าไป 1 เทอมในระหว่างรอผลสอบวิชาสุดท้าย ก็เจอเบิ้มกลับมารับใบทรานสคริปต์และลงทะเบียนรับพระราชทานปริญญาบัตร เบิ้มชวนผมไปทำงานที่กรุงเทพโดยให้ทางคณะออกใบรับรองคาดว่าจะจบเพื่อรีบไปหา งานทำ

งานช่วงนั้นกำลังบูมเป็นยุคทองของเรียลเอสเตท(2530-2540) หรือธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ อันได้แก่การจัดสรรหรือรับเหมาก่อสร้างบ้านและที่ดิน ถนนสาธรเหนือช่วงนั้นช่างหาอาหารรับประทานยากจริง ๆ ตอนเที่ยงต้องให้แม่บ้านไปซื้อข้าวแกงที่ร้านเพิงหมาแหงนใส่กล่องโฟมกลับมา ให้พนักงานออฟฟิศหลาย ๆ คน

4 โมงเช้าพี่โจก็ตามมาถึงหน่วยงาน เบิ้มกับพี่โจพักที่แฟลตห้องเดียวกัน ก่อนจะมีผมตามมาสมทบอยู่ด้วย ตอนเย็นเลิกงาน พี่โจแยกไปหน่วยงานก่อสร้างฐานรากของบริษัทเสาเข็มอีกแห่งหนึ่ง คนเดียวทำ 2 บริษัท กลางวันที่หนึ่ง

กลางคืนอีกที่หนึ่ง เป็นช่วงที่เมคมันนี่ (MAKE MONEY) อย่างเดียว เบิ้ม สตาร์ทงานที่เงินเดือน 12,000 บาท เหมารวมโอที สำหรับวิศวกรเพิ่งจบใหม่ ถือว่าเริ่มต้นได้ไม่เลว ก่อนกลับเบิ้มแวะทานข้าวและจีบน้อง ๆ พยาบาลแถวโรงพยาบาลกรุงเทพคริสเตียน

ก่อน เข้าแฟลตเบิ้มยังชวนผมเดินเล่นต่อที่ห้างสรรพสินค้าโรบินสันอนุสาวรีย์ฯ 3 ทุ่มก็ได้เวลาล้มตัวนอนบนฟูก สภาพภายในห้องยังรกระเกะระกะจัดข้าวของหรือชั้นวางไม่ลงตัว โทรทัศน์ขนาด 14 นิ้วยังไม่มีชั้นวาง เพราะเพิ่งย้ายเข้ามาอยู่ด้วยกันใหม่ ๆ

หลอด ไฟยังเป็นแบบกลมส่องแสงสีส้มนวล ถึงแม้จะเหนื่อยเพลียจากเมื่อคืนที่นั่งรถทัวร์มาก็ไม่สามารถทำให้ผมข่มตา หลับลงไปได้ เพราะเหมือนกับมีใครกำลังจ้องมองผมอยู่ในมุมมืด ผมรู้ตัวอีกครั้งราวตี 3 เมื่อพี่โจกลับจากคุมงานเทคอนกรีตหล่อเสาเข็มแถวลาดพร้าว แกถอดเสื้อผ้านอนหลับปุ๋ยไปเลยด้วยความอ่อนเพลีย

ตื่นเช้าผมโทรศัพท์ บอกพี่ชายให้มารับไปอยู่ด้วยที่อพาร์ตเม้นต์แถวฝั่งธนบุรี ตอนขนของออกมาจากห้องผมสังเกตที่บานประตูมียันต์ปูนขาวที่นิมนต์พระมาเจิม แต่เหนือวงกบประตูกลับปรากฏตะปูเหล็กหัวสีแดงตอกคาอยู่ คล้ายการสะกดวิญญาณชั่วร้ายไม่ให้อาละวาดตามที่ผมเคยอ่านเจอในนิตยสารเรื่อง ผี

พอไปอยู่ที่ใหม่กับพี่ชายได้หนึ่งคืน เช้าวันถัดมาผมก็สมัครงานได้ทำคอนโดแถวพัทยา เงินเดือน 12,000 บาท เบี้ยเลี้ยงต่างจังหวัดอีก 3,000 บาท รวมเป็น 15,000 บาท ก็เป็นบริษัทเดียวกันกับที่พี่โจและเบิ้มทำที่กรุงเทพฯนี่เอง ตอนเย็นแวะไปทานข้าวกับเบิ้มแถวอนุสาวรีย์ฯ

“อย่าหาว่าผมยังงั้นยัง นี้เถอะนะ ผมว่าห้องที่เราอยู่ในแฟลตห้าดาวนี่ค่อนข้างชอบกล เหมือนมีใครมานั่งจ้องในมุมมืด ทำให้เมื่อคืนก่อนผมนอนไม่หลับเลย”

“คงผิดที่ผิดทางมั้ง เดี๋ยวก็เคยชิน” เบิ้มแย้ง

“ไม่ ไหวว่ะ ไม่เห็นเหรอพอถึงเช้าผมรีบย้ายไปตั้งหลักใหม่อยู่กับพี่ชายแถวฝั่งธนฯ” พูดจบผมดูดน้ำชาดำเย็นจนหมดแก้วขณะที่เพิ่งทานข้าวมันไก่ได้ครึ่งจาน

