วันอาทิตย์ที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

ผี เรื่องผี เรื่องเล่าสยองขวัญ ขนหัวลุกจากซอยอารีย์

วิทูรย์ เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากซอยอารีย์

เลิกเหล้า เลิกจน เริ่มต้นเข้าพรรษา

เดือนหน้าก็จะถึงเทศกาลเข้าพรรษาแล้ว เป็นโอกาสในการหยุดดื่มสุราไปถึง 3 เดือน ช่วยประหยัดทรัพย์ ห่างไกลโรคร้าย โดยเฉพาะการเกิดอุบัติเหตุต่างๆ อีกด้วย

สุราอันว่าเหล้าทำให้ผู้ดื่มขาดสติ ก่อคดีต่างๆ นานา ไม่ว่าวิวาทบาดถลุงแบบย่อยๆ ไปจนถึงตีรันฟันแทง ยิงกัน ฆ่ากันเหมือนผักเหมือนปลา...แม้แต่เพื่อนฝูง ผัวเมีย หรือแม้แต่พ่อลูกกันแท้ๆ ก็ยังฆ่าแกงกันได้ลงคอ

คดีปลุกปล้ำทำอนาจาร ข่มขืนฆ่า กล้าลักขโมย จี้ปล้น ส่วนหนึ่งก็เกิดจากการดื่มเหล้าจนมึนเมา ฮึกเหิม ขาดสติควบคุมตัวเองโดยสิ้นเชิง!

ผู้มีฐานะยากจนแต่ติดสุรา แทนที่จะนำเงินทองที่หาได้มาเลี้ยงดูครอบครัว แต่กลับนำไปกรอกใส่ขวดเหล้าแทน อ้างว่าเพื่อแก้เหนื่อยบ้าง ดับความกลัดกลุ้มสุมใจบ้างแต่เมื่อสร่างเมาก็ต้องพบกับปัญหาหนักหน่วงกว่า เดิม

ถ้านำเงินที่ซื้อสุรามาสะสมเก็บออมไว้ นานวันก็ย่อมจะเพิ่มพูนขึ้นทันตาเห็น ที่เคยเดือดร้อนทุรนทุรายหาเงินไปซื้อเหล้า นอกจากจะหมดปัญหาแล้วยังได้เงินเพิ่มขึ้นมาอีกเล่า รวมทั้งสุขภาพที่ดีขึ้นทันตาเห็น...ไม่ต้องลำบากยากจนเพราะการดื่มสุราอีก ต่อไป

และนี่เองคือที่มาของคำขวัญสำหรับเตือนใจคอสุราทุกผู้คน!

"เลิกเหล้า เลิกจน เริ่มต้นเข้าพรรษา"

เมื่อสมัยหนุ่มๆ ผมได้ชื่อว่าเป็น "คอแป๊บ" คนหนึ่ง คือดื่มเหล้าได้ทุกชนิด ขึ้นชื่อว่าเครื่องดองของเมาแล้วขอให้บอกมาเถอะ ไม่ว่าเหล้าไทย เหล้าฝรั่ง เบียร์และสาโท...ผมพร้อมที่จะดื่มดวดได้ทั้งนั้น แถมไม่แสดงอาการเมามายให้ใครเห็นอีกต่างหาก

ยิ่งมีคนชมว่าคอแข็ง กินเหล้าจุและทน ผมยิ่งปลื้มอกปลื้มใจจนลืมไปว่าการดื่มสุราก็เหมือนกับการ กรอกน้ำทองแดงร้อนๆ ลงคอตัวเองยังไงยังงั้น!

ในวงเหล้า คนเราจะรู้จักและสนิทสนมกันได้ง่ายมาก นับวันยิ่งมีเพื่อนฝูงเพิ่มขึ้น สารพัดอาชีพและนิสัยใจคอ บางคนเมาแล้วช่างพูดช่างคุย สนุกสนานครึก ครื้น บางคนก็ชอบทำตาขุ่นตาขวาง พูดจาเกะกะระราน หาเรื่องโต๊ะนั้นโต๊ะนี้ แม้แต่เพื่อนฝูงโต๊ะเดียวกันก็ไม่ละเว้น

คนประเภทเมาแล้วหาเรื่องผมไม่ยอมคบหาสมาคมให้เปลืองตัว เจอเข้าหนเดียวก็เข็ดหลาบ...เหลือแต่เพื่อนสนิทที่รู้นิสัยใจคอกันจริงๆ เท่านั้น คือพูดคุยกันสนุกสนาน หรือจะเย้าแหย่ก็เฉพาะในโต๊ะของเรา ไม่ยื่นปากยื่นตาไปยุ่งเกี่ยวกับโต๊ะอื่นๆ

แต่แล้วก็ไม่วายเกิดเรื่องขึ้นจนได้!

"ใหญ่" เป็นเซลส์แมนขายรถยนต์ที่สุขุมวิท อายุสามสิบเศษ ผิวคล้ำ ร่างใหญ่กำยำสมชื่อ ใจนักเลงได้การ ไม่เกะกะระรานใครก่อน แต่ถ้าใครมาวุ่นวายวอแวใหญ่ก็จะไม่ยอมใครง่ายๆ เช่นกัน

คืนนั้นเราไปตั้งวงกันที่ซอยอารีย์สนามเป้า ใกล้ๆ บ้านผม ใหญ่เกิดกระทบกระทั่งกับชายหนุ่มกลุ่มหนึ่ง มีการด่าทอและท้าทายกัน จนผมต้องไปขอร้องห้ามปรามจนสงบเงียบกันไป...ราวห้าทุ่มเศษก็ออกจากร้าน คนอื่นๆ แยกย้ายไป

ส่วนใหญ่นั่งแท็กซี่มาส่งผมที่บ้าน แล้วบอกว่าตัวเองก็จะกลับบ้านที่คลองประปาใกล้ๆ นั่นเอง!

ผมอาบน้ำเสร็จจะเข้านอน พอดีได้ยินเสียงเรียกชื่อดังโวยวายมาจากหน้าบ้านว่า...หมูๆ มันจะฆ่าผม! จำได้ว่าเป็นเสียงของใหญ่ก็รีบเปิดไฟวิ่งไปดูที่ระเบียง

ใหญ่กำลังวิ่งเข้าประตูรั้วมาตามถนนแคบๆ หน้าบ้าน มือกุมศีรษะ เงยหน้าขึ้นมอง...ผมใจหายวาบเมื่อเห็นเลือดแดงฉานไหลอาบอย่างน่ากลัว รีบลงไปเปิดประตูรับเข้ามา ใหญ่ยังกุมมือไว้ที่เดิมพลางพร่ำด่าคู่กรณีที่ทำร้ายตัวเองด้วยเสียงขาด ห้วน...

แน่ล่ะครับ...ทั้งเจ็บปวดและเคียดแค้นสาหัส!

