วันอังคารที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2557

ผี เรื่องผี เรื่องเล่าสยองขวํญ ยังไม่ได้เตรียมตัว

เมื่อซัก3ปีที่แล้ว ผมได้ไป ประชุม ที่ กทม ลืมบอกไป ผมอยู่ต่างจังหวัดครับ ผมไม่รู้ว่าพอประชุมเสร็จ มีงานเลี้ยงกลางคืนด้วย ซึ่งผมไม่ได้เตรียมตัวมาก่อน ไม่ได้จองที่พักไว้เลย พองานเลิก ก็ปาเข้าไป5ทุ่มได้ จะขับรถกลับ บ้านก็ไม่ไหว ทั้งเพลีย ทั้ง ง่วง เลยตัดสินใจหาที่พักซักคืน ตอนเช้าค่อย ขับรถกลับ ผมตระเวนขับรถหาที่พักใกล้ๆที่ประชุม แต่กี่ที่ กี่ที่ ก็เต็มหมด บางที่ไม่เต็ม แต่ก็แพงมหาโหด

ผมขับรถมาเรื่อยๆ จากเมืองทอง มาโผล่รังสิตได้ไง ไม่รู้ มองนาฬิกาที่หน้าปัทย์ รถเวลาปาเข้าไปเที่ยงคืนกว่า ขับไป ตาก็หรี่ลงๆ ไม่ไหวแล้วครับ นึกในใจ เจอโรงแรม อะไรขอพัก ก่อนไม่ไหวแล้ว บังเอิญตาผมก็เหลือบไปเห็น ป้ายโรงแรม โรงแรมหนึ่งทาง ซ้ายมือ เส้นถนนแถว ม.รังสิต เอาละว่ะ ไม่คิดไรแล้ว หักหัวรถเข้าไปเลย ทางเข้าโรงแรม มืดมากครับ เหมือน จะเป็นป่า 2ข้างทาง ต้องขับเข้ามาประมาณ 500 เมตร ค่อยเห็นแสงไฟ ของสำนักงาน ไว้เป็นที่ติดต่อของโรงแรม

มองชัดๆอีกที เฮ้ย… นี่มันม่านรูดนี่หว่า แต่ตอน นั้นไม่สนใจละครับ แค่หัวถึงหมอนก็คงหลับแล้ว มีแสงไฟจากไฟฉายกระบอกจิ๋วของพนักงานโรงแรมฉายมา มี่รถผม แล้วชี้ไปทางช่องจอด ที่ว่างอยู่ ผมหักหัวรถตามลำแสง อย่างอัตโนมัติ ลงจากรถ พนักงานรีบวิ่งมาถาม ชั่วคราว ค้างคืน มีเด็กไหม บลาๆ…. ผมตอบไป ตามความเป็น จริงผมขอแค่นอน เช้าก็จะไป ไม่มีเด็ก ควักเงิน จ่ายค่าห้องเสร็จ เดินเข้าไป ถอดรองเท้า เปิดไฟ เปิดแอร์ สิ่งที่ผมเห็นคือ ม่านรูดนี้ มันแต่งแบบแฟนซี ห้องที่ผมพัก มันดันแต่งแบบ อิสลาม หัวเตียงเป็นไม้แกะเป็นลาย คล้ายๆโดม กระจกห้อง ทำเป็นสีเขียว สีแดง มีข้าวของเครื่องใช้ ออกแนว ตะวันออกกลาง ไม้ในห้อง ย้อมเป็นสีน้ำตาลเข้ม มะฮอกกานี ออกสีดำคล้ำๆ เหมือน ก่อสร้างมานาน

ผมมองดูแล้วน่ากลัวมาก กว่าน่านอน ไม่รอช้า ผมรีบเปิดประตู ออกไป พอดีบ๋อยโรงแรมเดินมาพอดี ผมรีบบอกเลยว่าขอเปลี่ยนห้องได้ไม๊ พนักงานบอก ไม่มีห้องว่างเลย เต็มหมด ผมจึงต้องเดินคอตก จำใจพักห้องเดิม

หลังจากจัดแจงข้าวของส่วนตัวเล็กน้อย ก็เดินเข้าไปอาบน้ำ บอกจริงๆเลย ผมไม่ได้คิดไปเองแน่ๆ ตั้งแต่เข้ามาในห้องแล้ว ผมเหมือนไม่ได้อยู่คนเดียว เหมือนมี คนอยู่กับผมอีกคน เวลาผมอาบน้ำ ความรู้สึกเหมือน มีคนอยู่ข้างนอก รอผมอยู่ มันบอกไม่ถูกอ่ะครับ

 ผมรีบจัด การกับตัวเอง จนเรียบร้อย นุ่งผ้าเช็ดตัวของโรงแรม ออกมา นอนเล่นบนเตียง เปิดทีวีดูไปเรื่อยๆ รอจนกว่าจะหลับไปเอง แต่เชื่อไม๊ ทำยังไงมันก็ไม่หลับเหมือนตามันค้าง ทั้งที่ร่างกายมันไม่ไหวแล้ว เพลียมากๆ แขนขาแทบไม่มีแรง ผมรู้สึกแอร์ในห้องมันหนาวขึ้นๆ จนทนไม่ไหว เอาเท้าเขี่ยผ้าห่มปลายเตียงมาห่ม ก็ยังไม่หายหนาว มันเหมือนมันเย็นเข้าไปข้างในกระดูก ขนแขน ขนคอผมลุกเลย ไม่ไหวแล้ว ผมลุกขึ้นไป จะปิดแอร์ ก็ปิดไม่ได้ มันเป็นแอร์ คล้ายๆ ในห้างอ่ะครับคือ มันส่งตรงมา ทางท่อ อากาศ ไม่มี ตัวเครื่องในห้อง

 จึงหมดสิทธิ์ที่จะทำอะไรได้ อย่างมากผมก็แค่ คว้า กางเกงยีนส์ เสื้อเชิ๊ต ชุดของวันนี้มาใส่ เพื่อป้องกันความหนาวอันโหดร้าย ใส่เสร็จ ล้มตัวลงนอน ห่มผ้าห่มแน่น ไม่ได้นึกรังเกียดเลยว่า ผ้าห่มนั้นมัน จะผ่านอะไรมาบ้าง ค่อยดีขึ้นครับ ความหนาวค่อยทุเลาลง ตาผมเริ่มปรือลงๆ จนทุกอย่างมืดไป เข้าสู่ภวังแห่งการนอน

เวลาผ่านไปนานเท่าไรไม่ทราบ มารู้สึกตัวอีกที ผมมี ความรู้สึกว่า เหมือนมีใครเข้ามาในห้อง จิงๆครับ มี ความรู้สึกแบบนั้นเลย แล้วก็ได้ยินเหมือนเสียงวัตถุ หรือ อะไรหนักๆ วางลงบนโต๊ะเครื่องแป้งข้างเตียงนอน เสียงดัง ปึ้ง…. แล้วก็เหมือนมีใคร เดินรอบๆเตียงผม

 ที่ผมเล่านี่ผมรู้สึกตัวตลอดนะ ไม่ใช่ผีอำแน่นอน เพราะตาผมลืมได้ แขนขาขยับได้ หูได้ยินถนัดเลย เจ้าสิ่งนั้น ผมขอใช้คำนี้นะครับ เพราะไม่รู้จะเรียกว่าอะไร มันยังคงเดินไปรอบๆเตียงที่ผมนอน ผมลืมตามองแล้วครับ แต่ไม่เห็นอะไร แต่ความรู้สึกมันบอก ก่อนนอนผมเปิดไฟ ที่หัวเตียงไว้ครับ กับในห้องน้ำ มันสว่างพอที่จะเห็นอะไร ต่อมิอะไรในห้องได้ ผมไม่เห็นอะไรจริงๆครับ

 แต่ความรู้สึกมันบอกว่า เจ้าสิ่งนั้น มันยังเดิน อยู่รอบๆเตียง ผมเริ่มใจเต้นแรง เหงื่อ ออกตาม มือเท้า ทั้งๆที่แอร์เย็นอย่างกะขั้วโลก ไม่กี่อึดใจ เจ้าวิ่งนั้น ก็ค่อยๆเดิน จากเตียง ไปที่ห้องน้ำครับ ผมรู้สึกได้ เสียงก๊อกน้ำ หยด ดังแหมะๆ ทั้งๆที่ ก่อนผมออกมา ผมปิดสนิทดีแล้ว เสียงชักโครก ทำงานเอง ดัง โคร๊ก คร๊าก…

เอาแล้ว ผมโดนเข้าให้แล้ว ใจผมคิด จะทำไงดีทีนี้ จะลุกวิ่งออกจากห้องไปเลยดีไม๊ หรือ พยายาม ข่มตานอน ท่องนโม เราอาจหลอนไปเอง …ผมคิดว่า อย่างแรกเป็นสิ่ง ที่ผมควร ทำที่สุด ไม่รอช้าแล้วครับ ลุกพรวด ขึ้นเลย แต่…

ร่างกายมันไม่เป็นไปตาม ที่ผมสั่ง ซะแร้ว มันขยับไม่ได้เลย เหมือนมีใครมา มัดแขน ขา ผมไว้ ติดกับเตียง มีแต่ ตา หู เท่านั้นที่ยังใช้การได้ แล้วมัน จะมีประโยชน์อะไรเล่า กับสิ่งที่จะเกิด ขึ้นในไม่ช้า.. เสียงหยดน้ำจาก ก๊อก เงียบไปแล้ว ความรู้สึกผม เจ้าสิ่งนั้นกำลังจะออกมาจากห้องน้ำ แล้วสิ่งที่มัน จะไปต่อไป จะเป็นที่ไหน ถ้าไม่ใช่ที่เตียงที่ผมนอน ใช่แล้วครับ เจ้าสิ่งนั้น มัน ตรงมา ที่เตียง มันคงเดินรอบๆเตียงอีก สองถึงสามรอบ ก่อนที่มัน จะทิ้งตัวลงบนที่นอน ความรู้สึกเหมือนที่นอนมันยุบลงไป ตามน้ำหนัก ของเจ้าสิ่งนั้น แล้วมัน ก็อยู่อย่างนั้น ไม่ขยับเขยื้อน หรือ ลุกไปไหนอีก เชื่อไม๊ มันเป็นความ ทรมานที่ยาวนานสำหรับผม ผมช่วยตัวเองไม่ได้ ร้องไม่ออก ไม่รู้จะทำอย่างไร ได้แต่ ท่องบทสวดมนต์ ไปเรื่อยๆ จนสติหลุดไปตั้งแต่เมื่อไรไม่ทราบ

มารู้สึกตัวอีกที ก็เช้าแล้ว ผมรีบลุกจากเตียง มองนาฬิกาข้อมือ 8 โมงกว่า ไม่พูดพร่ำทำเพลงอะไรแล้วครับ เก็บของลงกระเป๋า คว้ากุญแจรถที่หัวเตียง ออกจากห้องเลยครับ ไม่อาบนงอาบน้ำล้างหน้ามันแล้ว ก่อน ออกจากห้อง ผมสังเกต ที่พรหมในห้อง คือ ห้องมันปูพรหม หมด เป็นสีเขียวๆ ปน น้ำตาลๆ แต่ที่เอะใจคือ พรหม แถวๆใต้เตียง มันทำไมเป็นดวงๆเล็กๆ เต็มไปหมด มีดวงใหญ่ๆ ขนาดเท่ากำปั้น แถวๆปลายเตียง ยิ่งคิด ก็ยิ่งหลอน รีบเปิด ประตูออกมา แสงแดด เริ่มออกส่องทะลุม่านผ้าใบสีเทาที่ปิดหน้าที่จอดรถเข้ามา ผมรีบกระชากมันรูดจนสุด กระโดดขึ้นรถ ขับออกมา แต่เชื่อไม๊ สภาพม่านรูด ตอนนี้ไม่ต่างจาก ซากหรือ อะไร ร้างๆ มันเป็นห้องๆ เป็นล๊อกๆ ต่อๆกัน บางห้องว่าง บางห้องมีรถจอดอยู่บ้างแต่ไม่มากนัก บริเวณโดยรอบมีแต่ ต้นไม้แห้งตาย เหมือนไม่ได้รับการดูแล ผม มองไป ไม่เห็นพนักงานซักคนออกมาโบกรถให้ แต่ไม่คิดอะไรแล้ว ขอแค่ออกไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุด

ผมออกมาถึงถนนใหญ่ได้ เข้าทางหลัก มุ่งเข้าอยุธยา ประตูสู่บ้านเกิด ผมขับรถมา ใจก็คิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนว่า มันคือ อะไร แล้ว คนที่เข้ามาพัก จะเจอเหมือนผมไม๊ ม่านรูดนั้น มันมี ตัวตนอยู่จริงหรือเปล่า มันเป็นแค่ความฝัน หรือ ผมโดนดีเข้าให้แล้วจริงๆ ทุกวันนี้ ผมยังจำเหตุการณ์ในวันนั้นได้อย่างแม่นยำ เหมือนมันเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน ผมสรุปไม่ได้ว่าสิ่งที่ผมเจอ มันคือ อะไร ในห้องนั้นก่อนหน้า เกิดอะไรขึ้น แต่ที่รู้ๆ ไม่มีที่ไหน อุ่นใจและปลอดภัยเท่ากับ บ้านของเราอีกแล้ว


ขอบคุณ แหล่งที่มาหนังสือพิมพ์ รักดารา

วันจันทร์ที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2557

ผี เรื่องผี เรื่องเล่าสยองขวัญ ต้นโพธิ์ผีสิง

ดำ เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากซอยศรีบางซื่อในอดีต

สมัยเด็กผมอยู่ในซอยบันไดหิน เชิงสะพานพิบูลสงคราม ถนนประชาราษฎร์ 1 ต่อมาได้ชื่อซอยอย่างเป็นทางการว่า "ซอยศรีบางซื่อ" ซอยนี้ขนานกับคลองบางซื่อไปยันโรงเลื่อยที่แม่น้ำเจ้าพระยา เลี้ยวซ้ายไปถึงสะพานโค้ง ข้ามปากคลองไปวัดแก้วฟ้า

เหตุการณ์ขนหัวลุกเกิดขึ้นในซอยบันไดหินนั่นเอง!

ตอนแรกทางเดินยังเป็นดินล้วนๆ ฝนตกเมื่อไหร่ก็เฉอะแฉะน่าดู ต่อมาสร้างทางลาดปูน...แต่ทางดีๆ ก็ไปหยุดแค่ก๊อกประปาสาธารณะกลางซอยเท่านั้นเอง

ใกล้ๆ กับก๊อกประปาที่ชาวบ้านมาซักผ้า อาบน้ำ และรองน้ำใส่กระป๋องหิ้วกลับบ้าน คือต้นโพธิ์ขนาดใหญ่ ขนาบด้วยบ้านคุณยายพลอยกับสวนเปลี่ยวรกร้าง น่ากลัวสำหรับเด็กๆ ไม่ว่ากลางวันหรือกลางคืน

ต้นโพธิ์ที่ว่าตั้งอยู่กลางซอยจริงๆ ค่อนไปทางสวนเปลี่ยว คนที่ต้องเดินผ่านส่วนมากจะไปทางซ้าย ติดกับรั้วสังกะสียายพลอย แต่ถ้าฝนตกจนเฉอะแฉะก็ต้องเดินอ้อมไปทางด้านขวา ติดๆ กับต้นโพธิ์

ไม่ต้องบอก คุณๆ ก็ต้องเดาได้ว่าต้นโพธิ์ขนาดใหญ่ แผ่กิ่งก้านสาขาร่มครึ้มน่ะผีดุสาหัสจริงๆ ขนาดชาวบ้านเรียก "เจ้าพ่อโพธิ์" แต่ก็ไม่วายไปจุดธูปขอหวยตอนค่ำๆ ส่วนมากใช้มีดบางฝานรากบนดินแล้วรดน้ำ ใช้นิ้วมือขัดถูจนกว่าจะเห็นตัวหวย

คือทำกันมาตั้งแต่สมัยหวย ก.ข. ที่ออกเช้า-เย็น จนถึงหาเลขเด็ดในยุคสลากกินรวบ...เอาไปทุ่มแทงหวยใต้ดินกัน!

เรื่องแทงผิดแทงถูกเป็นของธรรมดา แต่คนแทงถูกก็ร่ำลือว่าเจ้าพ่อโพธิ์ให้หวย แม่นอย่าบอกใคร...เอาผ้าเขียวผ้าแดงมาพันแก้บนให้อร่าม ไหนจะพวกตุ๊กตาดินเผา ไม่ว่าช้างม้า ละครรำ หรือเด็กไว้ผมจุกก็เอามากองไว้เต็มโคนโพธิ์ด้านริมคูติดสวนเปลี่ยวนั่นแหละครับ

มีคนบอกว่าจะให้ขลังต้องไปจุดธูปจุดเทียนขอหวยตอนดึกๆ ยิ่งดึกยิ่งแม่นว่างั้นเถอะ! คนกลัวผีแต่อยากได้เลขเด็ดก็ต้องทำใจให้กล้าๆ หน่อย หรือไม่ก็แข็งใจว่าไม่กลัวผีหลอก แต่อยากได้หวยเจ๋งๆ มากกว่า

ความจริงมีคนไปจุดธูปบนบานเจ้าพ่อโพธิ์สารพัด ทั้งเรื่องความรัก เรื่องเจ็บไข้ได้ป่วย แม้แต่เรื่องขอให้เจ้าพ่อบันดาลให้ลูกหลานรอดพ้นจากการโดนเกณฑ์ทหารก็ยังมี

แต่เรื่องขอหวยนี่ต้องถือว่ามากที่สุด!

มีคนเล่าว่าโดนผีหลอกที่ต้นโพธิ์มากมาย เช่น ลุงฉุนคนปากคลองเล่าว่า คืนนั้นฝนตกหนักจนหนทางเฉอะแฉะ แถมลื่นน่ากลัว แกกลับบ้านราวสองทุ่มเศษเลยอ้อมไปเดินด้านขวาเพราะทางเดินที่เป็นคันดินสูงกว่า...จู่ๆ ก็เจอเข้าจังเบอร์

กลิ่นธูปควันเทียนลอยกรุ่น ลุงฉุนเห็นผู้หญิงในชุดดำนั่งพับเพียบอยู่ที่ลานแคบๆ โคนโพธิ์ มองเห็นหน้าไม่ค่อยถนัดเพราะผมยาวปิดบังไว้ เห็นแต่ตุ๊กตาเกลื่อนอยู่ในแสงเทียนเท่านั้น

คงมาขอหวยล่ะมั้ง? ลุงฉุนนึก เดินผ่านไปบนคันดินริมคู ก่อนจะหันไปมองอีกครั้ง...แต่ต้องยืนตะลึง หน้าชาเห่อ ขนลุกซ่าไปทั้งตัวในพริบตา

ไม่มีผู้หญิงในชุดดำเสียแล้ว ธูปเทียนก็หายไป หมดสิ้น!

วิ่งซีครับ...วิ่งล้มลุกคลุกคลานมาจนถึงบ้านใกล้ๆ โรงเลื่อย สบถสาบานว่าชาตินี้จะไม่ยอมเดินเข้าซอยตอนกลางคืนเด็ดขาด

ป้าเลื่อนกับพี่นวล สองแม่ลูกที่ทำงานฟั่นธูปอยู่ปากคลองตลาดก็เจอดีเข้าเช่นกัน

ธรรมดาแกจะกลับถึงบ้านตอนเย็นๆ มีเวลามาอาบน้ำ ตักน้ำประปาที่ก๊อกกลับบ้านด้วยซ้ำ แต่ช่วงนั้นงานชุกก็เลยทำงานจนมืดค่ำ กว่าจะเดินเข้าบ้านได้ก็เกือบสองทุ่ม

ที่ก๊อกน้ำว่างเปล่า ผู้คนดับไฟเข้านอนกันเกือบหมด โชคดีที่เป็นฤดูหนาว ทางเดินแห้งสนิท ป้าเลื่อนกับพี่นวลก็ชวนกันเลาะลงด้านซ้าย เดินเลียบรั้วสังกะสียายพลอยด้วยความรอบคอบ...เร่งฝีเท้าจนได้ยินเสียงช้อนในกล่องข้าวกระทบกันเบาๆ

พอผ่านต้นโพธิ์เสียงลมแรงก็พัดซ่า ยอดโพธิ์สะบัดเกรียวกราวคล้ายใครกำลังหัวเราะเย้ยหยัน ป้าเลื่อนปากคอแห้งผากบอกลูกสาวเสียงสั่นว่า...รีบเดินเร็วๆ อย่าหันไปมอง!