“ความจริงพี่โจก็เจอเหมือนกัน คล้ายกับมีเด็กมาวิ่งไล่กระโดดไปมาข้ามตัวแก”เบิ้มสารภาพ

“นั่นไง นึกแล้วเชียว”

“ร.ป.ภ. ที่นี่บอกว่า ห้องนั้นเคยมีคนฆ่าตัวตายยกครัว 5 ศพ พ่อแม่ลูก ถ้ายังเฮี้ยนอยู่ขนาดนี้เห็นทีต้องชวนพี่โจย้ายที่อยู่ใหม่ตอนสิ้นเดือน”สี หน้าเบิ้มจริงจังกับที่พูด

“พรุ่งนี้วันที่ 1 พฤศจิกา ผมจะไปพัทยา เอาไว้วันที่ 15 เงินเดือนออกแล้วเจอกันที่เฮ้ดออฟฟิศ”

ตุลาคม 2543

ผม ยังทำงานกับบริษัทรับเหมาก่อสร้างอาคารเรียนแถวสามย่าน เบิ้มทำงานให้กับบริษัทวิศวกรที่ปรึกษาของฝรั่ง เฮ้ดออฟฟิศอยู่อาคารเลครัชดา ส่วนพี่โจพ้นวังวนธุรกิจก่อสร้างที่นับวันมีแต่จะทรงกับทรุดไปเอาดีทางขาย ประกันชีวิต เพิ่งกลับจากเดินทางไปดูงานต่างประเทศที่ฮ่องกง , ญี่ปุ่นและสหรัฐอเมริกา เรา 3 คนไม่เคยเหยียบย่างกลับไปอยู่แฟลตที่อนุสาวรีย์ฯกันอีกเลย

“หนึ่ง…หนึ่ง….. ห้า…..จู๊น! ส่งไก่ถึงที่..อะ.ชั้นนี้มันทำไมถึงเงียบเชียบพิลึกนักวะ” นายดนัยพนักงานส่งอาหารตามสั่งเดินไปตามระเบียงห้อง หยุดกึกที่ห้องหมายเลข 506 ใช้มะเหงกเคาะประตูตามโค้ดไป 3 ที ยังคงเงียบเหมือนไม่มีสิ่งมีชีวิตใดๆเคลื่อนไหวอยู่ภายใน

“ชะ..เอ๊ย! พวกคุณแอบย่องมาข้างหลังผมตั้งแต่เมื่อไหร่ตกใจหมดเลย”

นาย ดนัยหันหน้ากลับมามองผู้ที่ยืนอยู่เบื้องหลังจากหัวจรดเท้า หนึ่งหญิง สองชาย วัยรุ่นอายุยังน้อย “ว่าแต่คุณเป็นเจ้าของห้องและสั่งไก่ เคเอฟซี ผมด้วยใช่มั้ยครับ”

“ใช่…ถูกต้อง ขอเปิดประตูห้องก่อนนะ”

ว่า พลางชายหนุ่มร่างสูงใช้มือไขลูกบิดเปิดประตูเข้าไป สายตาดนัยสอดส่องตามประสาคนอยากรู้อยากเห็น ในห้องรกอีนุงตุงนังไปด้วยเครื่องเสียงระดับไฮ-เอ็นด์ ลำโพงเซอร์ราวนด์ขนาดเบ้อเริ่ม 5 ตัว พร้อมขาตั้งสแตนด์อย่างดีและทีวีโปรเจคเตอร์จอมหึมา

กลิ่นเหล้า เบียร์ คละคลุ้ง ฝาห้องตั้งขวดเปล่าของบลูอีเกิ้ลเรียงกันเป็นแถบ แสงโคมไฟสลับสี แดง เขียว เหลือง เมื่อสะท้อนกับลูกคริสตัลกลางห้องดูแล้วตาลายพานทำให้ปวดเศียรเวียนเกล้า นี่มันดิสโก้เธ็คจัดงานปาร์ตี้ยาอีขนาดย่อมได้สบาย

กำลังสอดส่ายสาย ตาซอกแซกเพลิน ๆ ดนัยก็ตกใจกับพลังเสียงกระหึ่มของลำโพงชุดมินีเธียเตอร์กับเพลงแร็บ ร็อควงลิมพ์บิซคิท (LIMP BIZKIT) “TAKE A LOOK AROUND” ซึ่งประกอบภาพยนตร์มิชชั่นอิมพอสสิเบิ้ล 2 (M:I-2)

“250 บาท ครบพอดี” เจ้าหนุ่มโย่งนับแบงก์จากกระเป๋าส่งมาให้

“โอ.เค.ครับ อย่าลืมเรียก เคเอฟซีดิลีฟเวอรี่ มาให้บริการในครั้งต่อไปอีกนะครับ..อืมม์พวกคุณคงอยู่กันหลายคนเห็นมีเด็ก เล็กเด็กน้อยด้วย”สายตาดนัยจ้องไปที่มุมมืดของห้อง

“เด็กที่ไหน มึงอย่าเสือกรุ้มากแส่ไปบอกใครว่ากูมั่วสุมกันอยู่ที่นี่ เดี๋ยวถูกตบบ้องหูเอานะโว้ย!”