ได้ความว่าหลังจากส่งผมแล้วใหญ่ก็ย้อนกลับไปที่เดิมด้วยฤทธิ์เมา อยากเจอคู่อริให้รู้ดีรู้ชั่ว แต่กลับโดนยำเละเทะที่หน้าร้าน แล้วพวกนั้นก็ขึ้นรถหนีไป

ผมหาเสื้อผ้าให้เปลี่ยน ใหญ่ค่อยสงบและขอนอนที่โซฟา...แต่รุ่งขึ้นก็ไม่เห็นใหญ่เสียแล้ว ตอนสายจึงได้ข่าวว่าเขาย้อนกลับไปที่ร้านนั้นจริงๆ โดนคู่อริรุมตีจนสลบคาร้าน มีคนช่วยหามส่งโรงพยาบาล แต่ไปได้กลางทางก็สิ้นใจ

นึกแล้วขนลุกครับ...ผมน่าจะรู้ตั้งแต่เมื่อคืนแล้วว่าใหญ่ผ่านประตูรั้วที่ ปิดสนิทเข้ามาได้ยังไง ถ้าไม่ใช่ใหญ่ที่เหลือเพียงวิญญาณเท่านั้นเอง!

ขอบคุณ แหล่งที่มาหนังสือพิมพ์

ผี เรื่องผี เรื่องเล่าสยองขวัญ เจตภูตมาเยือน

ไพรณ เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกฉลองปีใหม่

วันนี้ผมมีเรื่องน่ากลัวของเจตภูตมาเล่าสู่กันฟังครับ

เหตุเกิดขึ้นเมื่อราว 5-6 ปีมาแล้ว แต่ยังฝังแน่นอยู่ในความทรงจำของผมมาจนถึงทุกวันนี้!

ขณะนั้นเป็นวันใกล้จะสิ้นปี มีงานรื่นเริงส่งท้ายปีเก่า-ต้อนรับปีใหม่ ทั้งตามบริษัทห้างร้าน ทั้งในหมู่ญาติสนิทมิตรสหาย ยิ่งคนที่มีเพื่อนฝูงมากก็ไปสนุก สนานเฮฮากับเขาแทบไม่ได้พักผ่อน แต่ส่วนมากเต็ม อกเต็มใจเพราะถือว่าเป็นโอกาสที่น่าเฉลิมฉลองกัน...หนึ่งปีมีเพียงครั้ง เดียวเท่านั้น

หลายๆ คนก็ถือว่าเป็นโอกาสดีที่จะเริ่มต้นชีวิตใหม่ในปีใหม่ที่จะถึงนี้

คนที่สนิทสนมรักใคร่กันก็เปิดอกเล่าสู่กันฟังว่า เมื่อขึ้นปีใหม่แล้วจะทำอะไรบ้างที่เป็นประโยชน์ต่อตัวเองและผู้อื่น จะเลิกละสิ่งใดที่ถือว่าไม่ดีงาม เช่น เลิกเล่นการพนัน เลิกดื่มสุรา แม้แต่การเที่ยวเตร่ก็ควรลดน้อยลง เพื่อถนอมสุขภาพตัวเองและประหยัดเงินทองที่หามาได้ด้วยความยากลำบาก

ถือคติว่า...ประหยัดเงิน 100 บาทก็เท่ากับมีเงินเพิ่มขึ้น 100 บาท เป็นต้น!

ถึงแม้ว่าส่วนใหญ่จะทำไม่ได้ครบถ้วน แต่อย่างน้อยก็ถือว่ามีเจตนาดี ตั้งใจดี เมื่อถึงปีใหม่ปีต่อไป ก็ตั้งความหวังดีๆ เอาไว้อีก...ชีวิตที่มีความหวัง อย่างน้อยก็ยังดีกว่าไม่ได้คาดหวังถึงสิ่งดีๆ สำหรับตัวเอง

ก่อนถึงปีใหม่วันเดียว ผมก็ได้ประสบกับเจตภูตน่าขนหัวลุกเข้าอย่างจังๆ

คืนนั้นผมไปงานเลี้ยงที่บ้านเพื่อนแถวเพลินจิต กลับมานอนคนเดียวราวสองยาม เพราะลูกเมียไปเยี่ยมญาติผู้ใหญ่ที่ต่างจังหวัด...กำลังเคลิ้มๆ ก็พอดีมองเห็นภาพนั้นปรากฏขึ้นที่หน้าต่างมุ้งลวดข้างเตียง

ท่ามกลางความเย็นยะเยือกของฤดูหนาว ร่างของชาย ผู้หนึ่งเห็นเพียงครึ่งตัวเป็นรูปมืดสลัว แต่สัญชาตญาณ บอกให้รู้ว่าเขากำลังจ้องมองมาที่ผม ลักษณะเป็นมิตรมากกว่าศัตรู...ได้ยินเสียงคล้ายลมพัดวู่หวิว ไม่แน่ว่าเขาพูดออกมาตามปกติ หรือผมได้ยินจากความรู้สึก แต่ก็จับใจความได้ชัดเจน

"ปีใหม่อีกแล้ว...คิดจะทำอะไรต่อไปล่ะ?"

ตอนนั้นผมคิดว่าคงเป็นวิญญาณพเนจรที่ผ่านมาพอดี แต่มีเสียงหัวเราะดังแว่วขึ้นก่อน...ไม่ใช่ผีสางที่ไหนหรอก อย่ากลัวไปเลย!

อ๋อ...เจตภูตของใครที่มาเยี่ยมเยือนเพราะความคิดถึง? ญาติมิตรคนไหนกันแน่ เพราะสุ้มเสียงที่มากระทบโสตสัมผัสก็ช่างคุ้นหู เหมือนกับที่ได้ยินเพื่อนฝูงคุยกันสนุกเฮฮาเมื่อตอนหัวค่ำนี่เอง

เวลาผ่านไปเร็วเหลือเกินนะ เดี๋ยวปี...เดี๋ยวปี...ชีวิตคนเราก็หดสั้นลงทุกที เหมือนฟ้าแลบแปล๊บเดียว! เหมือนน้ำค้างที่โดนแดดเผา รังแต่จะระเหยหาย เหือดแห้งไปในพริบตา!"