ทันใดนั้นเอง เสียงซู่ๆ จากยอดโพธิ์ก็ดังกึกก้องเข้าไปในหัวใจ ราวกับมีอะไรบางอย่างกำลังร่วงหล่นลงมา ตามกิ่งก้านสาขาหนาทึบอย่างรวดเร็ว

"ไม่ต้องกลัว ตะกวดน่ะ" ป้าเลื่อนปลอบใจลูกสาว "มันคงกัดกันจนตกลงมา..."

แทบไม่ขาดเสียง ร่างหนึ่งก็หล่นตุ้บลงมายืนจังก้า...เป็นชายผิวดำร่างใหญ่ ตาแดงก่ำปานแสงไฟ! สองแม่ลูกหวีดร้องสุดเสียง เผ่นอ้าวไม่คิดชีวิต ถุงเสื้อผ้ากับกล่องข้าวหลุดกระเด็นไปทางไหนไม่มีใครแยแสอีกแล้ว

"ผีหลอก! ช่วยด้วย...ผีหลอกโว้ย..." เสียงร้องโหวกโหวยดังก้องอยู่ในความเงียบเชียบ เคล้ากับเสียงใครกลุ่มหนึ่งหัวเราะครืนด้วยความขบขันอย่างหลือประมาณ!

ขอบคุณ แหล่งที่มาหนังสือพิมพ์ ข่าวสด

วันอาทิตย์ที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2557

ผี เรื่องผี เรื่องเล่าสยองขวัญ พระกินเณร

พระกินเณร
หลวงพ่อดำหรือพระ กินเณร เป็นพระพุทธรูปที่องค์ใหญ่กว่าพระศรีศาสดา ประดิษฐานอยู่ด้านหน้าประตูพระวิหารพระศรีศาสดาตอนใต้ เล่ากันว่าสามเณรรูปหนึ่งจะลาสิกขา ถือดอกไม้ธูปเทียนไปสักการะบูชาพระพุทธรูปองค์นี้แล้วสามเณรก็หายไป ญาติโยมสงสัยเข้าไปดูใกล้ๆ พบรอยเลือดสดๆ อยู่ทั่วบริเวณพระโอษฐ์ของพระพุทธรูป ก็ลงความเห็นว่าพระกินสามเณรเข้าไปแล้ว จึงใช้ตะปูตอกที่พระโอษฐ์เพื่อมิให้กินใครๆอีก

เป็นไงบ้างครับ สำหรับรูปของพระกินเณรที่พิษณุโลก ปัจจุบันมีการลงรักปิดทองเรียบร้อยแล้ว แต่สำหรับพระกินเณรที่นครสวรรค์ ตอนนี้เรายังหารูปไม่ได้ ดูภาพของที่พิษณุโลกก่อนละกัน
พระกินเณร

เรื่องมีอยู่ว่า สมัยก่อนที่วัดแห่งหนึ่งใน นครสวรรค์
มีพระพุทธรูปองค์หนึ่ง เป็นรูปปางยืน ขนาดเท่าตัวคนจริง เป็นพระพุทธรูปที่หลอมขึ้นมาใหม่นำมาที่วัดได้ไม่นาน

ที่ วัดนั้นมีเณรและพระมาบวชกันจำนวนมากพอสมควร มีอยู่ช่วงหนึ่งที่มีเหตุการณ์แปลก คือ สามเณรที่วัดหายตัวไปทีละคน ตอนแรกเจ้าอาวาสก็ไม่ได้คิดอะไร คิดว่าสามเณรคงจะหนีกลับบ้าน ก็ได้เพราะยังเด็กอยู่อาจคิดถึงบ้าน

แต่แล้วสามเณรก็หายไปมากขึ้นเรื่อยๆ เจ้าอาวาสก็เริ่มเอะใจ
จนมาเป็นเรื่องกันตอนที่โยมพ่อ โยมแม่ ของสามเณรที่หายมาหา
ก็บอกว่าไม่ได้กลับไปบ้าน ช่วงนั้นพระผู้ดูแลโบสถ์ท่านบอกว่า เห็นว่ามีเศษผ้าจีวรขาดๆ
ไปติดอยู่ที่ปากพระพุทธรูปที่ว่า เอาออกหลายครั้งแล้วก็มีมาใหม่ทีแรกคิดว่าอาจมีใครเล่นพิเรนมากลั่นแกล้ง

แต่ท่านมาสังเกตุเห็นว่า พระพุทธรูปองค์นี้มีขนาดใหญ่ขึ้น
จากตอนแรกท่านว่าขนาดเท่าคนจริง ตอนนี้สูงสัก 2 เมตรได้แล้วมั้ง
ท่าน ว่าท่านคงคิดมาก ก็ไม่ค่อยได้ติดใจอะไร แต่ก็กำชับไม่ให้พระ สามเณร ออกมาข้างนอกตอนยามวิกาล แต่จะเห็นได้ว่าสามเณรที่หายตัวไป ส่วนมากจะอยู่กุฎิแถวๆพระพุทธรูปนั้น

แต่เหตุการณ์ก็ยังต่อเนื่องอยู่ สามเณรก็ยังคงหายตัวไปอีก
เจ้า อาวาสรู้สึกผิดสังเกตมาก จนพระท่านที่เฝ้าโบสถ์เรียกเจ้าอาวาส วิ่งมาด้วยความตกใจ เรียกเจ้าอาวาสไปดูอะไรอย่างหนึ่ง เมื่อท่านเจ้าอาวาสมาพบก็ได้แต่ตะลึง เพราะพระพุทธรูปองค์ดังกล่าว จากตอนแรกที่ผมบอกว่าเป็นปางยืน ขณะนี้ได้อยู่ในท่าปางนอน เป็นท่านอนตะแคงแล้วเอามือข้างหนึ่งดันเศียรเอาไว้ แล้วขนาดก็ใหญ่ขึ้นด้วย
ท่านบอกว่าตอนนั้นใหญ่กว่าคน 3 คนอีก

แล้วที่น่ากลัวคือ พบเศษจีวรติดที่แถวปากพระพุทธรูปนั้นอีกแล้ว
เห็นอย่างนี้ท่านเจ้าอาวาสก็ไม่รอช้า จัดเวรยามเฝ้าพระพุทธรูปองค์นี้จนเช้า
วัน รุ่งขึ้นจึงจ้างช่างประตู ทำเป็นประตูเหล็กล้อมกรอบให้ขนาดใหญ่กว่าตัวพระพุทธรูปเล็กน้อย ล้อมจนหมด นับจากนั้นก็ไม่มีเหตุการณ์สามเณรหายอีกเลย แล้วก็ไม่พบสามเณรที่สูญหายไปจนถึงเดี๋ยวนี้เช่นกัน

-เรื่องนี้ฟัง มาจากผู้สูงอายุ แถวบ้านนะ ฟังหูไว้หู ที่จริงไม่อยากเล่าเท่าไรเพราะเกี่ยวเนื่องถึงพระพุทธรูป อาจเป็นการทำลายศาสนาในทางลบได้ แต่มูลเหตมีจริง คนที่อยู่นครสวรร ถ้าอยากรู้ไปวัดวัดหนึ่ง ที่อยู่แถวๆตีนเขา เข้าไปท่านจะเห็นพระพุทธรูปปางนอน ขนาดยาวประมาณ 3-4 ช่วงคน ถูกตีประตูล้อมเอาไว้ขนาดใหญ่กว่าตัวเล็กน้อย ไม่มีเครื่องหอมบูชา ไม่ให้กราบไหว้ แล้วก็ประตูถูกล็อคปิดตาย!!

วันเสาร์ที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2557

ผี เรื่องผี เล่าสยองขวัญ ซอยผีสิง

ป้อม เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกในซอยผีสิง

ผมเป็นนักศึกษาภาคค่ำครับ คืนนั้นหลังเลิกเรียนเพื่อนผมชวนไปกินข้าว เราคุยกันเพลินมาก กว่าจะรู้ตัวก็เกือบตีหนึ่งแน่ะ

เพื่อนมีรถเลยขับไปส่งผมที่บ้านบางลำพู แต่บ้านผมอยู่ในซอยลึกมาก แถมคับแคบแล้วยังมีการขุดถนนซ่อมท่อประปา ผมเกรงใจเพื่อนเลยให้ส่งหน้าปากซอยแล้วเดินเข้าไป ใจหนึ่งก็นึกกลัวเหมือนกันเพราะเมื่อเดือนก่อนมีคนถูกฆ่าแถวๆ นี้เอง

แถวหน้าซอยมีร้านคาราโอเกะ คนเมาทะเลาะกันและยิงกันตาย ผมจำได้เพราะคืนนั้นผมก็กลับดึก แบบนี้แหละครับ

เหตุเกิดราวตีหนึ่ง...เหมือนคืนนี้เลย!

ขณะเดินเข้าซอยก็ได้ยินเสียงคนตะโกนด่ากันโหวกเหวก พอหันไปมองก็ได้ยินเหมือนเสียงไม้หัก นั่นแหละ...เสียงปืน! ผมเห็นชายคนหนึ่งล้มลง แล้วคนยิงก็บึ่งรถเก๋งหนีไป ผู้คนในร้านวิ่งออกมาดู เกิดวุ่นวายกันใหญ่ ผู้หญิงหลายคนกรีดร้องกรี๊ดๆ ผู้ชายบางคนควักมือถือไปแจ้งเหตุ

ผู้คนแถวนี้พากันวิ่งออกมาดู ผมเข้าไปมุงกับเขาบ้าง เห็นชายโชกเลือดกำลังกระตุก มีเลือดทะลักออกมาทางปากและจมูก เขาโดนกระสุนเจาะลำคอ นัยน์ตาเขาเหลือกลาน

ภาพคนตายติดตาอยู่หลายวัน แต่ผมก็เกือบลืมไปแล้ว...จนกระทั่งคืนนี้!

ตอนนี้แปลกจัง ผู้คนหายไปไหนหมดก็ไม่รู้ ปกติจะมีคนนั่งอยู่หน้าร้านคาราโอเกะ แต่คืนนี้ไม่มีเลย ห้างร้านปิดไฟเงียบ คนจะหลับหมดแล้วมั้ง? สรุปว่านาทีนี้มีแต่ผมยืนอยู่เดียวดาย

มันอดไม่ได้จริงๆ ที่จะมองไปตรงที่ผู้ชายคนนั้นล้มลงตาย!

พื้นตรงนั้นว่างเปล่า แต่ภาพศพที่น่าสยดสยองกลับผุดขึ้นมาแจ่มชัดในความทรงจำ

แหม...อยากให้มอเตอร์ไซค์ผ่านมาสักคัน คืนนี้เป็น อะไรนะ ไม่มีรถสักคันเดียว! ผมถอนใจยาว ตัดสินใจ เดินเข้าซอยที่เป็นวันเวย์ตามลำพัง รู้สึกไม่ค่อยมั่นคงเลยครับ มันวูบๆ วาบๆ บอกไม่ถูก ขณะเดียวกัน ก็ไม่อาจ สลัดภาพศพถูกฆ่าให้หลุดออกจากสมองเจ้ากรรมได้สำเร็จ

ทันใดนั้น ผมสะดุดหินข้างทางจนหัวคะมำ ใจหายวาบ ขวัญผวาไปหมด ร้องอุทานอย่างลืมตัว

เฮ้อ! เจ็บข้อเท้าจังเลย นี่ละผลของการขุดถนน ดีนะที่ผมไม่ตกลงไปในหลุมที่เขาขุดน่ะ ใจผมยังเต้นตึ้กๆๆ อยู่เลยเพราะอารามตกใจ

เมื่อตั้งสติได้ก็รู้สึกว่ามีใครเดินมาข้างหลัง...โจรหรือเปล่า?

ผมหันไปดู แต่เห็นหน้าเขาไม่ถนัดเพราะมันมืดสลัว เขาเป็นผู้ชายตัวใหญ่กว่าผม...คงไม่ใช่ผู้ร้ายหรอก เพราะเขาเดินดุ่มๆ แซงหน้าผมเข้าไปในซอย...เดินเร็วมากซะด้วยแฮะ!

ดีเหมือนกันจะได้มีเพื่อน ผมเดินตามเขาไปห่างๆ และรู้สึกเบาใจขึ้นพะเรอ

ในซอยนี้บางบ้านก็เปิดไฟรั้ว ผนวกกับไฟถนนที่ห่างเป็นระยะๆ ทำให้มีแสงพอเห็นได้ดีกว่าตรงปากซอยที่ไฟมันดับไปดวงหนึ่ง แต่บรรยากาศก็ยังน่ากลัว มันเงียบสงัด และลมก็แรงขึ้นๆ ผมแหงนดูท้องฟ้ามันแดงฉาน แสดงว่าฝนกำลังจะตก!

ผมเดินเร็วๆ ชายคนนั้นก็ยังนำหน้าผม ห่างกันราวๆ สิบก้าว ผมรักษาระยะห่างนั้นไว้ แต่ดูเหมือนเขาจะทอดจังหวะการเดินช้าลงๆ

เอ๊ะ! หรือว่าเขาจะหลอกให้ผมตายใจ พอเดินไปทันเขาอาจควักอาวุธมาทำร้ายผมก็ได้

"กลัวรึ? ฮึๆๆๆ" เสียงพูดปนหัวเราะนั้นดังมาจากเขาแน่นอน ตอนนี้เขาอยู่ห่างจากผมแค่ 4-5 ก้าว...เขาไม่หันมาเลย ผมชักตกใจ ชะงักฝีเท้าเหมือนถูกตรึงโดยไม่รู้ตัว

ขณะที่กำลังละล้าละลัง เขาก็หันมา...ไฟส่องเต็มหน้าพอดี!

คุณพระช่วย! หัวใจผมคล้ายจะหยุดเต้นไปทันใด เนื้อตัวแข็งทื่อราวกับถูกสาปให้เป็นหิน...ใบหน้านั้นเป็นหน้าของคนตายชัดๆ ปากและจมูกมีเลือดเอ่อ เสื้อแสงด้านหน้าเปรอะเลือดไปหมด...ผมตาเหลือกค้าง จ้องมองภาพนั้นเหมือนถูกสะกดจิต อยากจะร้องแต่ร้องไม่ออก ขยับแข้งขาไม่ได้...มันช่างเหมือนกับฝันร้ายไม่มีผิด

ลมกระโชกมาวูบหนึ่ง...พัดพาเอาชายคนนั้นสลายไปกับอากาศธาตุประหนึ่งเป็นภาพลวงตาทั้งเพ!

น้ำตาผมไหลพราก พยายามสะกดตัวเองไม่ให้ออกวิ่ง แข็งใจลากขาเดินช้าๆ แต่แค่อึดใจเดียวก็ไม่ไหวแล้ว...ผมเผ่นกระเจิงรวดเดียวจนมาถึงบ้าน

เมื่อทราบเรื่องจากผม แม่ก็ให้จุดธูปไหว้พระ ตั้งข้อสังเกตว่าตอนที่ผมสะดุดหินแล้วใจหายวูบน่ะ อาจจะเป็นช่องทางให้ภูตผี วิญญาณแทรกเข้ามาได้...ทีหลังอย่ากลับดึกก็แล้วกัน

ถึงแม่ไม่บอกผมก็เข็ดแล้ว ไม่กลับบ้านดึกๆ ดื่นๆ อีกเลยครับ!

ขอบคุณ แหล่งที่มาหนังสือพิมพ์ ข่าวสด

วันศุกร์ที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2557

ผี เรื่องผี เรื่องเล่าสยองขวัญ วิญญาณร้องไห้

นิรมล เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกในคืนฝันสยอง

เมื่อได้ข่าวคนฆ่าตัวตายทีไรดิฉันจะใจหายทุกครั้ง นับวันก็ยิ่งมีคนคิดสั้น ตัดสินใจจบชีวิตตัวเองมากขึ้นทุกที ทั้งๆ ที่คนเราต้องเสียชีวิตเพราะโรคร้ายสารพัดอย่างอยู่แล้ว แต่ก็ยังไม่วายมีบางคนฆ่าตัวตาย

จิตแพทย์บอกสาเหตุส่วนใหญ่ว่า ถ้าไม่เป็นเพราะรักตัวเองมากเหลือเกิน ก็เกลียดชังตัวเอง เกินไป!

ทุกคนที่คิดสั้นมักจะมีเหตุผลง่ายๆ ว่าหนีปัญหา! หนีความทุกข์! ราวกับรู้แน่ว่าเมื่อสิ้นลมหายใจแล้ว จะไม่ต้องพบกับความเดือดร้อน หรือทนทุกข์ทรมานอีกต่อไป

แน่ใจหรือคะว่าตายแล้วจะพ้นทุกข์?

ดิฉันมีประสบการณ์สยองในเรื่องนี้ แต่ไม่ใช่ว่าเคยคิดฆ่าตัวตายหรอกค่ะ สุนัขข้างถนนยังไม่คิดสั้นนี่นา ถึงจะอดมื้อกินมื้อก็ยังรักชีวิตตัวเอง ล้วนแต่กระเสือกกระสนดิ้นรนเอาชีวิตรอดโดยไม่ยอมแพ้ง่ายๆ ใครคิดสั้นน่าจะดูไว้เป็นตัวอย่างนะคะ!

คือดิฉันได้พบกับวิญญาณที่ล่องลอยอยู่ในมิติอื่น แสนจะทุกข์โศกจนน่าใจหาย...วิญญาณทุกดวงล้วนแต่เสียใจมากๆ ทั้งนั้น ถ้าเรียกเวลาย้อนกลับได้พวกเขาจะไม่มีวันฆ่าตัวตายอย่างแน่นอน! แต่สายเสียแล้วค่ะ...เพราะอารมณ์วูบเดียวแท้ๆ

เมื่อเดือนที่แล้วนี่เอง ดิฉันเช่าอพาร์ตเมนต์อยู่แถวถนนเพชรบุรีตัดใหม่หลังจากเรียนจบ ได้งานทำก็ย้ายมาเช่าที่นั่นอยู่คนเดียวเพราะใกล้ที่ทำงานดี

ห้องพักกลางเก่ากลางใหม่ ชอบที่ไม่มีใครมาจุ้นจ้านเหมือนหอพัก อย่างมากเห็นหน้ากันบ่อยๆ ก็ยิ้มให้กัน ทักทายกันคำสองคำแล้วแยกย้ายเข้าห้องใครห้องมัน

พูดถึงเปลี่ยวก็เปลี่ยวน่าดูนะคะ โดยเฉพาะตอนกลางคืนที่มีแต่ทีวีหรือเสียงเพลงเป็นเพื่อน...ท่ามกลางความเงียบเชียบเยือกเย็น คล้ายมีสายตาหลายคู่กำลังจ้องมองอย่างเร้นลับ ไม่ว่าจะกินข้าว ดูทีวี อาบน้ำ หรือแม้แต่ยามหลับนอนก็ตามที!

ดิฉันเป็นคนหัวเก่า เพราะพ่อแม่สั่งสอนมาตั้งแต่เด็กๆ สมัยอยู่ต่างจังหวัด ว่าให้ไหว้เจ้าที่เจ้าทาง อย่าลบหลู่ดูหมิ่น ข้อสำคัญคืออย่าลืมสวดมนต์ไหว้พระก่อนนอนเป็นอันขาด เพื่อความเป็นสิริมงคลของตัวเอง ที่แน่ๆ ดิฉันทำใจแล้วว่าห้องเช่าค่อนข้างเก่าแบบนี้ ต้องมีคนหมุนเวียนเปลี่ยนหน้ากันมาพัก อาจจะหลายสิบคนแล้วได้...เรื่องคนตายน่ะมีแน่...ฆ่าตัวตายน่ะซีคะ!

แค่สัปดาห์แรกดิฉันก็เริ่มฝันร้ายค่ะ!!