“ผมกลัวแล้วลูกพี่ ไปล่ะครับ” ดนัยทำเสียงล้อเลียน

6 ทุ่มก่อนได้เวลารวมพล กับแกล้มข้าวปลาที่ซื้อมาจากข้างนอกก็แล้วเสร็จพอดี เจ้าโย่งมวนยาเส้นกัญชาเข้าที่ยัดใส่บ้อง สูดควันเข้าเต็มปอด ปากคาบขาน่องไก่ขบเคี้ยวไปมา แล้วพ่นแต่กระดูกที่เหลือลงพื้น

เพื่อน ชายและหญิงจัดเรียงโซฟาใหม่ให้ชิดผนัง เอาน้ำแข็งจากตู้เย็นมาเคาะเทใส่กระติก ข้างล่างมอเตอร์ไซคล์ 4-5 คัน วิ่งเข้ามาจอดใต้ถุนแฟลต สักพักลิฟท์ก็พาแขกรับเชิญขึ้นจากชั้นล่างมาส่งถึงชั้น 5 พอประตูลิฟท์เปิดเหล่าพลพรรคแฟนปีศาจแดงต่างแย่งกรูกันออกมา ราวกับนักฟุตบอลวิ่งออกจากห้องเก็บตัวมุดอุโมงค์วิ่งขึ้นสู่สนาม

“มาทันเวลาถ่ายทอดสดพอดีพรรคพวกเชิญคร้าบ…..เชิญเข้ามาข้างใน” เจ้าโย่งยืนทักทายเพื่อน ๆ ที่โถงทางเดิน

“กูเอาแมนยูต่อครึ่งควบลูก ไอ้โย่งมึงกล้ารองหรือเปล่าวะ” บักน้อยผู้มาเยือนท้าทาย

“ได้เลย ถ้าไม่อั้นเท่าไหร่เท่ากัน”

พอ เข้าไปสุมหัวกันในห้องนับได้รวม 12 คน แรกๆ ก็เชียร์บอลกันสนั่นหน้าทีวีโปรเจ็คเตอร์จอยักษ์ พอพักครึ่งแรกเสียงเพลงเฮฟวี่เมทัลก็ดังกระหึ่มเสียงแต่ละคนแหกปากร้องตาม ฟังไม่ได้ศัพย์ ราวกับเสียงปีศาจจากนรกกำลังร้องดิ้นกันให้พล่านคาน้ำร้อนในกระทะทองแดง

ชาย หญิงจับคู่เคล้าคลึงกอดก่ายขึ้นขย่มกันบนโซฟา ควันบุหรี่ตลบอบอวน ที่เมาเหล้าหนักควบคุมตัวเองไม่ได้ก็คลานกลิ้งไปมากับพื้น และแล้วไฟในห้องก็ดับพรึ่บ สิ้นเสียงเพลงปีศาจทุกอย่างอยู่ในภาวะเงียบงัน เจ้าโย่งอาศัยแสงสลัวจากกระจกช่องแสงภายนอกเดินไปหยิบไฟฉายใกล้ชั้นวางแผ่น ซีดี มีมือเล็ก ๆ เกาะยึดตามแข้งขาและเป้ากางเกง ทำให้มันเสียอารมณ์

“เฮ้ยอย่าเล่นพิเรนทร์ กูกำลังหาไฟฉายอยู่”

เมื่อ คว้าไฟฉายได้กดส่อง สำแสงสว่างกระจายไปกลางห้อง ภาพที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้าถึงกับทำให้เจ้าโย่งตะลึงจังงังกับศพเด็กชายหญิง อายุไล่เลี่ยกัน 2-3 ขวบ 3 คน นอนน้ำลายฟูมปากตาถลน ข้าง ๆ คงเป็นมารดาในสภาพไม่ต่างกัน

รอบคอเขียวช้ำลิ้นจุกปาก ใบหน้าขาวซีด เส้นเลือดโปนเขียว กลอกตาหันมามอง เจ้าโย่งเบี่ยงลำแสงจากไฟฉายไปผนังระเบียงข้างห้องน้ำก็เห็นเงามืดของผู้ชาย ห้อยต่องแต่งผูกคอตายคาขื่อ

“ผะ….ผี…ผีหลอกโว้ย!”

เจ้าโย่ง กระโจน ตีนเหยียบลำตัวเผ่นข้ามพรรคพวกบางคนที่ยังนอนเมาอ้อแอ้สลบไสล เปิดประตูโกยอ้าวลงบันไดหนีไฟโดยไม่ต้องยืนรอลงลิฟท์ สวนทางตำรวจสายตรวจที่ระดมกำลังปิดล้อมทางขึ้นลงและเตรียมเข้าตรวจค้นห้อง ที่มีพลเมืองดีแจ้งทางโทรศัพท์ว่า มีกลุ่มวัยรุ่นจัดปาร์ตี้ยาอีมั่วเซ็กส์กันในแฟลตกลางกรุงใกล้อนุสาวรีย์ชัย สมรภูมิ