ผมนิ่งอึ้ง ความรู้สึกคล้ายเคลิบเคลิ้ม จิตใจถูกดึงดูดไปตามถ้อยคำที่ฟังเหมือนจะปรารภหรือบอกเล่าสู่กัน มากกว่าจะเป็นคำถามที่ต้องการคำตอบอย่าง จริงๆ จังๆ

"ว่าไง...คนเราควรจะทำยังไงดีกับชีวิตที่เหลืออยู่? ไม่ช้าก็หมดลมหายใจ อยากจะทำอะไรก็ทำไม่ได้แล้ว"

"หาความสุขให้ชีวิตกระมัง?" ผมนึก "ชีวิตนี้ สั้นนัก อย่ามัวไปวิตกกังวลกับปัญหาต่างๆ ให้เสียเวลาเลย...เขาว่าชีวิตเป็นสิ่งมหัศจรรย์! เมื่อเรายังมีลมหายใจอยู่ก็ควรใช้ชีวิตให้คุ้มค่ากับที่เกิดมาทั้งที"

สรรพสิ่งเงียบเชียบเยือกเย็น ร่างที่ปรากฏอยู่เหนือขอบหน้าต่างเพียงครึ่งเดียวก็ผงกศีรษะช้าๆ ผมเริ่มจ้องดูอย่างเอาจริงเอาจัง เพื่อพินิจพิจารณาว่าจะเป็นคน ที่เคยรู้จักมักจี่มาก่อนหรือเปล่า แต่ก็คิดไม่ออกเลย จริงๆ ครับ

ได้แต่นึกสงสัยอยู่ว่า...ใครนะ? มาจากไหนกัน?

ทันใดนั้น แสงสว่างเรืองก็ปรากฏขึ้นที่ใบหน้า นั้นช้าๆ จนมองเห็นได้ชัดเจนขึ้นทุกที...ผมนอนตัวแข็งทื่อด้วยความตกตะลึงพรึงเพริด หัวใจคล้ายจะหยุดเต้นด้วยความหวาดกลัวสุดขีด เมื่อมองเห็นภาพนั้นได้เต็มตา

ถึงผมไม่บอก ก็เชื่อว่าคุณผู้อ่านต้องเดาได้แล้วว่า ภาพนั้นเป็นใบหน้าของผมเอง! เจตภูตของผมแท้ๆ ที่มาเยือนตัวเองในคืนปีใหม่...

ได้เห็นครั้งเดียวก็ขนหัวลุกเกินพอแล้วครับ!

ขอบคุณ แหล่งที่มาหนังสือพิมพ์

ผี เรื่องผี เรื่องเล่าสยองขวัญ ผีอยากเกิด





ผู้อ่าน เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากนางไม้ริมถนน

ว่ากันว่า ภูตผีที่หลอกหลอนมนุษย์มักเป็นวิญญาณชั่วร้าย นิสัยเกะกะเกเร เรียกว่าผีอันธพาล ส่วนผีที่ปรากฏกายให้เห็นส่วนมากไม่ได้มีเจตนาจะทำให้ตกอกตกใจอะไรเลย หวังจะมาขอส่วนบุญเท่านั้นเอง

ผมมีประสบการณ์ผีหลอกเหมือนกัน แต่เชื่อว่า มีจุดหมายแตกต่างกว่าเหตุผลข้างต้นโดยสิ้นเชิง

นั่นคือ...ผีอยากเกิดครับ!

เมื่อเดือนเมษายน พ.ศ. 2546 ผมทำงานอยู่ที่จังหวัดแม่ฮ่องสอน ได้ไปติดต่องานที่อำเภอแม่สะเรียง เราไปกัน 3 คน คือผม เพื่อนและคนขับรถ ทุกคนล้วนแต่ไปที่นั่นเป็นครั้งแรก

ที่แม่สะเรียงนั่นเอง เราได้ทราบว่ามีรอยพระพุทธหัตถ์จำลองอยู่บนเนินเขาเล็กๆ บ้านดงสงัด จึงตัดสินใจจอดไว้เชิงเขา แล้วเดินขึ้นไปราว 20 นาทีก็มาถึงบริเวณที่ประดิษฐานรอยพระพุทธหัตถ์จำลองสมใจ

ผมอยากทราบประวัติที่มา แต่ถามใครก็ล้วนแต่ส่ายหน้า ไม่มีใครทราบถึงเรื่องราวในอดีตอย่างแน่ชัด

ขณะนั้นพวกเราได้พบพระธุดงค์รูปหนึ่ง จึงได้กราบไหว้และถวายปัจจัยท่านไปจำนวนหนึ่ง ขากลับ พระธุดงค์ได้เดินลงมากับพวกเราด้วย แจ้งความประสงค์ว่าต้องไปเยี่ยมญาติใกล้ๆ บ้านดงสงัดนั่นเอง

เมื่อลงมาถึงที่จอดรถจึงได้นิมนต์พระนั่งคู่กับคนขับเพื่อกลับแม่สะเรียง ครั้นถึงบ้านดงสงัดพระท่านจึงได้ขอลงที่หน้าบ้านหลังหนึ่ง ใกล้ๆ ถนนที่จะไปแม่คะตวน ส่วนพวกเราก็กลับไปที่โรงแรมแห่งหนึ่งในอำเภอที่เราเช่าไว้แต่แรกมาแล้ว

ระหว่างทาง ผมสังเกตเห็นผู้หญิงคนหนึ่งยืนอยู่ใกล้ต้นไม้ข้างถนน เธอแต่งตัวแบบคนพื้นเมือง ผมยาวมาก ผิวขาวผ่อง ใบหน้าเบือนกลับมาช้าๆ จนผมมองไม่เห็นชัดเจน แต่หันกลับไปมองโดยไม่ได้ตั้งใจ

โดยสัญชาตญาณ ผมรู้สึกว่าเธอยืนจ้องมองมาที่ผมคนเดียวอย่างแน่นอน!

แต่อะไรกันนั่น? โคนต้นไม้ว่างเปล่า ไม่ปรากฏ ร่างผู้หญิงคนนั้นแล้ว! ผมสะบัดหัวมึนงง คิดว่าตัวเองอาจจะตาฝาดไปก็ได้ แต่รู้สึกหนาวยะเยือกจนขนลุกซู่ ขึ้นดื้อๆ

จนกระทั่งถึงจุดหมายปลายทาง...เพื่อนกับคนขับรถแยกไปพักห้องหนึ่ง ส่วนผมนอนคนเดียวในห้องติดๆ กันนั่นเอง

ห้องนั้นมีห้องน้ำในตัว มี 2 เตียง คือข้างห้องน้ำกับริมหน้าต่าง ผมเลือกนอนเตียงหลัง โดยได้ถอดสร้อยคอห้อยพระเครื่องไว้บนโต๊ะ จากนั้นเข้านอนประมาณ 4 ทุ่ม

ปกติผมเป็นคนหลับง่าย แต่คืนนั้นกลับรู้สึกครึ่งหลับครึ่งตื่นชอบกล ราวๆ สองยามรู้สึกหนาวเย็น ผิดปกติ ได้กลิ่นหอมเอียนๆ ที่ไม่แน่ใจว่าเป็นกลิ่นหอมหรือกลิ่นเหม็นกันแน่...อะไรบางอย่างบอกให้รู้ ว่าผม ไม่ได้นอนในห้องนั้นคนเดียว!