ภาพในฝันคือห้องพักนั่นเอง มีคนกลุ่มหนึ่งราว 5-6 คน ทั้งหญิงและชายในวัยหนุ่มสาว กำลังนั่งคุยกันในห้องด้านหน้า ทุกคนหน้าตาเป็นปกติ แต่งตัวคล้ายเพื่อนฝูงเข้ามาเยี่ยมเยียนกัน ไม่มีเลือดหรือร่องรอยบาดแผลอะไรเลย

ที่น่าสยองคือ ดิฉันรู้ว่าพวกเขาทุกคนตายไปหมดแล้ว ภาพที่เห็นเป็นเพียงวิญญาณเท่านั้นเอง!

"ฉันท้องไม่มีพ่อ" ผู้หญิงที่นั่งบอกกล่าว "ไอ้คนที่เป็นตัวการบอกว่าฉันท้องกับใครไม่รู้ แล้วมาโยนบาปให้มัน ทั้งแค้นทั้งเจ็บใจ จะไปทำแท้งก็กลัว จะกลับบ้านก็ไม่กล้าสู้หน้าพ่อแม่เลยคิดว่าตายดีกว่า...ถ้ารู้ว่าพ่อแม่เสียใจแทบจะตายตาม บอกว่าท้องไม่มีพ่อก็ให้อภัย! โธ่...ฉันคงไม่ฆ่าตัวตายแน่ๆ เลย"

ดิฉันไม่ได้ยินเสียงนั้นตามปกตินะคะ แต่คล้ายกับรับรู้ทางจิตมากกว่า!

"ผมเห็นแฟนควงกับคนอื่น" เสียงแหบเครือของชายหนุ่มดังขึ้นมาบ้าง "พอเข้าไปถามเขากลับบอกว่ายังไม่รู้อีกเหรอ? งี่เง่าที่สุด...ผมเมาเละเลย กลับเข้าห้องก็ดื่มต่อ ไม่รู้จะอยู่ทำไม เลยพุ่งออกไปทางระเบียง! เมื่อนึกได้ก็สายเสียแล้ว...ผู้หญิงดีๆ ยังมีอีกมากมาย ทำไมผมคิดสั้นบ้าๆ ยังงั้นก็ไม่รู้"

"ฉันสอบตก อายเพื่อน กลัวพ่อแม่จะเสียใจ..."

"ผมถูกพ่อดุว่าเอาแต่เที่ยวเตร่ คบเพื่อน มั่วเหล้า ไม่รักดี ก็เลย..."

"ฉันเป็นไมเกรน ปวดหัวมาก คิดว่าไม่มีทางรักษา! ถ้ารู้ยังงี้..."

ดิฉันเห็นพวกเขาส่ายหน้าเศร้าๆ ก้มหน้าคล้ายจะซ่อนน้ำตาของความเสียดมเสียดายชีวิตในวัยหนุ่มสาวสุดขีด! แต่ก็สายเสียแล้ว...ภาพของหญิงชายเหล่านั้นค่อยๆ เลือนรางจางหายไป แม้จะไม่หวาดกลัวแต่ดิฉันก็รู้สึกเยือกเย็นวังเวงใจอย่างบอกไม่ถูก

ถ้าใครคิดจะฆ่าตัวตายก็ขอให้เลิกคิดนะคะ...คนที่รักเรา ห่วงใยเราแท้จริงยังมีอยู่...ตัวเองก็ไม่ต้องกลายเป็นวิญญาณที่ต้องร้องไห้ไปตลอดกาลด้วยค่ะ!

ขอบคุณ แหล่งที่มาหนังสือพิมพ์ ข่าวสด


วันพฤหัสบดีที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2557

ผี เรื่องผี เรื่องเล่าสยองขวัญ คืนฝันสยอง

นิรมล เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกในคืนฝันสยอง

เมื่อได้ข่าวคนฆ่าตัวตายทีไรดิฉันจะใจหายทุกครั้ง นับวันก็ยิ่งมีคนคิดสั้น ตัดสินใจจบชีวิตตัวเองมากขึ้นทุกที ทั้งๆ ที่คนเราต้องเสียชีวิตเพราะโรคร้ายสารพัดอย่างอยู่แล้ว แต่ก็ยังไม่วายมีบางคนฆ่าตัวตาย

จิตแพทย์บอกสาเหตุส่วนใหญ่ว่า ถ้าไม่เป็นเพราะรักตัวเองมากเหลือเกิน ก็เกลียดชังตัวเอง เกินไป!

ทุกคนที่คิดสั้นมักจะมีเหตุผลง่ายๆ ว่าหนีปัญหา! หนีความทุกข์! ราวกับรู้แน่ว่าเมื่อสิ้นลมหายใจแล้ว จะไม่ต้องพบกับความเดือดร้อน หรือทนทุกข์ทรมานอีกต่อไป

แน่ใจหรือคะว่าตายแล้วจะพ้นทุกข์?

ดิฉันมีประสบการณ์สยองในเรื่องนี้ แต่ไม่ใช่ว่าเคยคิดฆ่าตัวตายหรอกค่ะ สุนัขข้างถนนยังไม่คิดสั้นนี่นา ถึงจะอดมื้อกินมื้อก็ยังรักชีวิตตัวเอง ล้วนแต่กระเสือกกระสนดิ้นรนเอาชีวิตรอดโดยไม่ยอมแพ้ง่ายๆ ใครคิดสั้นน่าจะดูไว้เป็นตัวอย่างนะคะ!

คือดิฉันได้พบกับวิญญาณที่ล่องลอยอยู่ในมิติอื่น แสนจะทุกข์โศกจนน่าใจหาย...วิญญาณทุกดวงล้วนแต่เสียใจมากๆ ทั้งนั้น ถ้าเรียกเวลาย้อนกลับได้พวกเขาจะไม่มีวันฆ่าตัวตายอย่างแน่นอน! แต่สายเสียแล้วค่ะ...เพราะอารมณ์วูบเดียวแท้ๆ

เมื่อเดือนที่แล้วนี่เอง ดิฉันเช่าอพาร์ตเมนต์อยู่แถวถนนเพชรบุรีตัดใหม่หลังจากเรียนจบ ได้งานทำก็ย้ายมาเช่าที่นั่นอยู่คนเดียวเพราะใกล้ที่ทำงานดี

ห้องพักกลางเก่ากลางใหม่ ชอบที่ไม่มีใครมาจุ้นจ้านเหมือนหอพัก อย่างมากเห็นหน้ากันบ่อยๆ ก็ยิ้มให้กัน ทักทายกันคำสองคำแล้วแยกย้ายเข้าห้องใครห้องมัน

พูดถึงเปลี่ยวก็เปลี่ยวน่าดูนะคะ โดยเฉพาะตอนกลางคืนที่มีแต่ทีวีหรือเสียงเพลงเป็นเพื่อน...ท่ามกลางความเงียบเชียบเยือกเย็น คล้ายมีสายตาหลายคู่กำลังจ้องมองอย่างเร้นลับ ไม่ว่าจะกินข้าว ดูทีวี อาบน้ำ หรือแม้แต่ยามหลับนอนก็ตามที!

ดิฉันเป็นคนหัวเก่า เพราะพ่อแม่สั่งสอนมาตั้งแต่เด็กๆ สมัยอยู่ต่างจังหวัด ว่าให้ไหว้เจ้าที่เจ้าทาง อย่าลบหลู่ดูหมิ่น ข้อสำคัญคืออย่าลืมสวดมนต์ไหว้พระก่อนนอนเป็นอันขาด เพื่อความเป็นสิริมงคลของตัวเอง ที่แน่ๆ ดิฉันทำใจแล้วว่าห้องเช่าค่อนข้างเก่าแบบนี้ ต้องมีคนหมุนเวียนเปลี่ยนหน้ากันมาพัก อาจจะหลายสิบคนแล้วได้...เรื่องคนตายน่ะมีแน่...ฆ่าตัวตายน่ะซีคะ!

แค่สัปดาห์แรกดิฉันก็เริ่มฝันร้ายค่ะ!!

ภาพในฝันคือห้องพักนั่นเอง มีคนกลุ่มหนึ่งราว 5-6 คน ทั้งหญิงและชายในวัยหนุ่มสาว กำลังนั่งคุยกันในห้องด้านหน้า ทุกคนหน้าตาเป็นปกติ แต่งตัวคล้ายเพื่อนฝูงเข้ามาเยี่ยมเยียนกัน ไม่มีเลือดหรือร่องรอยบาดแผลอะไรเลย

ที่น่าสยองคือ ดิฉันรู้ว่าพวกเขาทุกคนตายไปหมดแล้ว ภาพที่เห็นเป็นเพียงวิญญาณเท่านั้นเอง!

"ฉันท้องไม่มีพ่อ" ผู้หญิงที่นั่งบอกกล่าว "ไอ้คนที่เป็นตัวการบอกว่าฉันท้องกับใครไม่รู้ แล้วมาโยนบาปให้มัน ทั้งแค้นทั้งเจ็บใจ จะไปทำแท้งก็กลัว จะกลับบ้านก็ไม่กล้าสู้หน้าพ่อแม่เลยคิดว่าตายดีกว่า...ถ้ารู้ว่าพ่อแม่เสียใจแทบจะตายตาม บอกว่าท้องไม่มีพ่อก็ให้อภัย! โธ่...ฉันคงไม่ฆ่าตัวตายแน่ๆ เลย"

ดิฉันไม่ได้ยินเสียงนั้นตามปกตินะคะ แต่คล้ายกับรับรู้ทางจิตมากกว่า!

"ผมเห็นแฟนควงกับคนอื่น" เสียงแหบเครือของชายหนุ่มดังขึ้นมาบ้าง "พอเข้าไปถามเขากลับบอกว่ายังไม่รู้อีกเหรอ? งี่เง่าที่สุด...ผมเมาเละเลย กลับเข้าห้องก็ดื่มต่อ ไม่รู้จะอยู่ทำไม เลยพุ่งออกไปทางระเบียง! เมื่อนึกได้ก็สายเสียแล้ว...ผู้หญิงดีๆ ยังมีอีกมากมาย ทำไมผมคิดสั้นบ้าๆ ยังงั้นก็ไม่รู้"

"ฉันสอบตก อายเพื่อน กลัวพ่อแม่จะเสียใจ..."

"ผมถูกพ่อดุว่าเอาแต่เที่ยวเตร่ คบเพื่อน มั่วเหล้า ไม่รักดี ก็เลย..."

"ฉันเป็นไมเกรน ปวดหัวมาก คิดว่าไม่มีทางรักษา! ถ้ารู้ยังงี้..."

ดิฉันเห็นพวกเขาส่ายหน้าเศร้าๆ ก้มหน้าคล้ายจะซ่อนน้ำตาของความเสียดมเสียดายชีวิตในวัยหนุ่มสาวสุดขีด! แต่ก็สายเสียแล้ว...ภาพของหญิงชายเหล่านั้นค่อยๆ เลือนรางจางหายไป แม้จะไม่หวาดกลัวแต่ดิฉันก็รู้สึกเยือกเย็นวังเวงใจอย่างบอกไม่ถูก

ถ้าใครคิดจะฆ่าตัวตายก็ขอให้เลิกคิดนะคะ...คนที่รักเรา ห่วงใยเราแท้จริงยังมีอยู่...ตัวเองก็ไม่ต้องกลายเป็นวิญญาณที่ต้องร้องไห้ไปตลอดกาลด้วยค่ะ!


ขอบคุณ แหล่งที่มาหนังสือพิมพ์ ข่าวสด

วันอังคารที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2557

ผี เรื่องผี เรื่องเล่าสยองขวัญ สยองขวัญตึกร้าง








เมื่อราว 3 ปีก่อนผมมาเช่าห้องอยู่กับเจ้าใหม่ที่ย่านบางกอกน้อย เราเป็นเพื่อนที่ทำงานบริษัทเดียวกันครับ จนกระทั่งสนิทกันมากๆ ตามประสาชายโสด นิสัยใจคอชอบสนุกสนานรื่นเริง ไม่คิดเล็กคิดน้อยเหมือนกัน เลยมาเช่าห้องอยู่ด้วยกันซะเลย

ตอนแรกก็คิดว่าใกล้ที่ทำงานแถวท่าพระ แถมยังมีเพื่อนช่วยแชร์ค่าห้องเช่า ไม่ต้องว้าเหว่เหมือนอยู่คนเดียวอีกต่อไป

คือมองโลกในแง่ดีน่ะซีครับ นึกไม่ถึงว่าผมกับเจ้าใหม่จะเป็นเพื่อนแนวคู่เวรคู่กรรม ชอบเที่ยวเตร่เฮฮาเหมือนกัน เที่ยวคนเดียวน่ะไม่ค่อยสนุกหรอกครับ เดี๋ยวก็กลับรัง แต่พอมีเพื่อนถูกคอเข้า แหม…ตกค่ำเมื่อไหร่เป็นต้องแวะผับนั้นบาร์นี้อยู่เป็นประจำ

ไหนจะเงินทองฝืดเคืองตอนปลายเดือน ไหนจะโดนผีหลอกเอาเต็มรักอีกต่างหาก

โดนหลอกที่ไหนไม่โดน มาโดนผีหลอกตึกร้างกลางซอยก่อนถึงห้องเช่าของราว 20 เมตรเท่านั้นเอง!

ตึกร้างที่ว่าน่ะไม่ใช่ไร้คนอยู่ ใส่กุญแจทิ้งไว้เฉยๆ นะครับ แต่เป็นตึกร้างแบบพังยับเยินเหมือนโดนไฟไหม้หรือระเบิดลงยังงั้นแหละเอ้า ไม่มีประตูหน้าต่าง ผนังกั้นห้องแตกร้าวเหลือแค่ครึ่งๆ กลางๆ หลังคาก็แหว่งโหว่ไม่มีทางกันแดดกันฝนได้เด็ดขาด ผมเดินผ่านทีไรมักจะอดหันเข้าไปมองไม่ได้ เห็นขยะเกลื่อนกลาด บางวันเห็นหนูตัวโตๆ วิ่งปรู๊ดปร๊าด บางวันก็มีแมวดำมากระโดดโหยงๆ บางตัวก็ขึ้นไปนั่งเลียขนอยู่บนผนังกั้นห้องที่เหลืออยู่ไม่ถึงครึ่ง

หน้าฝนยิ่งแล้วใหญ่ น้ำเจิ่งนองเกือบครึ่งน่อง เห็นขยะลอยเป็นแพ…ดูๆ แล้วเหมือนคนตายที่มีบาดแผลเหวอะหวะเต็มตัว แล้วศพถูกทิ้งประจานเอาไว้ไม่มีผิด

ไม่รู้ว่าเป็นตึกร้างมาตั้งแต่เมื่อไหร่? ที่แน่ๆ คือกลายเป็นแหล่งมั่วสุมพวกขี้ยาไม่เลือกกลางวันหรือกลางคืน บางครั้งก็มีหนุ่มสาวใจถึงจูงมือกันเข้าหลบมุมพลอดรัก…ไม่รู้ว่าใน บรรยากาศแบบนั้นยังอุตส่าห์มีอารมณ์เข้าไปได้ยังไง?

ได้ข่าวว่าเคยมีผู้หญิงถูกมารสังคมฉุดเข้าไปข่มขืนด้วย แต่ยังโชคดีที่ไม่ถึงกับโดนฆ่าทิ้ง แต่บางรายก็วิ่งเตลิดหนีออกมาได้

คืนหนึ่งราวสี่ทุ่ม ผมกับเจ้าใหม่ว่าจะดับไฟเข้านอนก็พอดีได้ยินเสียงร้องเอ็ดตะโรดังลั่น เรารีบเปิดหน้าต่างจากชั้นบนลงไปดู ก็เห็นหลังไวๆ ของชายคนหนึ่งวิ่งผ่านห้องเช่าไปทางก้นซอย…ห้องข้างๆ ก็โผล่ออกมาดูเช่นกัน เขาบอกว่านั่นไอ้เป๋-ขี้ยาประจำซอย ลักเล็กขโมยน้อยได้ก็รีบไปซื้อยาเสพติดทันที

“สงสัยจะโดนผีหลอก…เจอกันหลายรายแล้วแต่ไม่รู้จักเข็ดซะที”

พี่อรรถ-เช่าห้องอยู่ก่อนเราบอกเล่าให้ได้รับความรู้…ครั้นกลับเข้าห้องเจ้าใหม่ก็หัวเราะเยาะ บอกว่าจนถึงสมัยมีมือถือ แถมถ่ายรูปได้ ถ่ายคลิปได้ ยังจะหลงเชื่อเรื่องผีอยู่อีกเหรอเนี่ย? ผมเตือนมันว่าอย่าทำพูดดีไป เดี๋ยวเจอกับตัวเองแล้วจะรู้สึก! เจ้าใหม่กลับบอกว่ารู้สึกโล่งใจน่ะซีที่รู้ว่าโลกนี้ยังมีผีๆ สางๆ อยู่จริง

วันรุ่นขึ้นก็ได้รู้จากพี่อรรถว่า…ไอ้เป๋กำลังพี้ยาอยู่ดีๆ ก็มองเห็นร่างหนึ่งห้อยหัวลงมาจากเพดาน หน้าเน่าเฟะแทบจะชนหน้ามัน เท่านั้นเองไอ้เป๋ก็ทะลึ่งพรวดขึ้นร้องจ้า วิ่งปุเลงๆ ร้องโวยวายออกมาอย่างที่เราเห็น…เจ้าใหม่กลับบอกว่าไอ้เป๋เมายาจนตาฝาด เพี้ยนไปเองน่ะซี!

อาทิตย์ต่อมา เพื่อนปากเสียของผมก็เจอของจริงเข้าเต็มเปา

คืนนั้น เรานั่งโจ้เหล้ากันในห้องเพราะปลายเดือนเต็มที พรุ่งนี้ก็ต้องไปทำงานแต่เช้า กะว่าหมดแบนนี้จะเข้านอน …ราวสามทุ่มกว่าๆ เห็นจะได้ เสียงร้องโหยหวนบาดใจก็ดังขึ้นจากตึกร้างหลังนั้นเอง…เราลุกพรวดไปดูก็เห็นภาพนั้นเต็มตา

จันทร์เต็มดวงกับแสงไฟข้างถนน เห็นชายหญิงคู่หนึ่งวิ่งหน้าตั้งออกมา ดูเหมือนเสื้อผ้าจะยังไม่เรียบร้อย ฝ่ายหญิงร้องไห้พลางวิ่งพลาง…โอ๊ย! ผีหลอก! ช่วยด้วย…

ไม่ว่าใครก็เดาได้ว่าหนุ่มสาวไปพลอดรักกันแล้วโดนผี หลอกกระเจิงออกมา แต่เจ้าใหม่ยังอุตส่าห์บอกว่า…สงสัยเห็นแมวดำละมั้ง เลยนึกว่าผี…

เสียงมันขาดหายไป ผมเอะใจก็ละสายตาจากคนที่วิ่งไปทางก้นซอย มองตามสายตาของเพื่อนไป…ภาพที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าโดดเด่น ชัดเจนอยู่ในแสงไฟ คือร่างดำทะมึนของชายที่นุ่งกางเกงขาสั้นตัวเดียว เปลือยอกกว้างกำยำ ร่างสูงตระหง่านกำลังเงยหน้าช้าๆ ขึ้นมามอง

นรกเป็นพยาน! นัยน์ตาแดงจ้าเหมือนแสงไฟร้อนโชนจ้องหน้าเจ้าใหม่เขม็ง ส่วนเพื่อนผมก็ร้องแต่อะๆ อ้าๆ ไม่เป็นภาษาก่อนจะเข่าอ่อน ทรุดฮวบลงสลบเหมือดคาที่… พอฟื้นขึ้นมาก็ร้องไห้สะอึกสะอื้นเกือบตลอดคืนเลยครับ

ผี เรื่องผี เรื่องเล่าสยองขวัญ ผีช่วยคน

ดาวทอง เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกเมื่อหนีระเบิดครั้งกรุงเทพฯ โดนบอมบ์

ผมเป็นคนกรุงเทพฯ มาแต่อ้อนแต่ออก ตอนที่เกิดมหาสงครามโลกครั้งที่สอง มีท่านผู้ใหญ่บอกว่ากรุงเทพฯ มีประชากรราวหนึ่งล้านคนเท่านั้นเอง...บางท่านยืนยันว่าคนน้อยแต่ผีเยอะ!