พอลงมาถึงถนนข้างล่างเจ้าโย่งโบกมือแล้วเข้าไปนั่งในรถแท็กซี่

“ไปลงที่ไหนครับ” โชเฟอร์แท็กซี่ถามขณะนิ้วมือกดปุ่มมิเตอร์ขึ้นต้นที่ตัวเลข 35 บาท

“เออ…ปะ…ไป…สะพานควาย..แถวแยกสุทธิสารนะ” …สั..ก..พั..ก…

“คุณ…คุณ..ถึงสุทธิสารแล้วคุณจะลงตรงไหน”

เจ้าโย่งลุกขึ้นนั่งตัวตรง หายจากอาการสะลึมสะลือมองออกไปนอกกระจกรถ

“เฮ้ย นี่มันยังอยู่แถวอนุสาวรีย์ชัยฯ นี่หว่า! มึงขับรถประสาอะไรกันวะ”

ภาพ จากกระจกข้างรถสะท้อนใบหน้าโชเฟอร์คนขับรถแท็กซี่ ศีรษะแหว่งหายไปครึ่งซีก ตาอีกข้างโบ๋ ลูกตาทะลักลงมาใต้กระดูกโหนกแก้ม เลือดสดๆไหลออกจากรูจมูกและปาก เจ้าโย่งพยายามเปิดประตูรถแต่เปิดไม่ออก มันจึงแหกปากร้องตะโกนสุดเสียง

“ช่วย….ช่วยด้วย!!!”

สักพักเหมือนกับมีผ้าชุบน้ำเย็น ๆ มาเช็ดรอบคอและหน้าผากทำให้โย่งรู้สึกตัวตื่นขึ้น

“นี่…นี่..กูฝันไปหรือเปล่าวะ แล้วเพื่อน ๆ เราหายไปไหนกันหมด”

“ไอ้โย่งเอ็งเมากัญชาจนเพี้ยนหนักไปแล้ว บอกว่าอย่าริไปลองก็ไม่เชื่อ พรรคพวกเราน่าจะอยู่ในเธ็คสวอนอินน์แถวพญาไท ยังมาไม่ถึงว่ะ”

“ไอ้เบื๊อกกูอยู่ที่นี่ไม่ได้แน่ กูกลัว พวกเราเผ่นกันเถอะ ที่นี่มันแฟลตผีสิงชัด ๆ”

ขอบคุณ แหล่งที่มาหนังสือพิมพ์

ผี เรื่องผี เรื่องเล่าสยองขวัญ วิญญาณใส่บาตร

พิมพ์พร เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกเมื่อเห็นวิญญาณใส่บาตร

ตั้งแต่เด็กๆ มาแล้วที่ดิฉันได้ฟังเรื่องผีมากมายนับไม่ถ้วน บางเรื่องก็ชวนให้ฉุกคิดค่ะ เช่น คนที่ขับรถชนคนตายแล้วบึ่งหนี วันดีคืนดีก็ได้กลิ่นศพในรถ หรือเห็นใครมานั่งตัวแข็งทื่ออยู่ที่เบาะหลัง...วิญญาณอาฆาตติดตามทวงหนี้ ชีวิตจนตกใจขับรถพุ่งออกนอกถนนไปเลย

ยิ่งคนที่ฆ่าเขาตายยิ่งน่าขนลุกนะคะ!

ลองนึกดูสิิ ถึงจะรอดตัวจากมือกฎหมายไปได้ แต่เขาจะต้องนึกถึงหน้าตาของคนที่ตัวฆ่าอยู่ตลอด นัยน์ตาที่เจ็บปวด โกรธเกรี้ยว ติดตามจ้องมองอย่างไม่ลดละ ไม่ว่าตื่นหรือหลับ...ถ้าเกิดมาโผล่ที่หน้าต่างหรือเคาะประตูเรียก มองเห็นเต็มตาจะตกใจปานใด

วันดีคืนดีอาจจะนอนรออยู่บนเตียงก็ได้... สยองค่ะ!

ดิฉันเองเคยพบผีมาแล้ว แต่ก็ไม่เหมือนกับเรื่องผีที่เคยฟังมาก่อนเลย ขอยืนยันว่าเป็นประสบการณ์ที่แปลกประหลาดที่สุดในชีวิตก็แล้วกัน

สมัยเด็กๆ ดิฉันอยู่เทเวศร์ซอย 1 กับป้าขวัญ พี่สาวของพ่อ ตอนเช้าๆ จะตื่นพร้อมป้าไปใส่บาตรที่หน้าบ้านเป็นประจำ พระจากวัดนรนาถจะเดิน อุ้มบาตรช้าๆ เข้าซอยมา ชาวบ้านก็ตั้งโต๊ะวาง ของใส่บาตรบ้าง ถือขันข้าวและถุงแกงหรือผัดบ้าง ถ้าใส่บาตรพระรูปเดียว

ป้าขวัญต้องตั้งโต๊ะเพราะใส่บาตรพระวันละ 3 รูป คุณยายนวลบ้านเยื้องๆ กันจะใส่บาตรพระรูปเดียว ส่วนมากมักจะเป็นหลวงตาชื่น จนคนแถวนั้นพูด กันล้อๆ ว่าเป็นพระขาประจำ