หันไปมองที่เตียงข้างห้องน้ำก็เห็นภาพที่ทำให้ตัวแข็งทื่อ หัวใจคล้ายจะหยุดเต้นไปชั่วขณะ...นั่นคือ ภาพผู้หญิงคนหนึ่ง ผิวขาวเหมือนคนภาคเหนือ ผมยาวมาก นุ่งผ้าซิ่น กำลังนอนคว่ำหน้าแน่นิ่งไม่ผิดกับคนนอนหลับสนิท

คุณพระช่วย! ผมแน่ใจว่านอนอยู่คนเดียวแท้ๆ แล้วจู่ๆ ก็เกิดมีผู้หญิงที่ไหนไม่รู้มานอนด้วย?

มั่นใจว่าก่อนนอนได้ปิดประตูหน้าต่างเรียบร้อย อีกทั้งเป็นห้องติดแอร์แท้ๆ ไม่มีทางที่ใครจะลอบเข้ามาโดยผมไม่รู้ตัวได้อย่างเด็ดขาด

วูบหนึ่ง ผมนึกถึงผู้หญิงคนที่เห็นยืนอยู่ใกล้ต้นไม้ใหญ่ริมทาง กำลังจ้องมองผม แต่เมื่อหันไปมองก็ไม่เห็นเธอเสียแล้ว...สัญชาตญาณบอกผมว่าร่างที่มานอนอยู่ บนเตียงข้างๆ นี้จะต้องเป็นคนเดียวกับผู้หญิงคนนั้นแน่นอน!

ถ้าเป็นภูตผี เหตุไฉนจึงไม่เกรงกลัวอำนาจพระพุทธคุณเล่า?

คิดได้ดังนั้น ผมจึงตั้งนโม 3 จบ แล้วระลึกถึงคุณพระรัตนตรัย พ่อแม่และครูบาอาจารย์ ตั้งใจว่า ถ้า เธอผู้นั้นไม่ยอมออกไปก็จะเข้าไปจับต้องดูว่าเป็นอะไรกันแน่?

ไม่น่าเชื่อครับ หลังจากไหว้ 5 ครั้งแล้วภาพที่เห็นก็ค่อยๆ จางหายไป...

แต่ที่ยังคาใจมาถึงทุกวันนี้ก็คือ สิ่งที่เห็นนั้นเป็นโอปปาติกะหรือสัมภเวสี? มีบางคนให้ความเห็นว่าผมได้บรรลุธรรมขั้นอภิญญาณแล้ว และเธอผู้นั้นมาขอส่วนบุญจากผม แล้วจะได้ไปผุดไปเกิดเสียที...

จริงหรือไม่? น่าฉงนจริงๆ ครับ!

ขอบคุณ แหล่งที่มาหนังสือพิมพ์

วันเสาร์ที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

ผี เรื่องผี เรื่องเล่าสยองขวัญ สามแยกสยอง

คนในซอย เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากรถผีสิง

ถ้าท่านมาจากสี่แยกสะพานควายไปทางลาดพร้าว ผ่านวัดไผ่ตันไปหน่อยก็จะถึงสามแยกที่เลี้ยวซ้ายไปตลาดอ.ต.ก. เลยไปอีกหน่อยก็คือพหลโยธิน ซอย 18 ติดกับกรมขนส่งทางบก...ซอยนี้ไปออกสุทธิสารซอย 15 ได้ หรือจะเลยไปออกวิภาวดี 3 ก็ได้

ไม่ต้องเลี้ยวไปไหนให้เสียเวลา เพราะตรงกลางเกาะใต้ทางด่วนรถไฟฟ้านั่นมีป้อมตำรวจจราจรโดดเด่นเป็นสง่าให้ บรรดาตีนผีกับสิงห์มอเตอร์ไซค์ยำเกรง

เรื่องขนหัวลุกเกิดขึ้นที่นั่นแหละ!

เมื่อประมาณกลางเดือนธันวาคม 2549 จู่ๆ ก็มีซากรถยนต์พังยับเยินแบบหักกลาง โผล่ขึ้นมาประดิษฐานใกล้ๆ ป้อมตำรวจ...ไม่ว่าใครๆ มองเห็นเข้าก็ต้องชะงักกึกหันกลับไปมองซ้ำเพราะมันน่ากลัว น่าสยดสยองใจเต็มที

ถามว่าอุบัติเหตุร้ายแรงเกิดขึ้นที่ไหน? กับรถพังแทบเป็นเศษเหล็กแบบนี้ ไม่ว่าคนขับหรือคนที่นั่งมาด้วยจะรอดชีวิตหรือเปล่าหนอ? เหตุเกิดขึ้นที่ถนนวิภาวดีรังสิต ก.ม. 11 ใกล้ๆ นี่เอง!

ผลคือ ตายคาที่ 2 บาดเจ็บสาหัสไปเสียชีวิตที่โรงพยาบาลอีก 2 คน ว่าแต่ตำรวจอุตริลากมาตั้งโดดเด่นอยู่ที่นั่นเพราะอะไร?

คำตอบคือ เพื่อเตือนใจพวกเมาแล้วขับ ชอบซิ่ง ชอบฝ่าฝืนกฎจราจรจะได้ฉุกคิดว่า ถ้าคึกคะนองหรือประมาท อาจจะพบจุดจบแบบรถคันนั้นก็ได้...หรือใครอยากจะไปอยู่ป่าช้าก่อนอายุขัยอัน สมควรก็ตามใจ

เหนือซากรถยังมีเครื่องหมายโดดเด่นบนป้ายสีขาว ที่ตำรวจทำไว้ให้คิด

ชาวบ้านร้านช่องในละแวกนั้นมองเห็นแล้วมักเกิดอาการครั่นเนื้อครั่น ตัว...ว่าจะไม่มองก็อดเผลอหันไปมองไม่ได้ ราวกับมีอะไรมาดึงดูดสายตาโดยไม่ได้ตั้งใจเลย!

คนที่อยู่ในซอย 18 ปกติก็ไม่อยากกลับบ้านกลางค่ำกลางคืนอยู่แล้ว...ไหนจะหวาดระแวงเจ้าพ่อโพธิ์ ที่ยืนทะมึนอยู่กลางซอย เบียดเสียดกับกำแพงรั้วกรมขนส่ง...จะเฮี้ยนสุดๆ แค่ไหน ก็ขนาดไม่กล้าโค่นต้นโพธิ์ทิ้งเพื่อสร้างกำแพงก็แล้วกัน

ไหนจะโผล่ออกมาเจอซากรถที่รู้ๆ อยู่ว่าคร่าชีวิตมนุษย์ไปถึง 4 คนเมื่อไม่ช้าไม่นานมานี่เอง...ไม่อยากเสียค่ามอเตอร์ไซค์เข้าซอย 10 บาทก็ต้องตัดใจควักเงินโดยดี ถือคติว่า...เสียเงินดีกว่าโดนผีหลอก!