ย่านบ้านหม้อคือถิ่นผมตั้งแต่เกิด สมัยนั้นยังไม่มีปากคลองตลาด ต้นทางเรียกกันว่า "คลองโรงไหมวังหน้า" ตอนกลางเรียกว่า "คลองหลอด" มาถึงด้านนี้เรียกว่า "คลองตลาด"

ในยุคจอมพล ป.พิบูลสงคราม ฉายา "นายพลตราไก่" เพราะเกิดปีระกาได้เป็นนายกรัฐมนตรีสั่งให้ย้ายตลาดจากท่าเตียนมาอยู่ที่ปากคลองตลาด เมื่อปี พ.ศ.2496 รุ่งเรืองเฟื่องฟูมาจนถึงทุกวันนี้

สมัยสงคราม เครื่องบินสัมพันธมิตรบินมาทิ้งระเบิดกรุงเทพฯ ตอนกลางคืน (เรียกว่า "ปล่อยไข่เหล็ก") ตั้งแต่หัวลำโพง เทเวศร์ ราชวงศ์ยันปากคลองตลาด จนถึงสะพานพุทธยอดฟ้านี่ซีครับ พวกเด็กๆ ทั้งตื่นเต้นและสนุกสนานอย่าบอกใครเชียว

วัดเลียบ หรือวัดราชบุรณะถูกระเบิดถล่มแหลกลาญ จนเหลือแต่พระปรางค์องค์เดียวเท่านั้น จนทางการต้องประกาศยุบวัด

บางคนบอกว่าเพราะโดนไข่เหล็กทิ้งบอมบ์จนราบเรียบ เลยเรียกว่า "วัดเลียบ"

มีคนแย้งว่าสมัยก่อนมีชาวจีนมาค้าขายทางเรือสำเภาคนหนึ่งชื่อจีนเลี้ยบ ต่อมาร่ำรวยขึ้นจึงสร้างศาลาเอาไว้ทำบุญ ชาวบ้านร้านช่องแถวบ้านหม้อกับปากคลองตลาดก็ช่วยสร้างเจดีย์ และวิหาร เรียกกันว่า "วัดจีนเลี้ยบ" ในที่สุดก็เหลือเพียง "วัดเลียบ" มาถึงทุกวันนี้

คนไทยนิยมทำบุญที่วัดเลียบหรือวัดโพธิ์ แต่คนจีนจะไปไหว้เจ้าที่ศาลบ้านหม้อใกล้ๆ บ้านผมพอดี...วันนี้จะเล่าเรื่องขนหัวลุกจากบังมุดให้ฟังครับ!

"บังมุด" เป็นชายวัยกลางคน ชอบนุ่งโสร่งเก่าๆ ตัวเดียว เสื้อแสงไม่นิยมสวมใส่โชว์อกคล้ายจะอวดซี่โครงกงโก้ เดินท่อมๆ ผ่านไปมาจนคุ้นตาชาวบ้าน อาชีพรับจ้างทำงานจิปาถะ...หาได้เท่าไหร่ก็เอาไปเผาวอดวายในบ้องฝิ่นที่ซอยท่าโรงยาจนหมดสิ้น

ว่ากันว่าแกเป็นคนจรจัด เดี๋ยวไปนอนที่วัดโพธิ์บ้าง ท่าเตียนบ้าง วัดเลียบบ้าง วันๆ ไม่เห็นแกพูดจากับใคร พวกเด็กๆ ชอบล้อเลียนบังมุดว่าเป็นขี้ยา แต่แกไม่แยแส นานๆ ถึงจะมาถลึงตาใส่ซักครั้ง ตาพองๆ ใบหน้าดำๆ นั่น พวกเด็กจอมแก่นเห็นเข้าก็ถึงกับเผ่นอ้าวไปตามๆ กัน

พ่อผมเคยจ้างแกไปซื้อของกินของใช้ที่เวิ้งนาครเขษมบ้าง จ้างแกมาทำความสะอาดร้านกาแฟบ้าง บางทีก็ให้ทั้งเงินกับบุหรี่ แม่ก็ห่ออาหารให้แกไปกิน บังมุดกับที่บ้านผมค่อนข้างจะสนิทสนมผูกพันกันดี

วันหนึ่งก็มีข่าวร้าย!

เครื่องบินของสัมพันธมิตรมาหย่อนใส่กรุงเทพฯ ทั้งวัดเลียบ สะพานพุทธไม่ถึงกับขาดหรือพังทลาย แต่ก็เสียหายยับเยิน ส่วนวัดเลียบก็ราบเรียบไป

ผู้คนแถวบ้านผมอุ้มลูกจูงหลาน วิ่งหนีลูกระเบิดไปลงหลุมหลบภัยกันจ้าละหวั่น...ตอนนั้นผมอายุราว 4-5 ขวบ วิ่งตื๋อนำหน้าพ่อแม่เป็นประจำ

ลือกันว่าคืนนั้นบังมุดดวงขาด ไปซุกหัวนอนในวัดเลียบ...ตายคาที่ครับ!

ระยะหลังๆ ก่อนสงครามสงบไม่นาน ข้าศึกมาทิ้งบอมบ์เมืองหลวงของเราไม่เลิกราแถมดุเดือดยิ่งกว่าเก่าด้วยซ้ำ เพราะช่วงแรกๆ จะมาตอนเดือนหงาย แต่ช่วงนี้เดือนมืดมันก็มา จุดพลุไฟสว่างจ้าแทนแสงจันทร์

คืนหนึ่ง พวกเราชาวบ้านหม้อก็ถูกหวยกันจังเบอร์!

เสียงหวอโหยหวนน่าขนลุก ฟังคล้ายเปรตขอส่วนบุญหรือยมบาลกู่ร้องไปเมืองนรก

เผ่นกันกระเจิงซีครับ เป้าหมายคือหลุมหลบภัย บางคนอยู่ดีๆ ดันมาเกิดปวดท้องทั้งหนักและเบาเอาตอนนี้แหละ ทุกๆ บ้านดับไฟกันหมดสิ้นเพื่อไม่ให้ข้าศึก มองเห็น ใครขืนจุดไฟจะโดนตำรวจจับข้อหาว่าเป็น "แนวที่ห้า" หรือสายลับของศัตรู

ผมวิ่งตื๋อนำหน้าเช่นเคย พ่อกับแม่อุ้มน้องผมคนละคน แม่ร้องให้ผมโดดลงหลุมเร็วๆ ผมก็รับคำ...แต่ก็ต้องชะงักงันที่ปากหลุม เมื่อเห็นใครคนหนึ่งแหงนหน้าขึ้นจ้องมองตาวาว...

บังมุดนั่นเอง!! ผมร้องจ้า หงายหลังไปชนพ่อ แม่คว้าแขนไว้แต่ผมดิ้นรนสุดขีด ร้องร่ำแต่ว่า...ไม่ไป! ตามุดอยู่ในหลุม...ว่าแล้วก็สะบัดตัวหลุดเผ่นอ้าว พ่อแม่ต้องพลอยอุ้มน้องวิ่งตามผมมาด้วยเสียงแม่ร้องว่า...ไปไหน? แกจะไปไหน

แทบจะไม่ขาดเสียงด้วยซ้ำ ไข่เหล็กก็หวีดหวิวชวนขวัญหายลงมาระเบิดตูมตรงหัวมุมบ้านหม้อ ตัดกับถนนจักรเพชร...อีกตูมในหลุมหลบภัย แม่นยำราวกับผีจับยัด!

ถ้าไม่เจอบังมุดที่มาเตือนภัยพวกเราคงกลายเป็นซากเละเทะในหลมหลบภัย แบบเดียวกับเพื่อนบ้านสิบกว่าคนในหลุมนั้นแน่นอน! บรื๋อออ...

ขอบคุณ แหล่งที่มาหนังสือพิมพ์ ข่าวสด

ผี เรื่องผี เรื่องแปลก ผีเข้ามีจริงไหม






วันนี้ไปอ่านพบเรื่องที่น่าสนใจสำหรับคนไทยทั่วไป คือ เรื่องผีเข้ากับของขึ้นมีจริงไหม  คุณสวยอยู่ลึกๆ  [ไม่รู้ว่าลึกระดับไหน] เล่าเรื่อง ดังนี้

ผู้เช่าห้อง 106 ผัวเมีย ทะเลาะกัน ผัวกินเหล้าเมามายกลับมาเจอเมีย ยืนด่าตรงทางเดินกลาง ไม่ได้ด่ากันในห้องนะ เสียงด่าจึงดังคับตึก (ตึกมี 5 ชั้น)

ด่าอยู่นาน ผัวทนไม่ไหวมั้ง ถอดเสื้อ ลากเมียเข้าห้อง แล้วขึ้นค่อม บีบคอเมีย

ตรงนี้ ผมอ่านแล้ว ทีแรกนึกว่า “ผัวจะอึ้บเมียเพื่อให้เลิกด่า” เพราะ เห็นมีคำว่า “ถอดเสื้อ” และ “ลากเมียเข้าห้อง” แต่สรุปแล้วไม่ใช่

มันทำไมไม่ “บีบคอเมีย เสียตรงนั้นเลย”  เสือกถอดเสื้อและลากเข้าห้องทำไม ทำให้เรามาต้องจินตนาการ เสียพลังงานสมองไปเปล่าๆ

เมียก็ร้อง ตะโกนให้คนอื่นช่วย ทั้งเสมียนเอย คนอื่นๆ เข้าไปช่วยกัน ผัวเขาชื่อหนึ่ง  พอคนเข้าไปช่วยผัวก็ชี้หน้าแล้ว บอกว่า กูไม่ใช่ไอ้หนึ่ง

ผู้ชาย 3-4 คนเข้าไปแยกเขาออกจากเมีย ตัวผัวปล่อยมือจากคอเมียแล้วมายกตัวพี่ผู้ชายคนนึง ลอยขึ้นเลย มือทั้งสองจับตรงใต้รักแร้พี่ผู้ชาย แล้วจับยกขึ้นเหนือพื้น ไม่รู้เอาแรงมาจากไหน

พี่ผู้ชายคนนี้หนักประมาณ 70 -80 โลได้ แต่พี่ผู้ชายมีสติดีมาก แกก็ท่องบทสวดอะไรสักอย่าง สักพักผัวทรุดลง

ทรุดแป๊บๆ ก็กลับมาอีก เป็นอยู่อย่างนี้นานเป็นชั่วโมง จึงสงบ

ทุกคนลงความเห็นว่าแก ของขึ้น เพราะแกสักยันต์ ไม่รู้อะไรต่ออะไร เต็มตัวไปหมด พอมาเจอคำด่าแบบหยาบคายของเมียเข้าแกเลยขึ้น ว่างั้น

อย่างไรก็ดี  หลังจากเสวนากับคนให้ความคิดเห็นพักหนึ่ง คุณสวยอยู่ลึกๆ  [ไม่รู้ว่าลึกระดับไหน] ก็สรุปว่า 

อืม ไม่เคยเชื่อเรื่องแบบสักยันต์อะไรพวกนี้หรอกค่ะ เพิ่งเคยเจอคิดว่าคงจะเป็นอย่างที่คุณบอก เขาอาจจะโมโหเมีย จนขาดสติ

ผมขอยืนยันว่า “เรื่องผีเข้านี้ ทำได้จริง”  และถ้าเข้าแบบนี้ ส่วนใหญ่ของจริง  ถ้าไปเข้าทรงเพื่อหารายได้นั้น  จริงมั่ง ไม่จริงมั่ง

ผีหรือเจ้า มันจะมาเข้าอะไรกันหนักกันหนา  มีลูกค้ามารอยู่ ผีไม่เข้า  คนทรงก็ต้องทำเป็นผีเข้านั่นแหละ 

ถ้ามีลูกค้า แล้ว ผีไม่ตามนัดบ่อยๆ ต่อไปก็ทำมาหากินไม่ได้

วิพากษ์วิจารณ์การไม่เชื่อก่อน

คนกลุ่มนี้ ส่วนใหญ่มักจะเชื่อวิทยาศาสตร์ และไม่ค่อยเชื่อเรื่องนี้  แต่มีเหตุผลหลายประการที่พวกนี้ อธิบายไม่ได้

1) การปฏิเสธว่าชื่อ “หนึ่ง” โดยปกติคนธรรมดา ไม่ว่าจะโมโหใครขนาดไหน ไม่ว่าจะบีบคอ บีบ ฯลฯ ของใครอยู่ก็ตาม  ไม่เห็นจำเป็นจะต้อง “ปฏิเสธชื่อที่คนอื่นเรียก”

การปฏิเสธชื่อคนอื่นนี่ เป็นธรรมเนียมของผีเลยทีเดียว  เพื่อประกาศว่า “กูมีตัวตน” เหมือนกันนะโว้ย ทำนองนั้น

2) กำลังที่เพิ่มขึ้น ขนาดแชมป์ยกน้ำหนักยังอายนั้น มันมาจากไหน

กรณีนี้ ไม่ได้เกิดไฟไหม้ แบบตกใจจนแบกโอ่งได้ แต่เกิดจาก “ความโมโหที่เมียด่า”

3) ทำไม เมื่อมีการสวดมนต์ หรือท่องคาถา คุณไอ้หนึ่งจึงสงบไปพักหนึ่ง แล้วก็เกิดอาการขึ้นมาใหม่ จนกระทั่งผีเหนื่อย แล้วก็ไปตามทางของผีมัน

หลักการของผีเข้าในวิชาธรรมกาย

เรื่องผีเข้า หรือการทรงเจ้าเข้าผีนี้ คนไทยรู้จักกันดี รู้จักกันมานานแล้ว  ผู้อ่านหลายๆ คนนี่ ก็น่าจะเคยเป็นลูกค้าของพวกนี้มาก่อน  หรือก็ต้องมีประสบการณ์เห็นผีเข้ามาก่อน

แต่ยังไม่มีใครที่สามารถอธิบายได้อย่างเป็นวิชาการและมีเหตุผลได้อย่างที่หลวงพ่อวัดปากน้ำสอน

คนเรานั้นประกอบด้วยกายกับใจ  ใจมี 4 อย่าง ดังนั้น องค์ประกอบพื้นฐานของคน จึงมี 5 อย่าง  ซึ่งเรียกกันทั่วไปว่า ขันธ์ 5

ศัพท์ภาษาบาลีก็คือ รูป [เวทนา + สัญญา + สังขาร + วิญญาณ]  ใจทั้ง 4 อย่างนั้น มีการแปลมาเป็นภาษาไทย คือ [ระบบประมวลความรู้สึกว่า ชอบหรือไม่ชอบ และเฉยๆ+ จำ + คิด + รู้]

การแปลของบนนั้น เป็นการแปลผิด  ผิดมาเป็นพันๆ ปี โดยไม่มีใครเฉลียวใจ  หลวงพ่อวัดปากน้ำ แปลไว้ ดังนี้ [เห็น + จำ + คิด + รู้]

ขอให้พิจารณาการแปลของหลวงพ่อวัดปากน้ำให้ดี จะเห็นว่า ข้อความนั้น “สอดคล้องกัน”  คำแปลของพุทธวิชาการทั้งหลาย ไม่สอดคล้องกัน

โง่กันมาเป็นพันปี  โง่กันเป็นหมื่นเป็นแสนคน  เดี๋ยวนี้ก็ยังโง่กันอยู่

มาเข้าเรื่องผีเข้ากันต่อ  เมื่อผีต้องการที่จะควบคุมใคร หรือเข้าไปสิงใคร คุณผีตนนั้น จะต้องเอาใจของผี คือ [เห็น + จำ + คิด + รู้] ไปซ้อนของคนให้สนิทเป็นใจเดียวกัน

แล้วคุณผีก็ควบคุมร่างกายของคนถูกผีเข้าได้ ตามหลักการของพุทธพจน์ คือ “จิตเป็นนาย กายเป็นบ่าว”

ในทางวิชาธรรมกายนั้น ถ้าเราต้องการจะพูดคุยกับใคร ไม่ว่าจะเป็นเทวดา พรหม อรูปพรหม ผี เปรต แม้กระทั่งสัตว์เดรัจฉาน  ก็ต้องทำตามหลักการดังกล่าว

http://drmanasanswers.blogspot.com/2013/07/blog-post_24.html

วันจันทร์ที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2557

ผี เรื่องผี เรื่องเล่าสยองขวัญ วิญญาณเฮี้ยน มาเยี่ยมไข้



บำเพ็ญ เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากวิญญาณเฮี้ยน

ผมได้พบกับเรื่องแปลกประหลาดและน่ากลัวสุดๆ เมื่อไปเยี่ยมไข้ป้าอบ-พี่สาวของแม่ที่โรงพยาบาลเมื่อเดือนก่อนนี้เอง

ป้าอบเป็นสาวโสด ขอผมไปเลี้ยงเป็นลูกบุญธรรมตั้งแต่ยังแดงๆ ได้รับความรักและอบอุ่นไม่ต่างกับแม่บังเกิดเกล้า จนผมเรียนจบมีงานทำและมีครอบครัวแล้ว ก็ยังอยู่กับป้าอบจนมีลูกสาวลูกชายอย่างละคน ป้าอบก็รับภาระเลี้ยงดู "หลานยาย" อย่างเต็มอกเต็มใจ

ในที่สุด ป้าอบก็ล้มเจ็บลงเมื่ออายุได้ 75 ปี!

ปกติป้าเป็นคนแข็งแรง ไม่เจ็บไม่ไข้กับใครเขาง่ายๆ อาจจะเป็นเพราะขยันขันแข็งเอาใจใส่ดูแลสุขภาพตัวเองและหลานๆ แม้จะเกษียณราชการมาแล้วก็ยังเลี้ยงกล้วยไม้ตัดดอกขาย มีรายได้เป็นกอบเป็นกำน่าชื่นใจ

ไม่ทราบว่าเป็นเพราะยาฆ่าแมลงที่สะสมในร่างกายมานับสิบปีหรือเปล่าที่เป็นต้นเหตุ แต่ป้าอบก็หมั่นไปตรวจสุขภาพปีละ 2-3 ครั้ง ไม่ปรากฏว่ามีโรคภัยอะไร นอกจากเป็นไข้เป็นหวัดธรรมดา

...แต่จู่ๆ ก็อ่อนเพลีย หมดกำลัง ได้แต่นอนแซ่วอยู่บนเตียงเกือบเดือน ผมขอร้องให้ไปโรงพยาบาลก็ไม่ยอม พูดแต่ว่า...ไม่เป็นไรมากหรอก เปลืองเงินทองเปล่าๆ ผมแย้งว่าเบิกได้อยู่แล้วก็ไม่ยอมท่าเดียว

"พี่มน" คนเก่าแก่อายุราว 50 ต้องเหน็ดเหนื่อยดูแลป้า ขณะที่ผมกับภรรยาต้องไปทำงาน พวกลูกๆ เพิ่งสิบกว่าขวบก็ยังไม่เป็นประสาอะไร

ป้าอบชักเลอะเลือน หลงๆ ลืมๆ คล้ายเป็นอัลไซ เมอร์ ผมเลยนำตัวไปที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่งแถวอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ต้องเข้าห้องฉุกเฉินทันที...โอ้โฮ! โรคเพียบเลย!

นอกจากความดันสูงคือหัวใจผิดปกติ พบก้อนเนื้อที่ตับ มีอาการน้ำท่วมปอดและขาดอาหาร คุณหมอผู้หญิงถามว่าผู้ป่วยดื่มเหล้าหรือเปล่า? มาจากต่างจังหวัดใช่ไหม? ผมบอกว่าไม่เคยดื่มแอลกอฮอล์ และอยู่กรุงเทพฯ มาตลอดชีวิตก็ไม่ค่อยเชื่อ แถมบอกว่าคนต่างจังหวัดชอบดื่มเหล้า

ผมเลยถามว่าคุณหมออยากไปดูตรอกไหน ซอยใดในกรุงเทพฯ ผมพาไปดูได้ทั้งนั้น...รับรองว่ามีคนดื่มเหล้ากันทุกตรอกทุกซอย อย่าคิดว่าชาวกรุงจะวิเศษกว่าคนต่างจังหวัด

จากห้องฉุกเฉินย้ายไปอยู่ห้องรวมชั้น 7 ตึก 8 ชั้น!

พวกญาติๆ ที่มาเยี่ยมเล่าว่ามาหาตึก 8 ชั้นนี่ไม่ยาก มีป้ายบอกตั้งแต่ทางเข้าแล้ว หรือจะถามใครก็รู้จักทั้งนั้น...เรียก "ตึก 8 ชั้น" เพราะตึกนี้มี 8 ชั้นน่ะซี! ชื่อตึกอะไร? ก็ชื่อตึก 8 ชั้น!!