พอหลวงตาชื่นรับบาตรจากคุณยายนวลและให้ศีลให้พรเรียบร้อยแล้ว จึงข้ามถนนมาทางบ้านเรา

คุณยายนวลอายุราว 70 ปี รูปร่างแบบบาง ผมสีขาวเกล้ามวยไว้เรียบร้อย สวมเสื้อแพรแขนสั้น สีอ่อน นุ่งซิ่นสีเข้ม หน้าตาผ่องใสใจดี ใช้ชีวิตบั้นปลายอยู่กับลูกหลานอย่างมีความสุข คุณยายจะยิ้มให้ดิฉัน ทุกเช้า บางวันรอพระก็ทักทายกับป้าขวัญ

วันหนึ่งก็ได้ข่าวร้าย คุณยายนวลเป็นลมหมดสติในบ้าน ลูกหลานรีบนำส่งวชิรพยาบาล แต่พอไปถึงคุณยายก็สิ้นใจอย่างสงบ

"คุณยายนวลเป็นคนดี" ป้าขวัญบอกดิฉันเสียง เศร้าๆ วันไปฟังสวดศพที่วัดมกุฏฯ "ทำแต่บุญกุศลมาตลอดชีวิต ป้าคิดว่าแกต้องไปสู่สุคติแน่นอน"

"ไปสวรรค์ใช่ไหมคะ?"

ดิฉันเอียงคอถาม ป้าขวัญก็พยักหน้ายิ้มๆ แทน คำตอบ...ดิฉันมองไปที่รูปถ่ายคุณยายนวลที่ตั้งอยู่หน้าโลง ดูเหมือนนัยน์ตาคู่นั้นจะจ้องมองดิฉันตลอดเวลา ปากบางๆ ติดรอยยิ้มก็ดูจะกว้างขวางขึ้นกว่าเดิม

น่าแปลกที่ดิฉันไม่รู้สึกกลัวแม้แต่นิดเดียว...อาจจะเป็นเพราะเราพบกัน ยิ้มให้กันแทบทุกเช้าก็เป็นได้นะคะ

วันรุ่งขึ้น เราสองคนป้าหลานก็ออกไปใส่บาตรตามเคย!

ดิฉันมองไปที่บ้านคุณยายนวลด้วยความเคยชิน เห็นแต่ประตูปิดเงียบ ไม่มีร่างเล็กบางของคุณยายมายืนอุ้มขันเงินรอใส่บาตร บางทีก็ส่งยิ้มมาให้ดิฉัน...คิดแล้วใจหายไม่น้อยและก็พลอยเกลียดความตายมากๆ เลยค่ะ

และแล้ว...หลวงตาชื่นเดินนำหน้าพระรูปอื่นๆ เข้าซอยมา ท่ามกลางแสงแดดอบอุ่นของยามเช้า ป้าขวัญขยับตัวเพื่อจะใส่บาตรตามความเคยชิน ดิฉันก็ยืนข้างๆ อย่างเตรียมพร้อม..ก่อนจะย่นคิ้วประหลาดใจ

ภาพที่เห็นคือหลวงตาชื่นยืนเปิดฝาบาตร ก้มหน้า นิดๆ อยู่หน้าบ้านคุณยายนวลนั่นเองทั้งๆ ที่ไม่มีร่างของคุณยายอยู่ที่นั่น แถมประตูรั้วก็ปิดสนิท...ดิฉันสะกิดแขนป้าขวัญด้วยความสงสัย แต่โดนดุเสียงแหบเครือว่า...เงียบนะ!

หลวงตาชื่นข้ามถนนมาที่บ้านเราแล้ว...ป้าขวัญ ตักข้าวใส่บาตรด้วยมือสั่นนิดๆ ดิฉันใส่ถุงผัดพริกขิงและขนมถ้วยฟู เสียงป้าขวัญสั่นเครือถามว่า...หลวงตาแวะรับบาตรที่บ้านคุณยายนวลด้วยหรือ คะ?

"เจริญพร ถูกแล้วโยม" หลวงตาตอบเสียงอ่อนโยน

"อีกสองวันก็จะเผาคุณโยมนวลแล้วใช่ไหม? เจริญพร..."

หลวงตาชื่นออกเดินโปรดสัตว์ต่อไป ดิฉันได้ยินเสียงป้าขวัญครางเบาๆ อยู่ในลำคอ มองเห็นร่างแบบ บางของคุณยายนวลยืนอยู่ที่นั่น หลิ่วตายิ้มให้ดิฉัน นิดๆ คล้ายจะยั่วเย้า ก่อนจะหมุนตัวกลับเดินช้าๆ หายลับไป...

ขอให้ขึ้นสวรรค์เร็วๆ นะคะ คุณยาย!

ขอบคุณ แหล่งที่มาหนังสือพิมพ์

วันอาทิตย์ที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

ผี เรื่องผี เรื่องเล่าสยองขวัญ เนินอาถรรพณ์

สุชิน เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากวงศ์สว่าง

สมัยเด็กผมอยู่แถววงศ์สว่างใกล้ ๆ อู่รถเมล์ศิริมิตร บ้านช่องยังไม่หนาตานัก แต่ก็มีมากขึ้นทุกทีเพราะความเจริญมาถึงอย่างรวดเร็ว

เขาลือกันว่าแถวนั้นเป็นป่าช้าเก่าครับ!