วันแรกๆ ที่มีซากรถน่าสะพรึงกลัวมาประดิษฐานอยู่ที่นั่นมีคนเห็นแสงไฟกะพริบวูบวาบ พอจ้องมองอีกทีก็หายไปแล้ว

คนแถววัดไผ่ตันเล่าว่าขับรถกลับบ้านตอนดึกๆ หันไปมองก็เห็นร่างดำๆ รุมล้อมอยู่รอบรถ ตำรวจจราจรอุบเงียบอยู่ในป้อม...ร่างเหล่านั้นหันมามองพลางโบกไม้โบกมือ เล่นเอาขนหัวลุกตั้ง มือไม้สั่นจนแทบจะขับรถกลับบ้านไม่ไหว

คนแถวข้างโรงแรม 24 ก็บอกว่าเคยผ่านมาตอนดึก ได้ยินเสียงแตรรถกดถี่เร็วนึกว่าโดนคันหลังบีบแตรไล่ มองทางกระจกหลังก็ไม่มี พอเสียงแตรดังขึ้นอีกทีก็นึกขึ้นได้...สะดุ้งโหยง เย็นวาบไปทั้งตัวบัดดล

มันดังมาจากรถผีสิงคันนั้นน่ะซี! เขาบีบแตรทักทายหรือเตือนสติด้วยความหวังดี...อย่ารีบร้อนไปตายเหมือนพวกเขาเลย

ยกมือไหว้ แตะเบรก...เล่าไม่อายว่าเกือบจะร้องไห้โฮ!

ทำไมวิญญาณทั้ง 4 จึงเฮี้ยนจัดขนาดนั้นล่ะ?

เมื่อนำซากรถมาไว้ที่นั่นได้ไม่นาน มีตำรวจประจำป้อมนายหนึ่ง นึกขลังอะไรขึ้นมาก็ไม่ทราบ ได้จุดธูป 1 ดอกปักไว้ที่หน้าซากรถ พลางบอกกล่าวเสียงดังฟังชัดว่า

"ถ้าหิวก็ไปหาอะไรกินที่วัดไผ่ตันนะ! กินอิ่มแล้วก็ขอให้กลับมาอยู่ที่นี่ตามเดิม...ไอ้พวกตีนผีตีนปีศาจมันจะได้ยำเกรงเสียที!"

เท่านั้นแหละได้เรื่อง!!

เชื่อว่าวิญญาณทั้ง 4 ถูกจุดธูปเรียกร้อง ไม่อาจบ่ายเบี่ยงได้เพราะควันธูปที่อวลกรุ่นสะกดไว้ เมื่อไปหาเครื่องเซ่นกินที่วัดไผ่ตันแล้ว จึงต้องกลับมา...สิงสู่อยู่ที่ซากรถน่าสยดสยองตั้งแต่นั้นมา

เวลาผ่านไปราว 3-4 เดือน รถผีสิงคันนั้นก็ถูกย้ายจากหน้าป้อมตำรวจไปแล้ว จะย้ายไปไว้ที่ไหนก็ ไม่มีใครแยแส ท่ามกลางความโล่งอกโล่งใจของผู้คนละแวกนั้น...เหลือแต่เรื่องขนหัวลุกเล่า สู่กันฟัง!

ขอบคุณ แหล่งที่มาหนังสือพิมพ์

ผี เรื่องผี เรื่องเล่าสยองขวัญ คำสาปนรก

นพพร เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากคน ตาทิพย์

สมัยหนุ่มๆ ผมอยู่ยานนาวา มีเพื่อนสนิทคนหนึ่งชื่อโหน่ง เป็นลูกคนรวย เรียนจบพาณิชย์ก็ได้งานทำแถวบางรัก แต่ไม่นานก็เปลี่ยนงานใหม่ไปแถวสี่พระยา ตลาดน้อย หัวลำโพง แต่ก็อยู่ไม่ยืดซักแห่งเดียว...มันบอกผมว่ามีแต่คนโง่ๆ ทั้งนั้น!

อาศัยที่พ่อแม่ฐานะดี แถมมีลูกชายคนเดียว เจ้าโหน่งจึงไม่เดือดร้อนเงินทอง มักจะเที่ยว กิน เล่น ไปวันๆ ตามใจชอบ

วันหนึ่งไปมีเรื่องที่บ้านใหม่ (เกือบถึงถนนตก) เขม่นกันในร้านเหล้า เจ้าโหน่งโดนเจ้าถิ่นรุมสกรัม ทั้งประเคนด้วยไม้หน้าสามจนสลบเหมือด ต้องไปนอนโรงพยาบาลสิบกว่าวันถึงจะกลับบ้านได้

ตั้งแต่นั้นมาเจ้าโหน่งก็เปลี่ยนนิสัยเหมือนเป็นคนละคน!

เคยชอบเที่ยวเตร่ สนุกสนานเฮฮาก็กลับนิ่งเงียบ ไม่ค่อยชอบออกจากบ้าน ร่างกายผอมซูบลง นัยน์ตาเลื่อนลอยไม่จับคน บางทีก็พยักหน้าหงึกๆ กับใครไม่ทราบ บางทีก็พูดพึมพำ หัวเราะหัวใคร่อยู่คนเดียวเหมือนคนบ้าๆ บอๆ จนชาวบ้านนึกว่าสติไม่ดีเพราะโดนตีหัวคราวนั้น

ผมเป็นเพื่อนสนิทที่ไปมาหาสู่บ่อยๆ ต้องยืนยันว่าเจ้าโหน่งไม่ได้บ้าๆ บอๆ พูดคุยกันรู้เรื่อง ถามไถ่อะไรก็จำได้ พ่อแม่มันก็ชอบให้ผมไปบ้านเขา ลูกชายจะได้พูดคุย ยิ้มแย้มแจ่มใส ไม่งั้นมักจะหมกตัวเงียบอยู่ในห้องคนเดียว

ไม่ช้าผมก็ต้องขนหัวลุกเพราะเจ้าโหน่งนี่เอง!

ตอนบ่ายวันนั้นเรานั่งคุยกันที่โต๊ะหินหน้าบ้าน มีต้นมะม่วงกับชมพู่ร่มครึ้ม เจ้าโหน่งมองไปที่รั้วไม้ระแนงแล้วถามว่าเห็นใครไหม? ผมเอียงคอมองๆ แล้วส่ายหน้า บอกว่าข้าจะเห็นได้ยังไงรั้วมันบัง

"ไม่ใช่นอกบ้าน...ที่ใต้ต้นมะม่วงริมรั้วข้างในต่างหากล่ะ! ผู้ชายตัวดำๆ ล่ำเตี้ยน่ะ มันกำลังมองเราอยู่ด้วย"

ผมส่ายหน้า ยืนยันว่าไม่เห็นใครเลย เจ้าโหน่งก็ถอนใจยาว

"มันชื่อสิงห์ ตามข้ามาจากโรงพยาบาลแน่ะ!"

"คิดไปเองมั้ง? ไม่ก็ตาฝาด..."