คิดๆ ก็น่าตลกนะครับ แต่ตอนนั้นผมไม่มีกะจิตกะใจหรอกเพราะเป็นห่วงป้าผู้นอนแซ่วอยู่ในห้องรวมที่มีฟากละ 4 เตียง ทุกเตียงมีอุปกรณ์ช่วยชีวิตครบครัน ทะลุเข้าไปเป็นห้องแพทย์และพยาบาล ดูแล้วน่าอบอุ่นยิ่งกว่าห้องพิเศษด้วยซ้ำ เพราะมีคุณหมอสาวๆ เดินเข้าออกตลอด

คนไข้มีทั้งมะเร็ง, ติดเชื้อ, โลหิตเป็นพิษ...มีญาติมาเยี่ยมกันตั้งแต่เที่ยงถึงสองทุ่ม

พูดถึงญาติๆ นี่ทางผมมีเยอะครับ ไหนจะเพื่อนฝูงที่เคยไปมาหาสู่กันล้วนแต่เคารพรักป้าอบทั้งนั้น พอรู้ข่าวก็แห่มาเยี่ยมกันวันละ 3-4 คน แต่มีเก้าอี้ข้างเตียงแค่ 2 ตัวก็ต้องเกี่ยงกันนั่ง ส่วนมากยืน หรือไม่ก็ออกไปนั่งที่เก้าอี้ยาวหน้าห้อง

ป้าอบได้แต่นอนแซ่ว ทำตาปริบๆ หันมองคนนั้นคนนี้ช้าๆ ถามว่าจำได้ไหม? ก็พยักหน้าบ้าง เฉยๆ บ้าง...เราทำใจว่าป้าคงจะสิ้นอายุขัยแค่นี้เอง!

วันหนึ่ง เพื่อนๆ ผม 3-4 คนที่เคยมาดื่มกินที่บ้าน ติดอกติดใจฝีมือทำกับข้าวของป้าก็บอกว่าเลิกงานจะมาเยี่ยมทุกวัน มีพี่ชีพ, เจ้าชา เจ้าเล้ง...ถึงจะทำงานกันคนละที่ก็สัญญาว่าจะมาพบกันที่นี่ราว 6 โมงเย็น...ขากลับจะได้ยกโขยงไปหาอะไรดื่มกินกันที่พงหลี อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ

วันต่อมา ผมมาเยี่ยมป้าราวห้าโมงครึ่ง หมอบอกว่าต้องให้น้ำเกลือและอาหารทางสายยาง เพราะไม่แน่ว่าน้ำท่วมปอดหรือเปล่า? ไม่งั้นคนไข้อาจจะสำลักได้...ผมก็ได้แต่ปลงใจ ราวหกโมงกว่าๆ พี่ชีพกับเจ้าชาก็มา เหลือแต่เจ้าเล้ง

รายนี้อุปนิสัยเชื่องช้าอยู่แล้ว กว่าจะมาได้ก็เกือบทุ่ม ยกมือไหว้ป้าที่นอนตาลอยแล้วอ้อมไปยืนมองนิ่งๆ อยู่ด้านใน ติดกับเตียงที่รูดม่านกั้นทั้งสามด้าน พยาบาลกำลังทำธุระส่วนตัวได้

คุณหมอมาบอกให้พวกเราทำใจ...กระทั่งสองทุ่มเราก็ชวนกันกลับ พี่ชีพหันไปสะกิดเจ้าชา มองข้ามเตียงไปเรียกเจ้าเล้ง มันพยักหน้าแล้วเดินอ้อมปลายเตียงตามหลังพวกเรามา

ครั้นถึงลิฟต์ปรากฏว่าเจ้าเล้งไม่ได้ตามมา เจ้าชาด่าเบาๆ แล้วหันไปตามตัว ครู่หนึ่งก็เดินหน้าซีดมาบอกปากคอสั่นว่า ไม่เห็นเจ้าเล้งเลยแม้แต่เงา

โธ่! จะไปเห็นได้ยังไงล่ะครับ เรามารู้ข่าวจากมือถือว่าเจ้าเล้งหัวใจวายในรถที่ติดไฟแดงอยู่แถวราชประสงค์...ร่างมันไปนอนในห้องดับจิตโรงพยาบาลตำรวจ แต่วิญญาณยังอุตส่าห์มาเยี่ยมป้าอบตามสัญญา...ขนหัวลุกไปตามๆ กันน่ะซีครับ! บรื๋ออออ...

ขอบคุณ แหล่งที่มาหนังสือพิมพ์ ข่าวสด

วิธีการเห็นผี การใช้ เยื่อกระจกตาคนตาย




ถ้าชีวิตของคุณตกอยู่ในโลกที่มืดมิด และกำลังเสาะหาแสงสว่าง สำหรับหญิงสาวตาบอดที่เฝ้าฝันถึงโลกที่สวยงาม การมองเห็นเฉกเช่นคนอื่น ย่อมเป็นความปรารถนาที่เฝ้าคอย

เพียงทว่าควรตรวจสอบให้แน่ใจว่า การเลือกมองโลกผ่านมุมมองของคนที่ไม่รู้จัก จะเป็นสิ่งที่ดี เพราะมันอาจทำให้คุณได้เห็นและสัมผัสกับสิ่งที่คุณไม่อยากเจอเลยทั้งชีวิต

คำเตือน : เมื่อโลกแห่งวิญญาณที่ผ่านนัยน์ตาของคุณถูกเปิดแล้ว ไม่ใช่เรื่องง่ายที่คุณจะหันหลังกลับ

ขอบคุณ แหล่งที่มา http://www.chomthai.com

ผี เรื่องผี เรื่องเล่าสยองขวัญ วิญญาณหลานสาว

มิ้ง เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากวิญญาณหลานสาว

เรื่องนี้เกิดขึ้นกับพี่สาวของดิฉันเอง พี่หน่อยมีลูกสาวฝาแฝดอายุ 12 ปีชื่อไหมกับแพร สวยน่ารักมากและเหมือนกันเปี๊ยบ ขนาดพี่เชนพ่อของเด็กแท้ๆ และญาติมิตรหลายคน จำผิดจำถูกกันอย่างสนุกสนาน

มีอยู่หลายครั้งที่ถูกหลานหลอกว่าตัวเองเป็นอีกคนหนึ่ง

แหม...พวกแกจะหัวเราะขำกลิ้งเมื่อเห็นเราสับสน หลงเชื่อแกจริงๆ

พี่หน่อยเป็นคนเดียวในโลกที่แยกออก ทันทีที่เห็นใครเป็นใคร แต่บางทีก็เล่นเอางงไปเหมือนกันค่ะ

พี่สาวกระซิบความลับกับดิฉันว่าแพรน่ะ คือคนที่มีขี้แมลงวันเม็ดนิดๆ ที่ติ่งหูข้างซ้าย วันไหนถักเปียจะดูง่าย ต้องเพ่งเอานะคะ แต่ถ้าวันไหนเด็กๆ ปล่อยผมยาวสยายก็จะดูยาก...บอกแล้วไงคะว่าพี่หน่อยที่เป็นแม่แท้ๆ ยังงง!

ดิฉันรักหลานฝาแฝดคู่นี้มาก พวกแกช่างสะสวยเหมือนนางฟ้าตัวน้อยๆ ไม่มีผิดค่ะ

ความสุขอยู่กับเราไม่ได้นานอย่างที่เขาว่าจริงๆ ด้วย...

วันหนึ่งเด็กๆ ล้มป่วยลงทั้งคู่ คุณหมอบอกเพียงว่าติดเชื้อไวรัส พวกแกไข้สูง ปวดศีรษะมาก ต้องนอนโรงพยาบาลอยู่กว่าสัปดาห์ ตอนแรกพวกเราคิดว่าไม่เป็นไรเดี๋ยวก็หายเอง ไม่ได้กังวลอะไรนัก

แต่แล้ว ขณะที่ไหมค่อยๆ ดีขึ้น น้องแพรกลับมีอาการทรุดลงทุกทีๆ

และในที่สุด เธอก็จากพวกเราไปตลอดกาล!

เราทุกคนโศกเศร้าอย่างบรรยายไม่ถูก มันใจหายน่ะค่ะ สงสารพี่หน่อย พี่เชนและน้องไหมอย่างที่สุด พวกเขาหมองหม่นก่นเศร้า ไม่มีอีกแล้วเสียงหัวเราะ...จะยิ้มยังยากเลยค่ะ

เสร็จงานศพของน้องแพรไม่กี่วัน พี่หน่อยก็โทร.หาดิฉันว่ามีธุระจำเป็นคุยด้วย ให้รีบไปหาที่บ้าน ดิฉันก็ไปทันทีที่เลิกงาน

เมื่อกินมื้อเย็นเสร็จน้องไหมก็แยกไปเล่นเน็ตอย่างหงอยเหงา พี่เชนขอตัวไปเตรียมเอกสารที่จะประชุมพรุ่งนี้ เหลือแต่พี่หน่อยนั่งคุยกับดิฉันเพียงลำพัง

เมื่อวานนี้เอง พี่หน่อยกำลังเตรียมทำอาหารอยู่คนเดียวในห้องครัว เธอเอาไก่เข้าเตาอบ และเตรียมทำสลัด ขณะที่กำลังก้มหน้าก้มตาก็รู้สึกว่ามีสายตาคู่หนึ่งจ้องมองจากทางด้านหลัง เธอหันขวับไปดูทันที ก่อนจะยืนตะลึงอยู่กับที่...

น้องแพรผู้ล่วงลับไปแล้วยืนเด่นอยู่ที่นั่น!

ห้องครัวดูเรืองรองด้วยแสงแดดสีทองของยามเย็นวันอาทิตย์...น้องแพรใส่ชุดสีฟ้าอ่อน ผมสยายเคลียไหล่ เป็นภาพที่ตรึงตาตรึงใจเหลือเกิน

พี่หน่อยบอกว่าลูกยืนนิ่งๆ เฉยๆ ดวงตาจ้องมองเธออย่างอ่อนโยน และยิ้มน้อยๆ อย่างที่เคยเห็นมาชั่วชีวิต

นี่ใครกัน? แพรหรือไหม?!

พี่หน่อยตอบไม่ได้ แต่ขนลุกซ่า...

"ไหม?" เธอเรียกเบาๆ ทว่าเกมน่าสนุกที่เด็กๆ ชอบเล่นหวนกลับมาอีกครั้ง เมื่อเด็กน้อยยิ้มละไม "แพรค่ะ!"

พี่สาวดิฉันบอกว่าตอนนั้นเธอตัวชา สับสนไปหมดจนทำอะไรไม่ถูก ได้แต่พูดเสียงสั่นเครือ

"อย่าเล่นอย่างนี้เลยลูก แม่คิดถึงแพรเหลือเกิน..."

ลูกสาวยิ้มจางๆ แล้วหมุนตัวกลับออกจากห้องไป ทิ้งเธอไว้ตามลำพัง แต่เพียงอึดใจต่อมา พี่หน่อยก็ได้สติ และรีบเดินไปดูเองที่ห้องนั่งเล่น

นั่น...ไหมกำลังง่วนอยู่กับคอมพิวเตอร์ ไม่มีทีท่าว่าเพิ่งกลับออกมาจากห้องครัว

ที่สำคัญ ไหมสวมชุดสีเหลืองอ่อน...ไม่ใช่สีฟ้า!

"ฉะนั้น เด็กที่อยู่ในครัวก็คือแพรใช่ไหม...แพรยังอยู่" พี่หน่อยถามดิฉันด้วยเสียงปนสะอื้นจนน่าใจหาย...ไม่รู้แพรจะติดอยู่ในโลกนี้อีกนานเท่าไหร่?

ดิฉันขนลุก แต่ก็ไม่กลัวแกหรอกค่ะ น้องแพรอาจจะมาล่ำลาแม่เธอเป็นครั้งสุดท้ายก็เป็นได้

ดิฉันเหลือบไปมองไหม และแกก็หันมาหาคล้ายรู้ว่ากำลังถูกมองอยู่...แต่ในสีหน้าและแววตานั้น ดิฉันรู้สึกเหมือนกำลังสบตากับแพรจริงๆ แหม...ขนลุกเกรียวไปทั้งตัวเลยค่ะ!


ขอบคุณ แหล่งที่มาหนังสือพิมพ์ ข่าวสด

วันเสาร์ที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2557

ผี เรื่องผี เรื่องเล่าสยองขวัญ เส้นทางสายสยอง






ผมอ่านเรื่องของคนอื่นมามาก วันนี้จะขอเล่าเรื่องของตัวเองมั่งครับเรื่องมีอยู่ว่า พี่ข้างบ้านผมเค้าชื่อว่า เต้ย ครับ เป็นคนที่เรียนเก่งมากๆครอบครัวเขาค่อนข้างมีฐานะพอเรียนปริญญาตรีจบ เขาก็ไปเรียนต่อที่ อเมริกา เป็นเวลา 2 ปี หลังจากกลับมา พอเพื่อนเค้ารู้ข่าวก็เลยโทรชวนให้ออกไปดื่มเหล้าด้วยกันพี่เค้าก็ออกจากบ้านเวลาประมาน 2 ทุ่มกว่าครับ ทางเข้าบ้านเพื่อนพี่ค้อนข้างเปลี่ยว

ไม่มีบ้านคนและเป็นทางลูกรัง สองข้างทางจะเป็นทุ่งนานะคับ เป็นถนนที่ตรงและยาวมากประมาณ 10 กิโลได้ ที่หน้าแปลกก็คือ ทั้งๆที่ถนนสายนี้ไม่มีทางโค้งหรือสามแยก สี่แยก

 แต่กลับมีอุบัติเหตุเกิดขึ้นบ่อยครั้ง และส่วนผุ้ที่ประสบอุบัติเหตุจะเสียชีวิตแบบเดียวกันคือ รถล้ม คอหัก หมุนได้รอบ เกือบทุกราย หลังจากที่พี่ เต้ย ดื่มเหล้าเสร็จก็อยู่ในอาการเมาได้ที่เลย จะขอตัวกลับบ้านก่อน ล่ำลากันเสร็จแล้ว

เวลาประมาณ ตี2เค้าก็ขี่รถมอเตอร์ไซคันโปรด กลับมาทางเดิมระหว่างทางที่ขี่มานั้นพี่เค้าสังเกตเห็นว่ามีคนกำลังเดินมาจากทุ่งนาและกำลังจะขึ้นมาบนถนนทำท่าเหมือนจะโบกให้พี่เค้าจอด พี่เค้าก็จอดครับ

ปรากฎว่ามีผู้ชายคนหนึ่งเดินขึ้นมาจากข้างทางเนื้อตัวเลอะเทอะไปด้วยโคลนตั้งแต่หัวจรดปลายเท้า แล้วลุงคนนั้นก็ถามพี่ว่า “ไอ้หนูเอ็งมีไฟแช็กรึป่าววะ ขอข้าจุดบุหรี่หน่อย” พี่ผมเค้าเห็นท่าไม่ค่อยดีเพราะเนื้อตัวมีแต่โคลนแต่จะดูดบุหรี่บุหรี่

เค้าเลยบิดรถหนีแต่สิ่งไม่คาดฝันก็เกิดขึ้นเมื่อ ลุงคนนั้นเค้าวิ่งตามครับพี่ผมก็บิดหนีใหญ่เลย พี่ผมมองกระจกหลัง เห็นว่าลุงคนนั้นเค้าวิ่งมาใกล้ตัวรถแล้วกระโดดจะคว้าตัว พี่เค้าเลยเบิ้ลเครื่องหนี ลุงคนนั้นพอจับไม่ได้เค้าก็ลุกขึ้นแล้ววิ่งตามต่อและก็กระโดดคว้าอีกแต่พี่เค้าก็หนีได้อีกพออกมาถึงสามแยกพี่เค้าก็ขอนอนบ้านญาติที่มีบ้านอยู่แถวนั้นไม่กล้ากลับไปนอนบ้านแล้ว

พอรุ่งเช้าพี่เค้าก็ขอตัวกลับบ้าน เดินออกมาที่รถที่จอดอยู่บนลานปูนหน้าบ้านก็พบว่ามีรอยเท้าเปื้อนโคลนเดินย่ำอยู่เต็มลานบ้านเลยครับ หลังจากลับไปที่บ้านแล้ว เค้าก็ถามแม่ แม่ก็บอกว่า เคยมีลุงคนนึง

เค้าเมาเหล้าแล้วไปเก็บเบ็ดที่ปักเอาไว้เกิดอยากสูบบุหรี่ขึ้นมา กำลังจะจุดไฟแช็กแต่ไฟแช็กตกน้ำเลยก้มลงไปมองแต่ตัวเองเมาแล้วหน้ามืดหัวทิ่มลงไปในนั้นแล้วจมน้ำตาย

 พี่เค้าก้เลยคิดเล่นๆว่าคนที่ขี่มอเตอร์ไซแล้วล้มคอหักตายนี่น่าจะมาจากการที่โดนลุงคนนั้นวิ่งตามแล้วกระโดดคว้าแบบที่เค้าเจอเมื่อคืนเป็นแน่ หลังจ่กวันนั้นผ่านไปประมาน 3 อาทิตย์ มีคนขับรถมอเตอร์ไซล้มคอหักตายพี่เค้าเลยไปดูกับชาวบ้านเค้าด้วย

พี่สังเกตเห็นว่า ที่บริเวณรอบแถของรถที่ล้มมีรอยเท้าเปื้อนโคลนเหมือนคนวิ่งตามรถ เป็นระยะทางไกลพอสมควร เค้าก็เลยรู้สาเหตุว่าทำไม คนคนนี้ถึงได้รถล้มแต่ก็ไม่ได้เล่าให้ใครฟัง

 หลังจากวันนั้นพี่เค้าก็กลับอเมริกา ผมก็ไม่ได้เจอเค้าอีกนานๆถึงจะกลับมาซะที ยังมีเรื่องเล่าอีกมากมายไว้วันหลังจะมาเล่าให้ฟังกันใหม่นะคับ


ขอบคุณ แหล่งที่มาหนังสือพิมพ์ รักดารา

วันศุกร์ที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2557

ผี เรื่องผี เรื่องเล่าสยองขวัญ แท็กซี่สยองขวัญ


บรรจง เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากตะพานหิน

ผมเป็นคน ต.ท้ายทุ่ง อ.ทับคล้อ จ.พิจิตร แดนดินถิ่นชาละวัน ไปเกณฑ์ทหารจับได้ใบดำ ฉลองกันเสร็จก็ไปอยู่กับน้าชายที่พัทยา แต่เกิดเรื่องจนเข้ามาอยู่กรุงเทพฯ โชคดีได้งานขับรถบ้าน กินอยู่เสร็จ คิดว่าชีวิตคงจะราบรื่นเสียทีเพราะอายุก็ปาเข้าไปสามสิบปีแล้ว

จะมีห่วงก็แม่คนเดียวที่พิจิตรเท่านั้น พวกพี่ๆ แยกย้ายไปมีครอบครัวกันหมด ต่อมาพ่อตายก็เหลือแต่แม่คนเดียว พวกพี่ๆ ช่วยกันดูแล ผมเองก็ส่งเงินไปบ้าง ไปเยี่ยมแม่บ้าง

การเดินทางสะดวกครับ ขึ้นรถสปรินเตอร์ที่หัวลำโพงไปลงตะพานหิน แล้วต่อสองแถวหรือแท็กซี่บึ่งไปทับคล้อได้เลย ตอนกลางวันไปสองแถวถูกเงินหน่อย แต่ถ้าถึง 2-3 ทุ่มต้องนั่งแท็กซี่ไป ไม่ใช่แท็กซี่แบบในกรุงนะครับ แต่ต้องรอให้ผู้โดยสารเต็มถึงจะออกรถ

ข้างหน้า 2 รวมคนขับเป็น 3 คน ข้างหลังมีผู้โดยสารอีก 4 คน แบบว่าอัดกันเป็นปลากระป๋องยังไงยังงั้น เรื่องติดแอร์เย็นฉ่ำน่ะอย่าไปเพ้อฝันเลอะเทอะดีกว่า

เมื่อปีกลายผมกลับบ้านตอนหน้าฝน เจอเรื่องขนหัวลุกเข้าเต็มเปา!