เท็จจริงยังไงไม่รู้ แต่เด็กๆ อย่างพวกเราก็กลัวกัน ทุกคน โธ่! เด็กที่ไหนไม่กลัวผีล่ะ? ขอถามหน่อยเถอะ ขนาดผู้ใหญ่หลายๆ คนยังกลัวนี่นา คนแก่เฒ่าก็ยังไม่วายกลัวผี ผมเคยได้ยินยายหุ่นขายห่อหมกที่หน้าอู่แกพูดกับลูกหลานบ่อยๆ ว่า

"ถ้าข้าตายล่ะก็อย่าทิ้งข้าไว้ที่วัดคนเดียวนะ ข้ากลัวผีว่ะ!"

ขนาดคิดว่าตัวเองตายไปแล้ว กลายเป็นผีไปแล้ว แกยังไม่วายกลัวผี...พวกหนุ่มๆ ปากคะนองบางคน ก็หัวเราะขบขันบางคนยังพูดจาล้อเลียนแกเล่นอย่างสนุกปาก

"ยายไม่คิดมั่งเหรอ ว่าผีมันเห็นยายมันก็กลัวตัวสั่นเหมือนกันนะยาย"

ยายหุ่นด่าโขมงโฉงเฉง พวกเด็กๆ หัวเราะชอบใจ แต่ตกเย็นหรือโพล้เพล้หน่อยก็รีบแยกย้ายกันกลับบ้านแล้วล่ะครับ ทางเข้าหมู่บ้านก็ขรุขระพอๆ กับทางเข้าอู่รถเมล์ แถมยังเปล่าเปลี่ยวกว่าด้วยซ้ำเพราะไม่ได้ติดถนนใหญ่ แสงไฟฟ้าอย่าไปฝันให้ยาก สองข้างทางมีแต่ต้นไม้ ใหญ่ๆ กับพวกไม้ล้มลุก ป่าละเมาะกับพงหญ้ารกครึ้ม...จะมีอะไรซุกซ่อนจ้องมองเราอยู่ก็ไม่รู้

มีเนินโล่งๆ ใต้ต้นมะขามเฒ่า เพราะเนินเจ้ากรรมนี่เองที่ทำให้ชาวบ้านลือกันเป็นตุเป็นตะว่าเป็นหลุมศพ เป็นป่าช้าเก่า...ยืนยันว่าผีดุบรรลัยจริง ๆ เอ้า!

คนที่เดินผ่านเนินมรณะนั่นตอนกลางคืน หรือแม้แต่ตอนเย็นๆ ที่แดดผีตากผ้าอ้อมเหลืองอร่ามก่อนจะจางหาย เคยเห็นภาพชวนขนหัวลุกมาเล่าตรงกันทุกคนเลยครับ

นั่นคือ หันไปมองที่เนินนั่นโดยไม่รู้ตัว เหมือนกับมีอะไรดลใจ หรือดึงดูดสายตา...เห็นชายคนหนึ่ง นั่งยองๆ สูบยาแดงวาบๆ ท่อนบนไม่สวมเสื้อเห็นชัดว่าผอมกงโก้ ส่วนท่อนล่างจะเป็นกางเกงขาก๊วยหรือโสร่งก็เห็นไม่ชัด แต่จะนั่งหันข้างให้....

ดูโดดเด่นตัดกับทิวไม้ทิศตะวันตกที่ฟ้าแดงฉาน เพราะดวงอาทิตย์เพิ่งจะลับทิวไม้ไปหยกๆ

...และแล้วใบหน้าที่เป็นรูปเงาดำๆ ก็ค่อยๆ หันมามองอย่างเชื่องช้า แสยะยิ้มเห็นฟันขาวแต่ตาแดงจ้าปาน แสงไฟ เสียงหัวเราะแหบโหยดังแว่วมากระทบหูบัดดล

วิ่งครับวิ่ง! วิ่งกันไม่คิดชีวิต วิ่งล้มลุกคลุกคลาน วิ่งชนิดกระเซอะกระเซิง จนแทบจะขาดใจไปตามๆกัน!

วันหนึ่งผมก็เจอเข้ากับตัวเองอย่างจังๆ

วันนั้นผมไปที่อู่รถกับเพื่อนสองคน คือไอ้ห้อยหลานยายหุ่น กับไอ้เอิ๊กลูกป้าอบ แกขายข้าวโพดต้มกับถั่วลิสงต้มที่นั่นเหมือนกัน ป้าอบใจดีให้ข้าวโพดกับถั่วต้มผมกินบ่อยๆ ยายหุ่นก็ให้ไอ้ห้อยเอาห่อหมกไปให้พวกคนขับ กับช่างเครื่องแกล้มเหล้าเช่นกัน

หน้าหนาวค่ำเร็ว เราเจอะเพื่อนรุ่นเดียวอยู่แถวนั้น อีกสองคน เลยเล่นหยอดหลุมเอาหนังยางกัน...ผมกินหนังยางจนแทบล้นข้อมือ หันไปเห็นแดดผีตากผ้าอ้อมเหลืองอร่ามอยู่ในม่านฝุ่นสีแดงก็ใจหาย

"กลับบ้านเถอะโว้ย เดี๋ยวโดนผีหลอก!" ผมร้องแล้วออกวิ่งแจ้น เพื่อนทั้งคู่วิ่งตึ๊ก ๆ ตามมาด้วย ส่วนเพื่อนอีกสองคนมันอยู่คนละทางกับเรา

...มารู้ตัวอีกทีก็กำลังหยุดหอบแฮกๆ ตรงเนินอาถรรพณ์นั่นพอดิบพอดี!