"เปล่า ไอ้สิงห์ตามข้ามาจริงๆ มันโดนสิบล้อทับตายคาที่ ก่อนข้าจะกลับบ้าน 2-3 วันเท่านั้น...มันมาขออยู่ด้วย! นั่นไง...มันกำลังยิ้มฟันขาวกับเอ็งแน่ะ"

ผมขนลุกซ่า ทั้งที่เป็นกลางวันแสกๆ ก็เถอะเอ้า! ตอนแรกคิดว่าเพื่อนเป็นบ้าไปแล้ว แต่คำพูดต่อมาของมันทำให้ผมเสียวสันหลังมากกว่าเดิม

"ข้ารู้ว่าเอ็งไม่เห็น ใครๆ ก็ไม่เห็น มีแต่ข้าคนเดียวที่เห็นถนัด" เจ้าโหน่งถอนใจยืดยาวอีกครั้ง นัยน์ตาที่จมลึกอยู่ในเบ้าราวจะขยายใหญ่ยิ่งกว่าเดิม "ไม่ใช่ ไอ้สิงห์คนเดียวนะ...นั่น! ตาปลอดกับลุงฉ่ำ ยายเขียวกับป้าแสง! ยืนมองเราอยู่ที่หน้าประตูนั่นไง!"

"ไอ้โหน่ง..." ผมคราง ปากคอแห้งผากไปถนัด "เอ็งจะเห็นได้ยังไงวะ...ก็พวกนั้นตายหมดแล้วนี่หว่า"

"อ้าว? ไอ้เด่นเดินมาอีกคนแล้ว ที่มันตกน้ำตายตอนต้นปีน่ะ"

ผมตัวแข็งลิ้นแข็งไปหมดจนพูดอะไรไม่ออก จ้องมองแทบตาถลนไปยังประตูรั้วก็ไม่เห็นใครที่เจ้าโหน่งเอ่ยชื่อมา...ไอ้ เด่นวัยสิบขวบที่ตกน้ำตายก็ไม่เห็น!

คุณพระคุณเจ้า! ผมเห็นเจ้าโหน่งยิ้มกว้างขึ้น กวักมืออย่างอารมณ์ดี

"มาซีวะไอ้เด่น อยากคุยกันก็เข้ามา" มันพูดเสียงดังก่อนจะพยักหน้าช้าๆ "เออ! งั้นก็แล้วไป" แล้วหันมายิ้มกับผม "ไอ้เด่นมันบอกว่าวันหลัง มันรู้ว่าเอ็งกลัวมัน"

เจ้าโหน่งทั้งเห็นผี ได้ยินเสียงผีด้วยหรือเนี่ย? ตอนแรกคิดว่ามันหยอกล้อผมเล่นตามประสาเพื่อนฝูง แต่วันต่อๆ มามันก็ชี้ให้ดูมะม่วงหน้าบ้านต้นนั้น...บอกว่ามีผู้หญิงที่ไหนไม่รู้นั่ง อยู่บนนั้น...ผีผูกคอตาย!

"สงสัยจะตายมานานแล้วว่ะ พ่อแม่ก็ไม่ยอมเล่าให้ฟัง ตอนกลางคืนข้าเห็นแกห้อยโตงเตง กวักมือเรียกข้าไปอยู่ด้วย พอตอนกลางวันก็นั่งร้องไห้อยู่บนกิ่งใหญ่นั่นไง"

ถึงจะมองไม่เห็นอะไรเลยแต่ผมก็ขนลุกซ่า...กลับบ้านไปถามพ่อ ได้ความว่าญาติข้างแม่เจ้าโหน่งมาอาศัยอยู่ไม่นานก็ผูกคอตายมาสิบกว่าปี แล้ว...สาเหตุจากท้องไม่มีพ่อ

ผมแน่ใจว่าเพื่อนไม่ได้บ้า แต่เกิดมีญาณวิเศษหรือพรสวรรค์หลังจากโดนตีจนสลบ...คิดว่าจะห่างๆ ไปสักพักก่อน แต่อีกไม่กี่วันต่อมาเจ้าโหน่งก็ผูกคอตายที่ต้นมะม่วงริมรั้วนั่นเอง...ผี ผูกคอเรียกเพื่อนผมไปอยู่ด้วยกันได้สำเร็จแล้ว!

ขอบคุณ แหล่งที่มาหนังสือพิมพ์

วันอังคารที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

ผี เรื่องผี เรื่องเล่าสยองขวัญ แฟลตผีสิง

งานโครงสร้างคอนกรีตธนาคารทหาร ไทยสำนักงานใหญ่ยังเร่ง แสง สปอตไลท์ยามค่ำคืนคงส่องสว่างถึงรุ่งเช้า รถโม่คอนกรีตสำเร็จรูปยังวิ่งเข้าออกแทบตลอดเวลา สถานีขนส่งผู้โดยสารสายเหนือและตะวันออกเฉียงเหนือหรือหมอชิตยังคราคร่ำไป ด้วยผู้คนเบียดเสียดยัดเยียด

ถือกระเป๋าเดินทางและข้าวของกล่อง กระดาษ สะพานลอยคนเดินข้ามถนนพหลโยธินจากฝั่งหมอชิตไปสวนจตุจักรยังเนืองแน่นหาที่ เดินแทบไม่ได้ แต่ละก้าวของคนแปลกหน้าแต่ละคนยังพัวพันกันไปมาไหลลื่นไปสู่จุดมุ่งหมาย เดียวกัน

6 โมงเช้า ผมกับเบิ้มลงจากรถทัวร์สายขอนแก่น-กรุงเทพฯ ยืนรอรถเมล์ได้สักพักก็ไปขึ้นสาย 59 จากหมอชิตผ่านไปลงอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ จากนั้นเดินย่ำไประยะไม่ห่างกันนักก็มาถึงที่พัก ป้ายกระจกสูงริมเสาไฟบอกชื่อแฟลตพร้อมสัญลักษณ์ดาว 5 ดวง

เราขึ้น ลิฟท์มาชั้น 5 เข้าไปในห้อง ก่อนที่จะรีบอาบน้ำ แต่งตัว ลงมาทานข้าวข้างล่าง ผมยังไม่ชินกับมลพิษทางอากาศของที่นี่ รู้สึกหายใจอึดอัด พอใช้นิ้วมือแคะตามซอกรูจมูกออกมาดู เห็นเขม่าควันดำเกาะโดยรอบ เบิ้มพาไปไซต์สาธรซิตี้หน่วยงานก่อสร้างอาคารสูงออฟฟิศคอนโดมิเนียม 29 ชั้น ขณะนั้นเพิ่งปรับพื้นที่และตอกเข็มพืดหรือชีตไพล์อยู่

ความจริงแล้ว ผมเรียนจบช้าไป 1 เทอมในระหว่างรอผลสอบวิชาสุดท้าย ก็เจอเบิ้มกลับมารับใบทรานสคริปต์และลงทะเบียนรับพระราชทานปริญญาบัตร เบิ้มชวนผมไปทำงานที่กรุงเทพโดยให้ทางคณะออกใบรับรองคาดว่าจะจบเพื่อรีบไปหา งานทำ