สาเหตุเพราะผมนั่งรถไฟไปถึงตะพานหินตอนหัวค่ำ ท้องไส้ร้องจ๊อกๆ เลยแวะร้านเหล้าขาประจำ ซดเบียร์และกับแกล้ม 2-3 อย่าง ไม่อยากกระหืดกระหอบไปนั่งหิวบนรถสองแถว ยังไงๆ ก็ต้องไปแท็กซี่อยู่ดี

เสร็จสรรพจ่ายเงินเดินไปที่คิวรถแท็กซี่...จู่ๆ เกิดง่วงนอนบอกไม่ถูก ใจหนึ่งก็อยากเข้าโรงแรมหลังสถานี เปิดห้องหลับนอนให้เต็มอิ่ม แต่อีกใจก็...กลับบ้านดีกว่าน่า!

สะบัดหัวไล่ความมึนงง มองเห็นแท็กซี่กำลังกดแตรเรียกคน...ผู้โดยสารคงจะเต็มรถแล้วมั้ง? ปรากฏว่าเหลือที่ว่างด้านหลังอีกคนเดียว...พอรถออกก็ถอนใจโล่งอก ถึงจะเบียดกันหน่อยก็ไม่เป็นไรเพราะผมนั่งริมประตู ถือโอกาสพิงหลับซะเลย หลังจากบอกคนขับว่า...ลง ทับคล้อ! ถ้ายังไม่ตื่นก็ช่วยปลุกด้วยละกัน เดี๋ยวจะเลยไปจนถึงปลายทางที่ชนแดน

ไม่ช้าผมหลับผล็อยไป...เดี๋ยวเดียวก็เริ่มฝันเป็นตุเป็นตะทันที!

รถกำลังห้อตะบึงไปในความมืด ในรถก็ไม่ได้เปิดไฟ แต่ทำไมถึงเห็นหน้าตาคนอื่นๆ ชัดเจนก็ไม่รู้...ข้างหน้ามีหนุ่มสาวนั่งอิงไหล่กันผาสุก ข้างๆ ผมเป็นชายแก่ผอมดำ ผมขาวโพลน ถัดไปชายฉกรรจ์รุ่นเดียวกับผม...ทั้งสามคนนั่นนั่งตัวแข็งทื่อเหมือนรูปหุ่น ไม่มีใครปริปากพูดคุยกันเลยแม้แต่คำเดียว

มองข้างหน้าอีกทีก็ใจหายวาบ...ไม่มีหนุ่มสาวคู่นั้นแล้ว กลับเป็นชายสองคนนั่งตัวแข็ง หัวตั้งตรงคล้ายกำลังจ้องไปข้างหน้าอย่างเดียว...คนขับก็มีท่าทางแบบเดียวกัน

สรรพสิ่งเงียบเชียบจนน่าขนลุก ไม่มีเสียงเครื่องยนต์ดังกระหึ่ม แต่กลับมีเสียงลมพัดอู้ๆ เข้ามาในรถ จนผมหนาวเยือกไปถึงขั้วหัวใจ!

เอ๊ะ! นี่มันฝันหรือจริงกันแน่ล่ะ?

ฉับพลันนั้น ชายแก่ผมขาวโพลนก็กระชากมีดปลายแหลมออกมาจ้วงแทงคนที่นั่งข้างๆ จนเลือดพุ่งเป็นน้ำพุ ผู้ชายที่นั่งริมสุดก็โถมไปใช้มีดปาดคอคนขับจนคางฟุบจดอก...ชายสองคนข้างหน้าก็ชักมีดออกมาจ้วงแทงกันอย่างดุเดือดเหี้ยมเกรียม

ในรถมีแต่เลือด เลือด และเลือดทั้งนั้น ส่งกลิ่นเหม็นคาวคละคลุ้งจนแทบอาเจียนจนสิ้นไส้สิ้นพุง!

"โอ๊ย! ช่วยด้วย..." ผมได้ยินเสียงตัวเองตะโกนลั่นๆ จนสะดุ้งตื่น คนขับหันมาหัวเราะร่า ถามว่า...ฝันร้าย เรอะไอ้น้อง? ผมได้แต่พยักหน้า ปากคอแห้งผากจนพูดอะไรไม่ออก เหงื่อกาฬแตกซิก หัวใจเต้นโครมครามเหมือนเสียงกระหน่ำกลองทัดในโรงลิเก

"ไม่มีอะไรหรอก หลับตาเถอะ..." เสียงเยือกเย็นชวนให้เสียวสันหลัง ผมเหลียวมองก็ไม่เห็นอะไรในความมืด...ไม่เห็นอะไรเลยจริงๆ จนผมเอะใจว่าจะเห็นใครมั่งแต่ก็ไม่เห็น

พริบตานั้นเอง ผมก็อ้าปากค้าง ขนลุกซ่าที่ท้ายทอย เย็นวาบไปตลอดไขสันหลัง รู้สึกเหมือนได้ยินอะไรลั่นเปรี๊ยะๆ อยู่ในสมอง ภาพต่างๆ พร่าพราย กลายเป็นสีเขียวๆ แดงๆ แตกกระจายเต็มหน้า

นรกเป็นพยาน! ในรถคันนั้นไม่เหลือผู้โดยสารอีก 5 คนเหลืออยู่เลย นอกจากผมคนเดียว...หันไปทางคนขับก็แทบจะขาดใจตายในบัดดล!

ในรถแท็กซี่อุบาทว์คันนั้นมีแต่ผมคนเดียวที่นั่งตัวแข็งทื่อราวกับถูกสาปให้กลายเป็นหิน เหงื่อกาฬไหลเผาะๆ แทบจะเปียกชุ่มไปทั้งตัว

รวบรวมกำลังครั้งสุดท้ายโถมเข้าชนหน้าต่างจนเปิดผาง ตัวเองกลิ้งหลุนๆ ลงมา คิดว่าจะลุกขึ้นเผ่นหนีไม่คิดชีวิต...พอดีเห็นแสงไฟสว่างไสวอยู่รอบๆ ตัว

ผู้คนมุงดูสลอน ผมกะพริบตาถี่ๆ เมื่อจำได้ว่ายังอยู่ที่หลังสถานีตะพานหินตามเดิม...หรือผมจะทั้งเมาทั้งง่วงจนเห็นภาพหลอนไปเอง? แต่มารู้ทีหลังว่าคนขับแท็กซี่หัวใจวายคารถเมื่อตอนเย็นนี่เอง...นึกแล้วยังขนหัวลุกเลยครับ!

ขอบคุณ แหล่งที่มาหนังสือพิมพ์ ข่าวสด

วันอังคารที่ 15 เมษายน พ.ศ. 2557

ผี เรื่องผี เรื่องเล่าสยองขวัญ โลงแตก




สมัยเด็กผมอยู่หนองโดน สระบุรี ตอนนั้นยังเป็นหมู่บ้านเล็กๆ ชาวบ้านทำไร่ทำนาเป็นอาชีพหลัก ยามว่างก็หาผักหาปลา หากบหาเขียดหรืองมหอยมากินได้ ไม่เดือดร้อนอะไรนัก

สิ่งที่ฝังใจผมในวัยเด็กก็คือการเผาศพ!

วัดเล็กๆ ดูเก่าแก่ทรุดโทรมมากไม่มีเมรุเผาศพอย่างวัดอื่น ถ้าใครตายก็จะก่อกองฟืนเผาผีที่หลังโบสถ์ เรียกว่า “เมรุลอย” ผมกับเพื่อนๆ ชอบไปดูการเผาศพ…เห็นกองไฟใหญ่ๆ ลุกแดงฉาน ควันโขมงลอยพลุ่ง เปลวไฟแดงฉานตัดกับท้องฟ้าสีเทาน่าดู เพราะส่วนมากเขาจะเผาศพกันตอนบ่ายแก่ๆ จวนเย็น

ไฟจากกองฟืนลุกท่วมโลงสีแดงจ้า เสียงดังคึ่กๆ เหมือนเสียงใครคำรามเกรี้ยวกราด เราคอยลุ้นว่ากองฟืนจะทลายลงมาหรือเปล่า ต้นกล้วยที่ค้ำยันไว้ข้างละ 2-3 ต้นจะเอาอยู่ไหม? ถ้ามันล้มลงตอนไฟไหม้มีหวังฟืนกระจาย โลงศพมีหวังตกลงมาแตกแน่ๆ

แต่ผมยังไม่เคยเห็นสักที นอกจากกลิ่นศพถูกไฟไหม้ คล้ายกับเราย่างเนื้อสดๆ แต่กลิ่นศพแรงกว่า

…สิ่งที่พวกเด็กๆ อยากดูนักเวลาเผาศพ ก็คือตอนที่ไฟกำลังโหมไหม้โลงอยู่คึ่กๆ นั้น บางทีจะมีศพทะลึ่งพรวดขึ้นมานั่งกางแขนจังก้า ผู้หญิงกับเด็กๆ ถึงกับร้องกรี๊ดๆ ด้วยความตกใจไปตามๆ กัน

หลายๆ คนถึงกับวิ่งหนีเตลิดเปิดเปิงไปเลย!

ลองนึกถึงภาพศพที่มีไฟลุกท่วมตัว นั่งอยู่ในกองไฟด้วย…ถ้าไม่มีเสียงฟืนโหมไหม้คึ่กๆ คงจะได้ยินไฟเผาเนื้อหนังสดๆ ดังแฉ่ๆ อย่างแน่นอน! พวกผู้ใหญ่บอกว่าเป็นเพราะความร้อนจัด เส้นเอ็นยึด ทำให้ร่างศพลุกผึงขึ้นมาให้ขวัญหนีดีฝ่อไปหมด ไม่ใช่เพราะอำนาจภูตผีน่าสยดสยองอะไรหรอก

ต่อมา สัปเหร่อใช้ท่อนฟืนทับศพก่อนเผาหลายๆ ท่อน ทำให้ไม่เกิดปัญหาสยองขวัญขึ้นมาอีก…แต่แล้วก็เกิดเรื่องขนหัวลุกขึ้นจนได้

เย็นนั้นมีการเผาศพตาป่วนขี้เมาที่ตกบันไดตาย!

บ้างก็ว่าตาป่วนกินเหล้าเมามายเหมือนทุกๆ วัน เดินโซซัดโซเซกลับบ้านแล้วพลาดตกบันไดจนคอหัก แต่บ้างก็ว่าตาป่วนขึ้นบ้านแล้วทะเลาะกับเมีย จนโดนยายปองถีบตกบันไดลงมาตายต่างหาก

แต่ที่แน่ๆ คือการเผาศพตาป่วนยังติดหูติดตามาจนถึงทุกวันนี้

ขณะที่ไฟกำลังโหมไหม้โลงของแกดังคึ่กๆ ลมปั่นป่วนไปมา กลิ่นศพเหม็นรุนแรงจนหลายคนเบือนหน้าหนี บางคนพูดว่า…มีเหล้าดองมาตั้งหลายปีไม่น่าจะเน่าใน!

ทันใดนั้น ศพตาป่วนก็ทะลึ่งพรวดขึ้นมานั่ง กางแขนอ้าซ่า ท่ามกลางเสียงหวีดร้องของผู้หญิง พวกผู้ชายยังผงะหน้าร้องเฮ้ยฮ้ายกันด้วยความตกใจ สัปเหร่อเองก็ยืนตะลึงไปเพราะคาดไม่ถึง

ก่อนที่จะใช้ไม้ไผ่ยาวๆ จัดการให้ศพเอนราบลง…ร่างที่มีไฟลุกท่วมอยู่ในโลงก็ร่วงลงมาบนพื้นดิน พร้อมๆ กับต้นกล้วยล้ม กองฟืนกับโลงศพไฟลุกโชนทลายลงมาอย่างน่ากลัว ทำให้เสียงหวีดร้องยิ่งดังแสบแก้วหูมากกว่าเดิม

นรกเป็นพยาน! ร่างตาป่วนที่มีไฟเป็นเสื้อผ้าไม่ได้นั่งกับพื้นที่เต็มไปด้วยลูกไฟ แต่กลับยืนจังก้า กางแขน ทำท่าเหมือนจะก้าวเข้ามาหาพวกเรา คนแก่กับผู้หญิงเรอเอิ๊ก…เป็นลมไปหลายคน

เสียงใครสวดมนต์ ท่องอิติปิโสกันปากสั่น…ก่อนที่ร่างน่าสยองนั้นจะล้มฟาดลงบนพื้นดิน!

ผมกับพวกเพื่อนๆ พร้อมใจกันรีบวิ่งกลับบ้านด้วยความอกสั่นขวัญแขวนสุดขีด บางคนถึงกับจับไข้ไปตั้งหลายวัน

…เรามารู้ทีหลังว่าสัปเหร่อสนต้องหาฟืนมาเพิ่มเติมเพื่อเผาศพตาป่วนจนมอด ไหม้ ลูกเมียแกหวาดกลัวอิทธิฤทธิ์ของภูตผีจนไม่ยอมเก็บกระดูก กองฟอนถูกกวาดทิ้งถมดินมาจนถึงทุกวันนี้…นึกถึงแล้วยังขนหัวลุกเลยครับ!

ขอบคุณ แหล่งที่มาหนังสือพิมพ์ รักดารา

ผี เรื่องผี ประสบการณ์สยองขวัญ หนูยังอยู่






นิศานาถ เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากวิญญาณหลงทาง

ดิฉันพบเด็กผู้หญิงลึกลับในชุดกระโปรงสีชมพู คนนั้นเมื่อตอนโพล้เพล้พอดี ตอนนั้นดิฉันกำลังขับรถเข้าซอย ใกล้จะถึงบ้านแล้วค่ะ

ซอยบ้านนี่ก็แปลกนะ แถวๆ หน้าซอยน่ะคึกคักเชียว มีรถขายไก่ย่าง ส้มตำ ก๋วยเตี๋ยว ไอติมมีครบครัน ตอนเย็นๆ จะมีคนขวักไขว่ ทั้งเด็กนักเรียนและบรรดา ผู้ใหญ่ที่กลับจากทำงาน บรรยากาศไม่เงียบเหงาเลย จะมีคนเดินซื้อของกินกันไปเรื่อยตั้งแต่หัววันยันดึกดื่น

แต่พอขับรถลึกเข้ามาถึงกลางซอย บรรยากาศก็เปลี่ยนไป มันเงียบสงบเพราะมีแต่บ้านคนทั้งนั้น แต่ละหลังน่ะกำแพงทึบสูง มองไม่เห็นใครเพราะเขาอยู่ในบ้านกันหมด...ต่างคนต่างกินข้าว ดูทีวี พักผ่อนเมื่อจบวันอันเหนื่อยหน่าย

เมื่อพระอาทิตย์จวนสิ้นแสง ไฟถนนในซอยก็เปิดพรึ่บ แต่ยังหรอกค่ะ มันยังไม่สว่างเจิดจ้าเพราะยังไม่ทันมืด ช่วงเวลานี้มันสลัวมัวซัวไปทั่ว ดิฉันชอบเรียกว่าแดนสนธยา! เพราะจะเป็นกลางวันก็ไม่ใช่ กลางคืนก็ไม่เชิง

เอ๊ะ! อะไรกันนั่น...

ตรงหัวโค้งที่เป็นทางสามแพร่ง มีร่างเล็กๆ เหมือน ตุ๊กตานั่งพิงกำแพงอิฐสีเทาอยู่ ถ้าไม่สังเกตดีๆ ก็แทบจะไม่เห็นเลย เพราะมันไม่ใช่กำแพงโล่งๆ แต่เจ้าของบ้านเขาปลูกต้นไม้สวยไว้หนาทึบ...มันเป็นพุ่มไม้สูงราวหนึ่งเมตร ดอกสีม่วงอร่าม...

เด็กคนนั้นซุกตัวอยู่ในกอไม้ และทำท่าจะลุกออกมาตัดหน้ารถดิฉัน ดิฉันแตะเบรกจนรถหยุด นึกฉุนอยู่เหมือนกันว่า พ่อแม่หรือผู้หลักผู้ใหญ่ไปไหนหมดนะ ปล่อยปละละเลยลูกเล็กเด็กแดงตัวกะเปี๊ยกไว้คนเดียว

นี่ถ้ารถแล่นมาเร็วๆ เบรกไม่ทันจะว่ายังไงเนี่ย?

ดูซิ! เด็กตัวนิดเดียวจริงๆ ท่าทางจะไม่เกินสองขวบเสียด้วยซ้ำ เมื่อแกเดินผ่านหน้ารถดิฉันก็มองไม่ เห็นเลยล่ะ อันตรายจริง! แกหายไปไหนแล้วล่ะนี่...

ดิฉันเปิดประตูรถลงมามองหาจนเจอ อ้าว? แม่หนูนั่งลงกับพื้นซะงั้น! แกนั่งลงกระโปรงสีชมพูบานเชียว แหงนหน้ามองตาแป๋ว...ไฟหน้ารถส่องตัวแกเหมือนตัวละครบนเวที

"มาจากไหนล่ะเนี่ย...พ่อแม่ไปไหนจ๊ะ?"

ดิฉันถามขณะที่เดินไปดึงตัวขึ้นมา เด็กน้อยลุกขึ้นยืนอย่างว่าง่าย ตัวแกเบาหวิวและเย็นๆ ชื้นๆ จนดิฉันนึกถึงสัมผัสของปีกค้างคาว หรือไม่ก็เนื้อไก่ที่เราเอาออกจากตู้เย็นไว้เตรียมทำกับข้าว...

ความคิดต่อจากนั้นก็คือ เด็กคนนี้ท่าจะหลงมาแน่ๆ ดิฉันไม่เคยเห็นแกเลย!

นาทีต่อมา ดิฉันกดออดบ้านที่เด็กนั่งพิงกำแพงเขาอยู่ สาวใช้เดินออกมาดูและบอกว่าไม่รู้จักเด็กน้อย อย่างไรก็ตาม เธอมีน้ำใจไปร้องเรียกถามเอากับบ้านที่อยู่ติดๆ กัน ปรากฏว่าไม่มีใครรู้เลยว่าแกมาจากไหน? เป็นลูกเต้าเหล่าใคร?

"อาจจะลูกคนงานก่อสร้างก็ได้ค่ะ" ใครคนหนึ่งออกความเห็น

จริงซีนะ แถวๆ หน้าปากซอยน่ะ มีบ้านหลังหนึ่งเพิ่งรื้อออกเหลือแต่ที่ดินโล่งๆ ราวสองร้อยตารางวา แล้วมีการปรับถมดิน ลงเสาเข็มกันตึงตัง นัยว่าจะปลูกเป็นหอพักสูงห้าชั้น เด็กคนนี้อาจจะมาจากไซต์งานนั้นก็ได้ เอ...เดินมาไกลน่าดู!

ดิฉันอุ้มเด็กน้อยมาวางที่เบาะหลังรถ นึกเอะใจในความเบาหวิวของร่างน้อยๆ นั้นอีกครั้ง แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรเพราะไม่รู้จะพูดกับใคร

จากนั้นก็กลับรถท่ามกลางสายตาชาวบ้าน 3-4 คนที่มองมาอย่างเป็นห่วงเป็นใย

เป็นอันว่าดิฉันต้องขับย้อนมาทางหน้าซอย ถึงบ้านที่กำลังก่อสร้าง!

ความมืดโรยตัวลงมารวดเร็วมาก คนงานผละจากสิ่งที่ทำมาทั้งวัน แล้วไปอาบน้ำ อาบท่า หรือหุงหาอาหารอยู่ในเพิงที่ปลูกเป็นที่พักชั่วคราว พวกเขามองมาอย่างแปลกใจ ดิฉันเรียกสุ่มๆ ไปว่า...ช่วยมาดูซิว่าลูกใคร?

ผู้หญิงรูปร่างท้วม ผิวคล้ำ หน้ากลม ผมดัดหยิกสั้นคนหนึ่ง นุ่งกระโจมอกอยู่เดินมาดูพร้อมๆ กับเพื่อนหญิงชายอีก 2-3 คน พอมาถึงก็มองผ่านกระจกเข้ามาที่เบาะหลังรถของดิฉัน

"ไหนๆ?" เธอถาม ดิฉันเหลียวมองแล้วก็ใจหายวาบเมื่อในรถมีแต่ความว่างเปล่า

"เด็กแต่งตัวยังไง?" เธอมองหน้าดิฉันเขม็ง พอดิฉันบรรยายเธอก็หันไปพูดเชิงบ่นกับคนข้างๆ ว่า "เอาอีกแล้ว!"