หันขวับไปมองฟ้าสีแดงเข้มจนเกือบดำ แต่ก็เห็นผู้ชายนั่งกอดเข่า ผมยาวปลิวกระเซิงตามแรงลมกำลังสูบยา แดงวาบๆ เข้าทันใด

"เฮ้ย..." ใครคนหนึ่งหลุดปากออกมา ขณะที่อากาศเย็นยะเยือกจนขนลุกซ่า ผมอยากจะหันหน้ากลับ อยากจะออกวิ่งต่อไปให้ถึงบ้านเร็วที่สุด แต่แข้งขาแข็งทื่อจนขยับไม่ได้เลย นอกจากอ้าปากค้าง ตาลืมโพลงเหมือนโดนสะกดจิต

ไอ้เอิ๊กกับไอ้ห้อยก็คงไม่แตกต่างกัน!

ใบหน้าที่แทบจะกลืนหายไปกับความมืดค่อยๆ หันมามองอย่างเชื่องช้า แต่แน่นอนเหนือสิ่งอื่นใด! ผมอยากจะร้องไห้ คิดว่าหัวใจกำลังจะหยุดเต้น...จู่ๆ ร่างนั้นก็ลุกพรวดพราดขึ้นยืนตระหง่านทันใด...

เสียงใครร้องจ้าดังแสบแก้วหู พร้อมๆ กับที่เรากระโจนอ้าวไม่คิดชีวิต

เสียงหัวเราะดังไล่หลังมา เราวิ่งลมออกหูรวดเดียวถึงบ้าน...ถึงจะไม่มีอะไรยืนยันว่าที่นั่นเป็นหลุมศพ หรือป่าช้าเก่ามาก่อน แต่ภาพนั้นยังติดตามาถึงทุกวันนี้เลยครับ!

ขอบคุณ แหล่งที่มาหนังสือพิมพ์

ผี เรื่องผี เรื่องเล่าสยองขวัญ ศาลผีสิง

เตย เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากศาลอสุรกาย

ดิฉันเคยฟังพวกผู้เฒ่าผู้แก่เล่าเรื่องผี คุยกันเรื่องภูตผีปีศาจมาตั้งแต่ยังเด็ก ๆ แล้วค่ะ นอกจากความน่ากลัวแล้วยังได้ความรู้ว่า ภูตผีปีศาจก็เหมือนผู้คนทั่วไปอยู่อย่างหนึ่ง...คือมีทั้งดีและชั่วปะปนกัน

โดยเฉพาะพวกสัมภเวสี - ผีเร่ร่อน หรือวิญญาณที่แสวงแดนเกิด นอกจากจะหิวโหย ร้องขอส่วนบุญจากญาติมิตรบ้าง จากผู้อื่นบ้าง บางครั้งก็ถือโอกาสสวมรอยแทนผู้อื่นอย่างหน้าตาเฉย

ยกตัวอย่างง่าย ๆ ก็คือพระภูมิเจ้าที่นั่นแหละค่ะ!

เมื่อมีการตั้งศาลพระภูมิประจำบ้าน หรือบริษัทห้างร้านก็ตาม จะมีผู้รู้ทางไสยศาสตร์มาทำพิธีตั้งศาล เซ่นสรวงด้วยเครื่องบัตรพลี เพื่อให้วิญญาณชั้นสูงเช่น เจ้าที่เจ้าทาง เทพารักษ์ มาสิงสู่ แต่บังเอิญมีวิญญาณร้ายผ่านมาพอดี ถือโอกาสสวมรอยเข้าไปกินเครื่องเซ่นจนอิ่มหนำสำราญ แล้วยึดเอาศาลนั้นเป็นที่อยู่อย่างหน้าตาเฉย

วิญญาณชั้นดีหมดโอกาส เพราะมาถึงต่อเมื่อสายเกินไปเสียแล้ว!

เมื่อภูตพเนจรเข้าสิงสู่ศาลเรียบร้อย ในระยะ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร เนื่องจากมีที่อยู่ที่กินแสนผาสุก มีคนนำเครื่องเซ่นมาให้กินทุกวัน ไม่ต้องร่อนเร่หากินตามแบบ "ผีไม่มีศาล" เหมือนครั้งก่อนอีกต่อไป

แต่คนชั่วหรือวิญญาณร้ายมีอุปนิสัยคล้ายๆ กัน คือชอบกลั่นแกล้ง รังแกให้ผู้อื่นเดือดร้อน แม้ว่าผู้นั้นจะมีบุญคุณ ให้ที่อยู่ที่กินก็ไม่ละเว้น

ท่านผู้ใหญ่ที่เล่าเรื่องนี้ให้ข้อสังเกตว่า ถ้าบ้านเรือนใดมีศาลพระภูมิเจ้าที่กระทำพิธีเซ่นสรวงอย่างถูกต้อง ผู้คนในบ้านเรือนนั้น ๆ มีแต่ความสุขความเจริญ แสดงว่ามีวิญญาณระดับดีมาสิงสู่ คอยคุ้มครอง ปกป้องดูแลบ้านช่องและผู้คนให้อยู่เย็นเป็นสุข ปราศจากทุกข์โศกโรคภัย รวมทั้งไม่มีการทะเลาะวิวาทกันด้วย...