งานช่วงนั้นกำลังบูมเป็นยุคทองของเรียลเอสเตท(2530-2540) หรือธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ อันได้แก่การจัดสรรหรือรับเหมาก่อสร้างบ้านและที่ดิน ถนนสาธรเหนือช่วงนั้นช่างหาอาหารรับประทานยากจริง ๆ ตอนเที่ยงต้องให้แม่บ้านไปซื้อข้าวแกงที่ร้านเพิงหมาแหงนใส่กล่องโฟมกลับมา ให้พนักงานออฟฟิศหลาย ๆ คน

4 โมงเช้าพี่โจก็ตามมาถึงหน่วยงาน เบิ้มกับพี่โจพักที่แฟลตห้องเดียวกัน ก่อนจะมีผมตามมาสมทบอยู่ด้วย ตอนเย็นเลิกงาน พี่โจแยกไปหน่วยงานก่อสร้างฐานรากของบริษัทเสาเข็มอีกแห่งหนึ่ง คนเดียวทำ 2 บริษัท กลางวันที่หนึ่ง

กลางคืนอีกที่หนึ่ง เป็นช่วงที่เมคมันนี่ (MAKE MONEY) อย่างเดียว เบิ้ม สตาร์ทงานที่เงินเดือน 12,000 บาท เหมารวมโอที สำหรับวิศวกรเพิ่งจบใหม่ ถือว่าเริ่มต้นได้ไม่เลว ก่อนกลับเบิ้มแวะทานข้าวและจีบน้อง ๆ พยาบาลแถวโรงพยาบาลกรุงเทพคริสเตียน

ก่อน เข้าแฟลตเบิ้มยังชวนผมเดินเล่นต่อที่ห้างสรรพสินค้าโรบินสันอนุสาวรีย์ฯ 3 ทุ่มก็ได้เวลาล้มตัวนอนบนฟูก สภาพภายในห้องยังรกระเกะระกะจัดข้าวของหรือชั้นวางไม่ลงตัว โทรทัศน์ขนาด 14 นิ้วยังไม่มีชั้นวาง เพราะเพิ่งย้ายเข้ามาอยู่ด้วยกันใหม่ ๆ

หลอด ไฟยังเป็นแบบกลมส่องแสงสีส้มนวล ถึงแม้จะเหนื่อยเพลียจากเมื่อคืนที่นั่งรถทัวร์มาก็ไม่สามารถทำให้ผมข่มตา หลับลงไปได้ เพราะเหมือนกับมีใครกำลังจ้องมองผมอยู่ในมุมมืด ผมรู้ตัวอีกครั้งราวตี 3 เมื่อพี่โจกลับจากคุมงานเทคอนกรีตหล่อเสาเข็มแถวลาดพร้าว แกถอดเสื้อผ้านอนหลับปุ๋ยไปเลยด้วยความอ่อนเพลีย

ตื่นเช้าผมโทรศัพท์ บอกพี่ชายให้มารับไปอยู่ด้วยที่อพาร์ตเม้นต์แถวฝั่งธนบุรี ตอนขนของออกมาจากห้องผมสังเกตที่บานประตูมียันต์ปูนขาวที่นิมนต์พระมาเจิม แต่เหนือวงกบประตูกลับปรากฏตะปูเหล็กหัวสีแดงตอกคาอยู่ คล้ายการสะกดวิญญาณชั่วร้ายไม่ให้อาละวาดตามที่ผมเคยอ่านเจอในนิตยสารเรื่อง ผี

พอไปอยู่ที่ใหม่กับพี่ชายได้หนึ่งคืน เช้าวันถัดมาผมก็สมัครงานได้ทำคอนโดแถวพัทยา เงินเดือน 12,000 บาท เบี้ยเลี้ยงต่างจังหวัดอีก 3,000 บาท รวมเป็น 15,000 บาท ก็เป็นบริษัทเดียวกันกับที่พี่โจและเบิ้มทำที่กรุงเทพฯนี่เอง ตอนเย็นแวะไปทานข้าวกับเบิ้มแถวอนุสาวรีย์ฯ

“อย่าหาว่าผมยังงั้นยัง นี้เถอะนะ ผมว่าห้องที่เราอยู่ในแฟลตห้าดาวนี่ค่อนข้างชอบกล เหมือนมีใครมานั่งจ้องในมุมมืด ทำให้เมื่อคืนก่อนผมนอนไม่หลับเลย”

“คงผิดที่ผิดทางมั้ง เดี๋ยวก็เคยชิน” เบิ้มแย้ง

“ไม่ ไหวว่ะ ไม่เห็นเหรอพอถึงเช้าผมรีบย้ายไปตั้งหลักใหม่อยู่กับพี่ชายแถวฝั่งธนฯ” พูดจบผมดูดน้ำชาดำเย็นจนหมดแก้วขณะที่เพิ่งทานข้าวมันไก่ได้ครึ่งจาน

“ความจริงพี่โจก็เจอเหมือนกัน คล้ายกับมีเด็กมาวิ่งไล่กระโดดไปมาข้ามตัวแก”เบิ้มสารภาพ

“นั่นไง นึกแล้วเชียว”

“ร.ป.ภ. ที่นี่บอกว่า ห้องนั้นเคยมีคนฆ่าตัวตายยกครัว 5 ศพ พ่อแม่ลูก ถ้ายังเฮี้ยนอยู่ขนาดนี้เห็นทีต้องชวนพี่โจย้ายที่อยู่ใหม่ตอนสิ้นเดือน”สี หน้าเบิ้มจริงจังกับที่พูด

“พรุ่งนี้วันที่ 1 พฤศจิกา ผมจะไปพัทยา เอาไว้วันที่ 15 เงินเดือนออกแล้วเจอกันที่เฮ้ดออฟฟิศ”

ตุลาคม 2543

ผม ยังทำงานกับบริษัทรับเหมาก่อสร้างอาคารเรียนแถวสามย่าน เบิ้มทำงานให้กับบริษัทวิศวกรที่ปรึกษาของฝรั่ง เฮ้ดออฟฟิศอยู่อาคารเลครัชดา ส่วนพี่โจพ้นวังวนธุรกิจก่อสร้างที่นับวันมีแต่จะทรงกับทรุดไปเอาดีทางขาย ประกันชีวิต เพิ่งกลับจากเดินทางไปดูงานต่างประเทศที่ฮ่องกง , ญี่ปุ่นและสหรัฐอเมริกา เรา 3 คนไม่เคยเหยียบย่างกลับไปอยู่แฟลตที่อนุสาวรีย์ฯกันอีกเลย