เมื่อปีก่อน คนงานกลุ่มนี้ไปก่อสร้างแถวพุทธมณฑล พวกเขามีเด็กผู้หญิงเล็กๆ วัยสองขวบที่ซุกซน ชอบเดินเล่นเรื่อยเปื่อยโดยไม่มีผู้ใหญ่ดูแล...เด็กน้อยถูกรถชนตายตอนโพล้เพล้ ในชุดกระโปรงสีชมพูค่ะ!

ขอบคุณ แหล่งที่มาหนังสือพิมพ์ ข่าวสด

วันจันทร์ที่ 14 เมษายน พ.ศ. 2557

เครื่องรางของขลัง ควายธนู





เมื่อเอ่ยถึงเครื่องรางของขลังชนิดหนึ่ง ที่คนไทยเราเชื่อถือกันมาตั้งสมัยโบราณ นั่นคือ ควายธนู เชื่อว่าบางท่านคงจะเคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อน แต่อีกหลายๆ ท่านอาจจะงุนงง ไม่ทราบว่าเป็นอะไรกัน

ถ้ากล่าวรวมๆ ถึงเครื่องรางแล้ว ควายธนูถือเป็นของขลังชนิดหนึ่ง พอๆ กับหุ่นพยนต์หรือกุมารทองนั่นแหละค่ะ ประโยชน์คือใช้ป้องกันตัวเองและครอบครัว หรือไม่ก็ใช้ทำร้ายศัตรู ส่วนจะมากน้อยเพียงไรก็ขึ้นอยู่กับความต้องการของเรา

สมัยเด็กดิฉันอยู่จังหวัดกำแพงเพชร หรือ “เมืองชากังราว”

เป็นบ้านเมืองเก่าแก่มากๆ รุ่งเรืองมาตั้งแต่สมัยทวารวดี เป็นที่ตั้งของเมืองโบราณหลายเมือง เช่น ชากังราว, นครชุม, ไตรตรึงษ์และเมืองเทพนคร เป็นต้น

กำแพงเพชรเป็นเมืองหน้าด่านของสุโขทัย เดิมชื่อชากังราว มีฐานะเป็นเมืองลูกหลวง เป็นเมืองที่ต้องรับศึกสงครามในอดีต ปรากฏหลักฐานอยู่ทั้งกำแพงคูเมือง, ป้อมปราการและวัดโบราณ เป็นเสน่ห์ดึงดูดใจให้นักท่องเที่ยวทั้งไทยและเทศไปเยี่ยมชมเป็นประจำ

สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพได้ทรงบันทึกเรื่องเมืองกำแพงฯ ไว้ว่า

“เป็นกำแพงเมืองที่เก่าแก่มั่นคง และยังมีความสมบูรณ์มาก และเชื่อว่าสวยงามที่สุดในประเทศไทย”

พวกเราชาวกำแพงฯ ล้วนมีความภูมิใจมากค่ะ เมื่อองค์การศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมสหประชา ชาติ (UNESCO) ให้ขึ้นทะเบียนไว้ในบัญชีมรดกโลก เมื่อวันที่ 12 ธันวาคม พ.ศ.2534

ขออวดคำขวัญประจำจังหวัดกำแพงเพชรหน่อยนะคะ

“กรุพระเครื่อง เมืองคนแกร่ง ศิลาแลงใหญ่ กล้วยไข่หวาน น้ำมันลานกระบือ”

เมืองกำแพงฯ โด่งดังทั้งเรื่องพระเครื่องสุดยอด กับกล้วยไข่อร่อยสุดๆ ครอบครัวดิฉันทำสวนกล้วยไข่มาหลายชั่วคนแล้วค่ะ กินกระยาสารทกับกล้วยไข่ ถ้าเป็นคนสมัยนี้ก็ต้องบอกว่า…เป็นอะไรที่อร่อยสุดๆ ซะไม่มี!

ขณะนั้น พ่อกับลุงเป็นคนดูแลสวนกล้วย ส่วนอายังเป็นวัยรุ่น เพื่อนเยอะ นิสัยชอบเที่ยวเตร่แทบทุกวัน พวกพี่ๆ คือพ่อกับลุงก็ตามใจเห็นว่าเป็นน้องคนเล็ก แต่ปู่ดิฉันบอกให้ช่วยกันตักเตือนดูแล หาไม่จะนำเรื่องเดือดร้อนมาให้

จริงด้วยค่ะ วันหนึ่งพบว่ากล้วยในสวนถูกฟันยับ ทั้งที่ยังเครืออ่อนๆ อยู่ทั้งนั้น!

ได้ความว่าอาเล็กไปมีเรื่องกับพวกในสวนใกล้ๆ เลยโดนแก้แค้นด้วยวิธีนี้ ปู่บอกให้ทำเฉยๆ ไว้ จะจัดการป้องกันให้เอง ไม่ต้องกลัว!

ปู่ดิฉันอายุหกสิบเศษแล้ว ได้ชื่อว่าเก่งกาจทางคาถาอาคมและวิชาไสยศาสตร์รอบตัว ห้องของปู่อยู่ริมสุด ไม่ค่อยมีใครกล้าไปนอกจากปู่เรียก ดิฉันเคยเข้าไปเมียงๆ มองๆ เห็นอับทึบมีโต๊ะหมู่บูชากับมีดและไม้ หน้าโต๊ะมีกระบอกไม้ไผ่ผ่าครึ่ง ดาบเล่มใหญ่แขวนไว้ที่ข้างฝา

วันต่อมา สวนเราก็โดนบุกรุกมาฟันกล้วยทิ้งแบบรังแก แต่คราวนี้ไม่มากเหมือนครั้งแรก พ่อกับลุงไปดูแล้วบอกว่าเห็นเลือดหยดเป็นทางแล้วหายไป

ปู่ชวนพวกเราเดินไปเรื่อยๆ ราวกับจะรู้จุดหมายดี นั่นคือบ้านลุงขำกับป้าถ้วน ได้ยินเสียงครางโอยๆ มาจากในเรือน สองผัวเมียออกมาคุกเข่าไหว้ปู่ บอกว่าขอชีวิตลูกชายด้วยเถิด ต่อไป “ไอ้แผ้ว” คงจะไม่กล้าไปลองดีที่สวนของเราอีกแล้ว

ดิฉันได้ยินปู่สั่งให้เรียกนายแผ้วออกมา…คู่อริของอาเล็กนั่นเอง!

นายแผ้วยกมือไหว้ขอโทษ เห็นเลือดซึมที่ชายโครงขวาเป็นดวงๆ ปู่สั่งให้ลุงขำกับป้าถ้วนชดใช้ค่าเสียหาย ทั้งสองก็ทำตามโดยดี

ก่อนจะกลับ ปู่ส่งขวดน้ำมันเล็กๆ เท่าขวดยานัตถุ์ให้ บอกว่าใช้ทาแผล…ถ้าขืนทำชั่วอีกครั้งมีหวังโดนควายขวิดไส้ทะลัก ตายคาที่แน่ๆ เล่นเอานายแผ้วหน้าขาวซีด ตัวสั่นเทาไปเลยค่ะ

เมื่อกลับถึงบ้าน พ่อกับลุงแยกกันไปทำงานเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ปู่พาดิฉันเข้าไปในห้อง หยิบควายตัวเล็กๆ จากพานหน้าโต๊ะพระ เป็นควายที่ทำจากฟางข้าว มัดด้วยเชือกขาวๆ ทั้งตัว…คิดว่าคงเป็นสายสิญจน์แน่ๆ มาให้ดิฉันดู

เมื่อเห็นดิฉันยังงุนงง แต่ทำหน้าแหยงๆ ปู่ก็ยิ้มแล้วบอกว่า…นี่ไง ควายธนูที่ปู่ส่งมันไปเฝ้าสวนเมื่อคืนนี้เอง

ดิฉันหายสงสัยแล้วเมื่อเห็น “เขา” ข้างหนึ่งของ “ควายธนู” ยังมีเลือดแดงๆ ติดอยู่…และติดหูติดตาดิฉันมาจนถึงทุกวันนี้เลยค่ะ!

ขอบคุณ แหล่งที่มาหนังสือพิมพ์ รักดารา

วันอาทิตย์ที่ 13 เมษายน พ.ศ. 2557

สยองขวัญ วิญญาณห้องตรงข้าม


ก่อนหน้านั้น ณ มหาวิทยาลับมีชื่อแห่งหนึ่งของภาคตะวันออก ปีการศึกษา 2526 ผมอยู่ที่นี่มาสองเดือนแล้ว กำลังปรับสภาพให้เข้ากันได้กับมหาวิทยาลัยที่นี่ มันก็ไม่ง่ายนักกับการที่เคยอยู่บ้านสบาย ๆ ต้องมาอยู่เองตัวคนเดียว และรับผิดชอบตัวเองตั้งแต่ตื่นยันนอน หอพักที่มหาวิทยาลัยจัดไว้ให้ แบ่งระบบหอชายมีอยู่ 7 หอ ผมได้อยู่หอที่ 7 ซึ่งถือว่าเป็นหอใหญ่ที่สุด

แบ่งเป็นปีกซ้ายปีกขวา มีทางเดินเชื่อมตรงกลาง ข้างหน้าหอเป็นลานจอดรถ ส่วนด้านหลังเป็นสนามกีฬาที่เหล่านักศึกษาของแต่ละหอจะมาใช้ประโยชน์ร่วมกัน ตกเย็นละก็ ครึกครื้นมากแต่พอเข้าไต้เข้าไฟแล้วนี่สิครับ เงียบเหงาวังเวงว้าเหว่สิ้นดี เพราะในรั้วมหาวิทยาลัยนะ มีกฏระเบียบควบคุมบังคับ จะเฮจะฮาอึกทึกครึกโครมดึก ๆ ดื่น ๆ เหมือนพวกหอพักเอกชนนอกมหาวิทยาลัยนั้นไม่ได้ ใครทนเงียบทนเหงาไม่ได้ก็ต้องออกไปอยู่หอนอก

ผีห้องตรงข้าม

ส่วนตัวผมจำเป็นต้องอยู่หอใน เพราะว่าค่าหอนั้นถูกกว่ากันครึ่งต่อครึ่ง ค่ำลงก็เปลี่ยวเหงาเศร้าซึม คิดถึงพี่ป้าน้าอาบ้านช่องไปตามระเบียบแต่ก็ดีที่ยังมี’ไอ้แกว’เพื่อนผมเอง เป็นนักศึกษาอยู่เฟรชชี่ปีหนึ่งเหมือนผม ถึงจะอยู่คนละคณะ แต่ก็เคยอยู่หอพักที่เจ็ดนี้ด้วยกันมาก่อน

ตอนนี้มันย้ายไปอยู่หอนอก และก็เพราะมันนี่แหล่ะ ที่ทำให้ผมต้องถวายบังคมลาจากหอนี้ไป…ตลอดกาล คืนวันนั้นผมก็นั่งมองไอ้แกวสวาปามบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปเข้าไปถึงสี่ซอง ผมก็ได้แต่พูดกับมันว่าไม่เข้าใจมันเลยว่ามันอดมากี่มื้อ เพราะมันย้ายไปอยู่หอนอกนั่นแหล่ะ ไอ้อย่างเรา ๆ น่ะ หักค่าหอแล้วก็แทบจะใช้เดือนไม่ชนเดือน แล้วมันจะออกไปทำไม

พร้อมแอบบ่นไม่ได้ว่าดีนะที่ยังมีเสบียงตุนไว้ มันก็บอกผมว่าไม่อยากออกหรอก แต่มีเหตุจำเป็น ผมก็เลยถามมันว่าเหตุจำเป็นบ้าบออะไรของแก ค่าเช่าหอก็ค้างได้จนสอบมิดเทอมมีเวลาถมเถ หรือว่ามันจะขี้เหงา แต่ก็ไม่น่าเป็นเหตุผลของมัน แล้วมันก็บอกว่าถ้าอยากรู้นักก็ จะบอกให้ แล้วยังกวนเบื้องพระบาทโดยการพูดต่อว่า แต่ว่าขออีกสองห่ออีกต่างหาก

พอสวาปามเข้าไปเสร็จ มันก็บอกว่า แกรู้ใช่ไหมว่าฉันอยู่ห้อง 206 ผมก็เลยบอกว่า ห้อง 206 ห้องตรงข้ามทางเดิน ใช่ ทำไม มันก็เลยร่ายยาวเลย ว่าเคยได้ยินคอลเรียกนายไพโรจน์ห้อง 206 ลงไปรับโทรศัพท์มั้ย ผมก็ตอบว่าเคย แล้วก็ถามว่าไม่เห็นพามาแนะนำเลย มันก็เลยบอกว่าจะพามาได้ไง ห็ห้องมันเคยมีคนชื่อไพโรจน์ที่ไหน

พอมีเสียงคอลขึ้นมาข้าก็จะตอบลงไปว่าไม่มีชื่อนี้ ก็ไม่ยอมเชื่อ โทรมาเรื่อย ๆ จนมีอยู่ครั้งนึง มันทนไม่ไหว ดิ่งลงไปรับสายเอง ปรากฏว่าเป็นเสียงผู้หญิงแก่ ๆ โทรมาหาลูกชายแก ข้าก็บอกแกไปว่าห้องที่แกโทรขึ้นไปน่ะไม่มีคนชื่อนี้ แกก็ไม่เชื่อ หาว่ากีดกันแกไม่ให้พบกับลูกชายแก มันเลยโกรธ เลยจวกกันไปซะ แกก็บอกว่าไม่ผิดแน่ แถมยังปากจัดมากแต่ยังไม่ใช่แค่นี้ ป้าแกจะโทรมาแค่วันศุกร์ตอนสามทุ่มเท่านั้น

นอื่นเวลาอื่นแกไม่โทร หลังจากวันนั้น มันก็ไปถามเกี่ยวกับคนชื่อนี้ แต่นักศึกษาปีนี้ไม่มีใครชื่อไพโรจน์เลย จนหนักเข้า มันต้องไปค้นที่สำนักทะเบียนประมวลผล สรุปว่าไอ้คนนั้นเป็นนักศึกษาปีหนึ่ง แล้วก็พ้นสภาพนักศึกษาไปแล้วเพราะนักศึกษาปีหนึ่งที่ชื่อไพโรจน์น่ะ

ตายไปแล้ว เพราะไพโรจน์เป็นปีหนึ่งเมื่อปีที่แล้วแล้วโดนรุ่นพี่แกล้ง สาปให้เป็นลิง มันก็เจี๊ยก ๆ ไป แล้วรุ่งพี่ปีสามก็บอกว่าน้ำแข็งที่สั่งไว้น่ะได้แล้ว รุ่นพี่ปีห้าก็บอกให้ไพโรจน์ไปเอา โดยให้มันไปเจี๊ยก ๆ ตลอดทาง คนก็ฮากันตรึม พอตกเย็นไพโรจน์ก็ผูกคอตายในห้อง 206 ห้องที่มันเคยอยู่นั่นแหล่ะ แล้วมันก็บอกว่าไพโรจน์ยังไม่เท่าไหร่ แต่แม่ไพโรจน์น่ะ

ตอนนั้นป้าแกนอนอยู่โรงหยาบาลและเสียชีวิตหลังจากลูกชายตายได้ไม่กี่ชั่วโมงด้วยโรคหัวใจล้มเหลว ยังไม่ทันรู้เรื่องที่ลูกชายตัวเองผูกคอตายเลยด้วยซ้ำ ผมฟังไปมาก็หัวเราะ ถามมันว่านานไหมกว่าจะคิดได้ขนาดนี้ เล่นเอาซะกลัวเลย แล้วดันไปเห็นพอดี ว่าวันนี้วันศุกร์ และก็สองทุ่มห้าสิบสามแล้ว จะสามทุ่ม เลยลากมันลงไปเลย บอกว่าไง

แกบอกว่าวันศุกร์สามทุ่มใช่ไหม ไปเลย แล้วปรากฏว่ามีโทรศัพท์ดังจริง ๆ สามทุ่มเด๊ะ เข็มวินาทียังไม่เคลื่อนเลย พอรับก็แกล้งบอกว่าผมไพโรจน์ครับ เสียงที่พูดกับผมเป็นเสียงผู้หญิงแก่ ๆ เท่าที่สังเกตมันแก่มากจนผิดปกติ

ระหว่างต่อปากต่อคำกันอย่างสนุกสนาน ก็เห็นไอ้เจ้าแกวมันลุกลี้ลุกลน มันกลัวผมจับได้แหง ๆ ว่าเป็นเพื่อนคนใดคนหนึ่งของมันแกล้งโทรมา แล้วจู่ ๆ มันก็สะกิดผมยิก ๆ แล้วก็ชูสายโทรศัพท์ที่ขาดให้ดูด้วยมือสั่นระริก ๆ ผมงี้ตาแถบถลน โยนโทรศัพท์โครมลงบนแป้น แล้วก็แหกปากก้องหอพักเลยครับ…

เรื่องเล่าสยองขวัญ กระจกอาถรรพ์

ชายคนหนึ่งได้รับมรดกจากคุณพ่อที่อยุธา ที่พึ่งเสียชีวิต เค้าเป็นลูกชายคนเดียวตอนนั้นอายุได้23ปีพึ่งลาสมณะเพศออกมาไม่นานพ่อก็ตายหลังพิธีศพพ่อเค้าได้รับมรดกทั้งหมดที่บ้านที่อยุธา เค้ามีแม่วัย67ปีและภรรยา เค้าจึงตัดสินใจย้ายบ้านจากเขตพระนครไปพักร้อนที่อยุธา เดิมบ้านนี้สร้างมาตั้งแต่สมัยคุณปู่ ของพ่อเค้ามีอายุได้ร้อยกว่าปี

เป็นบ้านทรงไทยปรับปรุงมาหลายครั้งวันที่เค้ามาถึวได้สำรวจภายในบ้านซึ่งสกปรกมากเค้ากับแม่และภรรยาจึงช่วยกันทำความสะอาด ในบ้านมีของเก่าอยู่ไม่กี่อย่าง เพราะแต่ละอย่างชำรุดบ้าง ขายบ้าง จนเหลือไม่เยอะเป็นองสำคัญจริงๆ
มีพระเครื่องทองคำ มีอัฐิบรรบุรุษทั้งหมดในตระกูลตั้งแต่รุ่นคุณปู่ และที่แปลกใจมีกระจกบานหนึ่งมีผ้าคลุมอยู่เปิดออกมาเป็นกระจกบานใหญ่ มีไม้สลักจำลักหลายอยู่รอบกระจก ซึ่งไม่ทราบว่ามีมาตั้แต่เมื่อใด คุณแม่จำได้บ้างว่าเคยเก็บไว้ที่ห้องเก็บนานแล้ว ไม่ทราบว่ามาอยู่ที่นี่เมื่อใด (ในห้องนอน)กระจกนี้ตรงข้ามกับเตียงนอนในห้องนอน
กระจกอาถรรพ์

เค้ากับภรรยาเลือกที่จะนอนห้องที่มีกระจก ส่วนแม่นอนห้องข้างๆเนื่องจากปี2531ในตอนนั้นอยุธาในตอนนั้นบรรยากาศเงียบสงัด และไฟฟ้ายังไม่สว่างและดูเปลี่ยวมองไปมีแต่ทุ่งนา กลางคืนอากาศเย็น พอเหมาะที่บ้านนี้ไม่ใด้ต่อไฟฟ้าและน้ำประปามานานเค้าว่าจะอยู่แค่3วันแล้วจะกลับบ้านที่เขตพระนคร

กลางคืน ในคืนนั้นเวลาประมาณตี1 เค้าได้ยินเสียวหวีผมตื่นขึ้นมาเห็นผู้หญิงแต่งกายสวยงามหวีผมยาวที่หน้ากระจก เค้าแปลกใจขึ้นมาดู แต่ก็ไม่เห็นอะไรนอกจากกระจกมืดๆ พอหันไปดูภรรยาเค้าเห็นภรรยายังอยู่นอนอยู่เค้าจึงไม่สนจนและหลับไป เวลาประมาณตี 2 เค้าตื่นขึ้นมาอีกครั้งเพราะปวดห้องน้ำแต่สิ่งที่เค้าพบเห็นหน้าผู้หญิงคนหนึ่งผมยาวมองจ้องอยู่ในภาพในกระจกเค้าถึงกับอึ้ง เค้าทนนอนคลุมโปรงไปจนรุ่งเช้า