ส่วนจะมากน้อยก็ถือว่าตามอัตภาพ

ตรงกันข้าม ถ้าบ้านเรือนใดตั้งศาลพระภูมิแล้ว มิช้ามินานก็เกิดความเดือดร้อน วุ่นวาย มีปัญหาต่างๆ นานาน่าปวดหัวเกิดขึ้นไม่หยุดหย่อน ขนาดถึงกับคนในบ้านบาดเจ็บก็มี ล้มตายก็มี...ขอให้ตั้งข้อสังเกตที่ศาลพระภูมิก่อนอื่น!

แม้ว่าโชคเคราะห์ย่อมเกิดกับมนุษย์โดยกะทันหัน ไม่มีใครบอกได้ว่าเมื่อใดจะมีโชคดี - เคราะห์ร้าย อุบัติขึ้นก็ตาม แต่ถ้าเกิดขึ้นอย่างร้ายแรงและติดๆ กันแล้วก็ให้สันนิษฐานว่า อาจจะเนื่องมาจากศาลพระภูมิก็ได้...

นั่นคือ โดนวิญญาณร้ายที่สิงสู่อยู่เนรคุณ หรือไม่ก็กลั่นแกล้งเอาด้วยความเกเรเกตุงตามนิสัยเดิม!

เมื่อแรกดิฉันก็ยอมรับว่าเชื่อครึ่ง - ไม่เชื่อครึ่ง จนกระทั่งได้ประสบกับเรื่องขนหัวลุกด้วยตัวเองที่ชุมชนแห่งหนึ่งในย่านสะพาน ควายเมื่อสิบกว่าปีมาแล้ว

บ้านเรือนละแวกนั้นค่อนข้างแออัดยัดเยียด ผู้คนส่วนใหญ่มีอาชีพค้าขาย ทั้งในตลาดบ้าง หาบเร่แผง ลอยบ้าง รวมทั้งช่างไม้ช่างปูนไปถึงเอาแรงงานเข้าแลก ส่วนหนึ่งเป็นพนักงานบริษัทและรัฐวิสาหกิจ

มีครอบครัวใหม่มาเช่าบ้านอยู่ชื่อพี่สันต์กับพี่เพ็ญ มีลูกชายหญิงสองคนกำลังเข้าวัยรุ่นทั้งคู่...เรื่อง แปลกๆ เกิดขึ้นตั้งแต่เขาตั้งศาลพระภูมิแล้วค่ะ

ไม่ใช่ว่าศาลเก่าไม่มีนะคะ แต่ผุพังจนล้มเค้เก้ไปนานแล้ว คนเช่ารายก่อนๆ ก็ไม่ได้สนใจอะไร แต่รายนี้ไปซื้อศาลสวยๆ คล้ายโบสถ์จำลองจากสวนจตุจักรมาพร้อมกับคนทำพิธีตั้งศาล เขามีหัวหมู เหล้า มะพร้าวอ่อน กล้วยหอม ส้ม และขนมนมเนยกับดอกไม้สวยๆ จุดธูปเทียนเซ่นไหว้ มีเด็กๆ มุงดูหลายคน

จู่ๆ ฟ้าก็มืดครึ้มรวดเร็ว ลมพัดอู้ๆ ฟังเหมือนเสียงใครกำลังหัวเราะอย่างเบิกบานใจ จนหลายๆ คนขนลุกขนพองไปตามๆ กัน!

หลังจากนั้นไม่นาน ครอบครัวนี้ก็ประสบแต่ความเดือดเนื้อร้อนใจสารพัด

ตั้งแต่มีเรื่องทะเลาะเบาะแว้งกันตลอด ลูกชายติดยา ลูกสาวกลายเป็นเด็กใจแตก ลงท้ายด้วยการโดนข่มขืนฆ่า พ่อหันเข้าหาเหล้า เมาหัวราน้ำจนถูกไล่ออกจากงาน แม่ก็บ่นบ้านัยน์ตาขุ่นขวางเหมือนคนวิกลจริต

วันสุดท้าย เกิดไฟไหม้บ้านตอนดึก....

เพลิงนรกลุกลามจนบ้านช่องแถวนั้นวอดวายไปหลายหลัง บ้านต้นเพลิงตายหมดค่ะ...ตอนที่ขนของหนีไฟอลหม่าน เราได้ยินเสียงหัวเราะเย้ยหยันมาเข้าหู...ดังมาจากศาลพระภูมิที่มีไฟลุกท่วม น่ะซีคะ!

ขอบคุณ แหล่งที่มาหนังสือพิมพ์

บทความที่ได้รับความนิยม

คลังบทความของบล็อก