เค้ารีบไปบอกแม่และภรรยา ทั้งแม่และภรรยาไม่มีใครรู้เรื่องอะไร เค้าจึเดินเข้าไปในห้องพระและที่เก็บอัฐิบรรบุรุษ
พบโกศจำนวนมากเละรูปขาวดำปิดทองคำเปลว มีรูปหนึ่งเป็นหญิงสาวผมยาวเป็นภาพเขียนสีเก่าจนกระดาษกรอบ
เป็นผู้หญิงคนนั้นที่เห็นเธอคือใคร? จึงเรียกเม่มาดูภาพถ่ายนั้น แม่จำได้เรือนรางว่าพ่อเคยเล่าให้ฟังคุณปู่ของพ่อเจ้าบ้าน
เป็นคนมีฐานะดีในยุคนั้น ทำโรงงานหล่อพระ

คุณปู่ยังหนุ่มๆมีภรรยามากทั้งเมียผู้ดีและเมียทาส มีทาสคนหนึ่งเป็นแม่ม่ายผมยาว ลูกติดถูกส่งให้มาเป็นเมียทาสอย่างไม่ได้เต็มใจเลย เธอเป็นคนโปรดที่สุดจนคนปู่ของพ่อจ้างช่างวาดชาวอังกฤษฝีมือดีมาวาดรูปด้วยความรัก เต่เธอไม่มีความรักอะไรกับคุณปู่เลย เพราะเธอมีคนรักอยู่อีกคนแล้ว คนรักเธอมีภรรยาใหม่ เธอจึงตัดสินใจฆ่าตัวตายเธอร้องไห้ไปหวีแต่งหน้าที่สวยที่สุดผมแล้วส่องกระจกดูหน้าตัวเองครั้งสุดท้ายและฆ่าตัวตายด้วยมีดเธอตาย

คุณปู่เสียใจมากให้แล้วให้นำกระจกบานนี้ไปเก็บที่ห้องเก็บของตั้งแต่นั้นมา คุณปู่เสียใจและป่วยตายในที่สุด สมบัติตกมาที่คุณพ่อ แต่คุณพ่อไม่สนใจบ้านหลังนี้เลย เลยไปซื้อที่ดินปลูกบ้านที่เขตพระนคร มาบ้างเป็นบางครั้ง บางครามาดูและบ้านไม่มีใครสนใจเรื่องนี้ซึ่งเป็นแค่เรื่องเล่ามาที่คุณแม่แค่ฟังผ่านพอจับใจความสำคัญ

แต่สาเหตุที่เธอยังวนเวียนนี่ยังไม่มีใครทราบเป็นปมสุดท้ายของบ้านหลังนี้ยังไม่มีใครรู้
และมีความเชื่อว่าถ้าใครมาส่องกระจกบานนี้พร้อมแอปเปิ้ลแล้วปลอกแอปเปิ้ลตอนเที่ยงคืน จะพบกับเนื้อคู่แต่เนื้อคู่นั้นแต่ทว่าเป็นผีนั่นเอง

ชาวบ้านเล่าว่าก่อนที่เค้าจะมามีผู้หญิงมายืนที่หน้าต่างเรียกให้ชาวบ้านนำกระจกขึ้นมาก่อนเค้ามา2วันเท่านั้นชาวบ้านผวาจึงช่วยนำกระจกที่วางอยู่ที่ห้องเก็บของใต้ถุนบ้านขึ้นมาไว้ข้างบนห้องที่เค้านอน
เธอต้องการอะไรกันแน่ ?
ปมสุดท้ายเป็นยังใง?

วันหนึ่งเค้าได้ฝันว่าผู้หญิงคนนั้นเเละเหตุการณ์ในคืนนั้น
เธอไม่ใด้ฆ่าตัวตาย เเต่เธอถูกฆาตกรรม เพราะเเฟนรักของเธอลักลอบมาหาเธอเเต่กลับมาบอกว่าจะเเต่งงานใหม่ เธอจึงโกรธเเละจะเเฉเหมือนกันว่าเเฟนรักของเธอลักลอบเป็นชู้ระหว่างที่เธอนั่งส่องกระจกเเละร้องไห้ไปด้วยตาเธอจ้องมองกระจก เเฟนเธอนำมีดมาด้วยความขาดสติจึงพลั้งมือเเทงเธอไปเต็มเเรง จนเธอสิ้นใจคากระจกบานนั้น

เเฟนเธอลักลอบหนีไป รุ่งเช้าคุณปู่รู้จึงเสียใจมากเเละสั่งให้ทำศพเธอหลังสิ้นงานศพ คุณปู้ก็ป่วยจนสิ้นใจ
บ้านหลังนี้พร้อมสมบัติพร้อมกระจกอาถรรพ์ที่ไม่มีใครรู้ประวัติ มีเเต่คำบอกเล่าที่คลาดเคลื่อนถึงการตายเเบบเรือนรางเล่าต่อมาเเบบผิดๆ

ใครที่มองกระจกบานนี้จะรู้สึกว่ามีคนจ้องมองจากข้างในอยู่ตลอดเวลา

วันเสาร์ที่ 12 เมษายน พ.ศ. 2557

เรื่องสยองกรรมของเพชฌฆาตโรงฆ่าสัตว์

“เพชรฆาต”

ชีวิตของคนเรานั้น เกิดมาเพื่อรอวาระสุดท้ายหรือวันตายนั่นเอง เพียงแต่ไม่มีใครหยั่งรู้วันตายของตัวเองได้ว่าจะจบสิ้นเมื่อใด

คนเราล้วนหลายอาชีพ บางคนก็สามารถเลือกทำงานได้ แต่บางคนก็ไม่สามารถเลือกทำงานได้ ความจำเป็นในการดำรงชีวิตนั้นบีบบังคับให้ต้องทำในสิ่งที่ตัวเองไม่อยากทำ แต่ไม่มีทางเลือกจึงต้องทำด้วยภาวะจำยอมเพื่อปากท้องของตัวเองและครอบครัว

นายเบิ้มเป็นคนรูปร่างใหญ่ แต่การศึกษาไม่ค่อยสูงนัก เคยเข้าไปทำงานในกรุงเทพฯมาแล้วแต่ไปไม่ไหว จึงมาประกอบอาชีพเก่าคือ เป็นมือเพชฌฆาตฆ่าหมูเถื่อนเพื่อป้อนให้กับเขียงหมูในตลาด กระทั่งวันหนึ่ง ข้างบ้านจัดงานแต่งงาน ทางเจ้าภาพจะล้มหมูล้มวัว จึงได้ไปบอกกล่าวกับนายเบิ้มเป็นเพชฌฆาตให้ นายเบิ้มไม่ปฏิเสธเพราะเขากับเจ้าภาพคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี และที่รับงานนี้ก็ไม่หวังตอบแทนอะไร ปกติแล้วนายเบิ้มจะไปโรงฆ่าสัตว์ตอนตีสอง

“เกือบชั่วโมง กับ หมูเจ็ดชีวิต”

เพียงแค่ชั่วโมงเดียวก็เสร็จแล้ว จากนั้นก็ช่วยลูกมือชำแหละแยกชิ้นส่วนอวัยวะต่างๆ และจะกลับบ้านไม่เกินหกโมงเช้า พร้อมกับเนื้อหมูไปให้ลูกเมียประกอบอาหาร เพื่อนบ้านเขาจะล้มวัวล้มหมูประมาณตีสามตีสี่เพื่อจะให้ทันปรุงอาหารเลี้ยง แขกที่จะมาร่วมงานแต่งงานที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในรอบสิบกว่าปีก็ว่าได้ เพราะเจ้าสาวเป็นลูกกำนัน ส่วนเจ้าบ่าวเป็นนักการเมืองที่มีชื่อเสียงระดับจังหวัด และพ่อของเจ้าบ่าวก็เป็นนักการเมืองระดับประเทศเป็นส.ส.ติดต่อกันมาแล้วหลาย สมัย

การล้มหมูล้มวัวก็เพื่อเลี้ยงคนที่มาร่วมงานในตอนเช้าเท่านั้น เพราะในช่วงเย็นจะมีการจัดเลี้ยงแบบโต๊ะจีนที่หอประชุมในตัวจังหวัด โดยมีบุคคลสำคัญๆมาร่วมงานมากมาย จะว่าเป็นงานแต่งครั้งประวัติศาสตร์ของจังหวัดก็คงไม่ผิดนัก แล้ววันสำคัญก็มาถึง นายเบิ้มออกจากบ้านตีหนึ่งกว่า ซึ่งเร็วกว่าปกติเกือบชั่วโมง ตอนนั้นทางโรงฆ่าสัตว์เปิดแล้ว นายเบิ้มก็ลงมือเชือดหมูเคราะห์ร้ายตัวแรกทันที จากนั้นหันไปจัดการตัวอื่นๆ รวมทั้งสิ้นเจ็ดตัว โดยใช้เวลาเกือบหนึ่งชั่วโมง เพราะไม่มีลูกมือช่วยจับโน่นจับนี่ใส่มือให้เหมือนทุกวัน

“กรีดร้องด้วยความเจ็บปวด”

ระหว่างนั้นลูกมือที่มีเกือบสิบคนก็เริ่มทยอยมากันบ้างแล้ว และคนของกำนันก็มารอรับที่โรงฆ่าหมูรออยู่แล้วด้วย นายเบิ้มสั่งงานลูกมือเสร็จก็ขึ้นรถจักรยานยนต์ไปที่บ้านกำนันแม้นทันที ที่นั่นจะครึกครื้นพอสมควรเพราะมีวงเหล้า รวมทั้งเครื่องเสียงที่เปิดเพลงมาตลอดคืน ลูกมือที่กำนันแม้นจัดหาให้ก็นั่งดื่มเหล้ารอมาทั้งคืน นายเบิ้มเริ่มลงมือเชือดหมูเป็นตัวแรกก่อนจะลงมือเชือดวัวสลับกันไป จากนั้นก็บอกลูกมือที่พอจะเป็นอยู่บ้าง ชำแหละแยกชิ้นส่วนอวัยวะต่างๆโดยแบ่งหน้าที่กันไป ส่วนตัวเองนั่งพักดื่มเหล้าไปพลางๆ

เพราะยังมีหมูกับวัวอย่างละตัวให้เชือดอีก นายเบิ้มดื่มเหล้าได้สองสามแก้วก็ลงมือต่อโดยเริ่มฆ่าหมูเช่นเคยเพราะตัวเอง ถนัด หมูตัวที่สองใช้เวลานานพอสมควร เพราะมันทั้งดิ้นทั้งวิ่งเหมือนจะรู้ตัวว่าถึงวาระสุดท้ายของมันแล้ว กว่าจะจับได้ก็เสียเวลาไปเยอะ แถมยังใช้คนจับมากขึ้นกว่าจะเชือดได้ จนนายเบิ้มเองยังส่ายหน้า เพราะตั้งแต่เป็นมือเพชฌฆาตมาไม่เคยใช้เวลานานถึงนี้เลย หมูเคราะห์ร้ายตัวนั้นกรีดเสียงด้วยความเจ็บปวดอย่างโหยหวน จนบางครั้งถึงกับขนลุก และเสียงร้องของหมูตัวนั้นเองที่ปลุกชาวบ้านให้ลุกก่อนที่ขบวนขันหมากของ ฝ่ายเจ้าบ่าวจะมาถึงในเวลาเจ็ดโมงเช้า

“สะดุดม้านั่งตัวเล็ก มีดได้เสียบทะลุคอ”

นายเบิ้มผละจากหมูแล้วเดินไปหาเจ้าวัวหนุ่มเหยื่อสังเวยงานแต่งตัวต่อไป อย่างใจเย็นพร้อมกับมีดแหลมคมกริบอาวุธคู่มือ แต่ด้วยเหตุผลกลใดไม่ทราบได้ เมื่อนายเบิ้มเดินไปสะดุดเอาม้านั่งตัวเล็กๆ ที่ใช้นั่งชำแหละเนื้อจนตัวเองเสียหลักล้ม ตัวนายเบิ้มเองถลาเป็นนกปีกหักก่อนที่จะล้มคว่ำลงกับพื้นอย่างไม่เป็นท่า และจังหวะนั้นเองที่ปลายมีดได้เสียบทะลุเข้าที่คออย่างจัง “โอ๊ยยยย…” นายเบิ้มร้องเสียงลั่นด้วยความเจ็บปวด มือกำมีดแน่น เพื่อนบ้านที่เป็นลูกมือกว่าสิบคนก็รีบกรูกันเข้าไปหา พอเห็นมีดปักคอของนายเบิ้มเช่นนั้น จึงร้องเอะอะโวยวายจนแตกตื่นไปทั้งคุ้ม
นายเบิ้มถูกหามขึ้นท้ายรถกระบะทั้งที่ยังมีมีดปักคออยู่

ระหว่างที่ถูกนำส่งโรงพยาบาลนั้น นายเบิ้มทั้งดิ้นทั้งร้องด้วยความเจ็บปวดไปตลอดทาง บางครั้งก็กรีดเสียงร้องเสียงแหลมๆเหมือนหมูที่ถูกเชือดคอยังไงยังนั้น สุดท้ายแล้วนายเบิ้มก็ปิดฉากชีวิตของการเป็นมือเพชฌฆาตอย่างน่าสังเวชก่อนจะ ถึงโรงพยาบาล
คุณละ…คิดยังไงกับเรื่องนี้

แหล่งข้อมูล : บอร์ดรวมเรื่องสยองขวัญ

เรื่องสยองอาถรรพ์หม้อดินเผา ของโบราณที่ยากจะลืมเลือน..

ดิฉันเป็นเด็ก อ.สว่างแดนดิน จ.สกลนคร ได้ฟังผู้เฒ่าผู้แก่เล่าเรื่องราวน่าสยดสยองเกี่ยวกับสมบัติโบราณ จดจำได้อย่างฝังใจตั้งแต่เล็กจนโต จึงขอนำมาเล่าสู่กันฟังดังนี้ค่ะ

เมื่อเดือนมกราคม ปี 2513 นายนุ่ม อยู่ในธรรม รองอธิบดีกรมศิลปากร และหัวหน้ากองโบราณคดี ได้ไปตรวจแหล่งโบราณคดีที่บ้านเชียงพร้อมคณะใหญ่ อยู่ที่ อ.หนองหาน จ.อุดรธานี

ที่บริเวณวัดโพธิ์ศรีใน มีหลุมที่ขุดพบโครงกระดูกมนุษย์และเครื่องปั้นดินเผาที่ฝังรวมกับศพ ซึ่งเป็นยุคก่อนประวัติศาสตร์ มีอายุประมาณ 6,500-7,000 ปี นับเป็นแหล่งโบราณคดีแห่งแรกในประเทศไทย

ต่อมาองค์การยูเนสโกได้ยกย่องให้เป็นมรดกโลก!

ตอนบ่ายวันเดียวกัน ได้ไปแหล่งโบราณคดีก่อนประวัติศาสตร์ที่บ้านแวง อ.สว่างแดนดิน จ.สกลนคร

บรรยากาศของโบราณสถานโดยทั่วไปมักจะร่มครึ้ม เยือกเย็น ทำให้ผู้ที่ได้พบเห็นหวนนึกไปถึงอดีตกาล…สมัยที่ยังรุ่งเรืองเฟื่องฟูอยู่นั้น ผู้คนย่อมคึกคักขวักไขว่ ทักทายและพูดคุยหัวเราะต่อกระซิกกันอย่างเบิกบาน…ราวกับจะปรากฏกายขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง โดยมิได้ดับสูญไปกับกาลเวลาที่ผ่านมาเนิ่นนาน

ขณะนั้นเองหญิงวัยกลางคนผู้หนึ่งก็ประคองหม้อดินเผาขนาดย่อมๆ ใบหนึ่งมาส่งให้สตรีในคณะ มีนามว่าพาณี พลางกล่าวด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม สุ้มเสียงออกแปร่งตามประสาคนท้องถิ่น

“ขอมอบให้คุณนายเป็นที่ระลึก โปรดรับไว้เถอะจ้ะ”

คุณพาณีเล่าภายหลังว่า น้ำเสียงกับนัยน์ตาคู่นั้นทำให้รู้สึกพร่ามึนอย่างไรชอบกล แต่ยังมีสติบอกปัดไป โดยอ้างว่าเป็นของมีค่าเกินกว่าจะรับได้ แต่หญิงแปลกหน้า ผู้มีลักษณะเป็นคนพื้นบ้าน พูดจาไพเราะน่าฟังก็คะยั้นคะยอให้รับไว้ เพราะนำมาให้ด้วยความเคารพนับถืออย่างจริงใจ

ในที่สุด คุณพาณีเกรงว่าฝ่ายนั้นจะเสียน้ำใจ หรือไม่ก็หาว่าถือตัว จึงจำใจรับไว้ แล้วหันไปทางชาวคณะพลางบอกกล่าวเรื่องราวให้ฟัง

“ไหน? ไม่เห็นมีใครซักคน!”

ใครคนหนึ่งโพล่งขึ้นอย่างมั่นใจ เล่นเอาคุณพาณีใจหาย หันขวับไปก็พอดีมองเห็นหญิงกลางคนนุ่งซิ่นดำ สวมเสื้อแขนกระบอกสีขาว กำลังจะเดินลับกองอิฐสีแดงใกล้ต้นใหญ่อยู่แล้ว เธอจึงชี้ให้คนอื่นๆ ดู

“ไหนกัน…ทำไมไม่เห็นล่ะ?”

“แปลก! ไม่เห็นมีใครนี่! อ้อ…นั่นไง! แกเดินเหมือนลอยไปเฉยๆ อ้าว? หายไปแล้ว”

สตรีผู้ได้รับหม้อดินเผาเก่าแก่เป็นของกำนัลจากหญิงแปลกหน้า ถึงกับขนลุกซู่ซ่าไปทั้งตัว…พอดีมีคนอื่นๆ มาดูหม้อใบนั้น พลางพูดจาชมเชยความสวยงาม ดูโบร่ำโบราณหายาก มีค่าควรแก่การสะสมไว้ชื่นชมยิ่งนัก

คืนนั้นเอง…คุณพาณีนอนหลับก็ฝันเห็นเด็กชายวัยสิบขวบ ไว้หางเปีย หน้าตาน่ารัก โผล่ออกมาจากหม้อดินเผาช้าๆ กระทั่งยืนเด่นเต็มตัว พลางหันหน้ามามองยิ้มๆ

ครั้นสะดุ้งตื่นขึ้นมากลางดึกด้วยเหงื่อโซมกาย คุณนายก็ได้ยินเสียงเด็กหัวเราะคิกคักมาจากหน้าห้อง ทั้งๆ ที่ในบ้านไม่มีเด็กอยู่เลยแม้แต่คนเดียว…ตัดสินใจลุกไปเปิดประตูดู ก่อนจะมองเห็นภาพน่าขนหัวลุกเต็มตา



ท่ามกลางความเย็นเฉียบในยามดึกดื่น สรรพสิ่งเงียบกริบเหมือนโลกนี้กลายเป็นโลกร้างไปเสียแล้ว

เด็กชายในความฝันกำลังวิ่งเล่นอยู่รอบๆ หม้อดินเผาใบนั้นเอง!

เข่าอ่อนยวบ ม่านตาพร่าพรายใจสั่นหวิวๆ คล้ายจะเป็นลม แต่ยังมีสติระลึกถึงคุณพระคุณเจ้าขึ้นมาได้

พนมมือภาวนาว่าขอให้วิญญาณนั้นจงไปสู่ที่ชอบๆ เถิด อย่ามารบกวนเลย แล้วจะทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้แน่นอน

เด็กผมเปียหยุดวิ่ง หันมามองสบตาประหนึ่งจะคาดคั้นเอาคำมั่นสัญญาของคุณพาณี ก่อนจะเดินหายลับเข้าไปในหม้อดินเผานั้นตามเดิม

รุ่งเช้า คุณนายพาณีรีบนำหม้ออาถรรพณ์ แสนจะน่าสยดสยองพองขนใบนั้นไปมอบให้พิพิธภัณฑ สถานแห่งชาติ แล้วเข้าวัดทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้เด็กชายผู้นั้นตามสัญญาที่เธอให้ไว้…

ขอบคุณ : ข่าวสด

บทความที่ได้รับความนิยม

คลังบทความของบล็อก