“หนึ่ง…หนึ่ง….. ห้า…..จู๊น! ส่งไก่ถึงที่..อะ.ชั้นนี้มันทำไมถึงเงียบเชียบพิลึกนักวะ” นายดนัยพนักงานส่งอาหารตามสั่งเดินไปตามระเบียงห้อง หยุดกึกที่ห้องหมายเลข 506 ใช้มะเหงกเคาะประตูตามโค้ดไป 3 ที ยังคงเงียบเหมือนไม่มีสิ่งมีชีวิตใดๆเคลื่อนไหวอยู่ภายใน

“ชะ..เอ๊ย! พวกคุณแอบย่องมาข้างหลังผมตั้งแต่เมื่อไหร่ตกใจหมดเลย”

นาย ดนัยหันหน้ากลับมามองผู้ที่ยืนอยู่เบื้องหลังจากหัวจรดเท้า หนึ่งหญิง สองชาย วัยรุ่นอายุยังน้อย “ว่าแต่คุณเป็นเจ้าของห้องและสั่งไก่ เคเอฟซี ผมด้วยใช่มั้ยครับ”

“ใช่…ถูกต้อง ขอเปิดประตูห้องก่อนนะ”

ว่า พลางชายหนุ่มร่างสูงใช้มือไขลูกบิดเปิดประตูเข้าไป สายตาดนัยสอดส่องตามประสาคนอยากรู้อยากเห็น ในห้องรกอีนุงตุงนังไปด้วยเครื่องเสียงระดับไฮ-เอ็นด์ ลำโพงเซอร์ราวนด์ขนาดเบ้อเริ่ม 5 ตัว พร้อมขาตั้งสแตนด์อย่างดีและทีวีโปรเจคเตอร์จอมหึมา

กลิ่นเหล้า เบียร์ คละคลุ้ง ฝาห้องตั้งขวดเปล่าของบลูอีเกิ้ลเรียงกันเป็นแถบ แสงโคมไฟสลับสี แดง เขียว เหลือง เมื่อสะท้อนกับลูกคริสตัลกลางห้องดูแล้วตาลายพานทำให้ปวดเศียรเวียนเกล้า นี่มันดิสโก้เธ็คจัดงานปาร์ตี้ยาอีขนาดย่อมได้สบาย

กำลังสอดส่ายสาย ตาซอกแซกเพลิน ๆ ดนัยก็ตกใจกับพลังเสียงกระหึ่มของลำโพงชุดมินีเธียเตอร์กับเพลงแร็บ ร็อควงลิมพ์บิซคิท (LIMP BIZKIT) “TAKE A LOOK AROUND” ซึ่งประกอบภาพยนตร์มิชชั่นอิมพอสสิเบิ้ล 2 (M:I-2)

“250 บาท ครบพอดี” เจ้าหนุ่มโย่งนับแบงก์จากกระเป๋าส่งมาให้

“โอ.เค.ครับ อย่าลืมเรียก เคเอฟซีดิลีฟเวอรี่ มาให้บริการในครั้งต่อไปอีกนะครับ..อืมม์พวกคุณคงอยู่กันหลายคนเห็นมีเด็ก เล็กเด็กน้อยด้วย”สายตาดนัยจ้องไปที่มุมมืดของห้อง

“เด็กที่ไหน มึงอย่าเสือกรุ้มากแส่ไปบอกใครว่ากูมั่วสุมกันอยู่ที่นี่ เดี๋ยวถูกตบบ้องหูเอานะโว้ย!”

“ผมกลัวแล้วลูกพี่ ไปล่ะครับ” ดนัยทำเสียงล้อเลียน

6 ทุ่มก่อนได้เวลารวมพล กับแกล้มข้าวปลาที่ซื้อมาจากข้างนอกก็แล้วเสร็จพอดี เจ้าโย่งมวนยาเส้นกัญชาเข้าที่ยัดใส่บ้อง สูดควันเข้าเต็มปอด ปากคาบขาน่องไก่ขบเคี้ยวไปมา แล้วพ่นแต่กระดูกที่เหลือลงพื้น

เพื่อน ชายและหญิงจัดเรียงโซฟาใหม่ให้ชิดผนัง เอาน้ำแข็งจากตู้เย็นมาเคาะเทใส่กระติก ข้างล่างมอเตอร์ไซคล์ 4-5 คัน วิ่งเข้ามาจอดใต้ถุนแฟลต สักพักลิฟท์ก็พาแขกรับเชิญขึ้นจากชั้นล่างมาส่งถึงชั้น 5 พอประตูลิฟท์เปิดเหล่าพลพรรคแฟนปีศาจแดงต่างแย่งกรูกันออกมา ราวกับนักฟุตบอลวิ่งออกจากห้องเก็บตัวมุดอุโมงค์วิ่งขึ้นสู่สนาม

“มาทันเวลาถ่ายทอดสดพอดีพรรคพวกเชิญคร้าบ…..เชิญเข้ามาข้างใน” เจ้าโย่งยืนทักทายเพื่อน ๆ ที่โถงทางเดิน

“กูเอาแมนยูต่อครึ่งควบลูก ไอ้โย่งมึงกล้ารองหรือเปล่าวะ” บักน้อยผู้มาเยือนท้าทาย

“ได้เลย ถ้าไม่อั้นเท่าไหร่เท่ากัน”

พอ เข้าไปสุมหัวกันในห้องนับได้รวม 12 คน แรกๆ ก็เชียร์บอลกันสนั่นหน้าทีวีโปรเจ็คเตอร์จอยักษ์ พอพักครึ่งแรกเสียงเพลงเฮฟวี่เมทัลก็ดังกระหึ่มเสียงแต่ละคนแหกปากร้องตาม ฟังไม่ได้ศัพย์ ราวกับเสียงปีศาจจากนรกกำลังร้องดิ้นกันให้พล่านคาน้ำร้อนในกระทะทองแดง

ชาย หญิงจับคู่เคล้าคลึงกอดก่ายขึ้นขย่มกันบนโซฟา ควันบุหรี่ตลบอบอวน ที่เมาเหล้าหนักควบคุมตัวเองไม่ได้ก็คลานกลิ้งไปมากับพื้น และแล้วไฟในห้องก็ดับพรึ่บ สิ้นเสียงเพลงปีศาจทุกอย่างอยู่ในภาวะเงียบงัน เจ้าโย่งอาศัยแสงสลัวจากกระจกช่องแสงภายนอกเดินไปหยิบไฟฉายใกล้ชั้นวางแผ่น ซีดี มีมือเล็ก ๆ เกาะยึดตามแข้งขาและเป้ากางเกง ทำให้มันเสียอารมณ์

“เฮ้ยอย่าเล่นพิเรนทร์ กูกำลังหาไฟฉายอยู่”

เมื่อ คว้าไฟฉายได้กดส่อง สำแสงสว่างกระจายไปกลางห้อง ภาพที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้าถึงกับทำให้เจ้าโย่งตะลึงจังงังกับศพเด็กชายหญิง อายุไล่เลี่ยกัน 2-3 ขวบ 3 คน นอนน้ำลายฟูมปากตาถลน ข้าง ๆ คงเป็นมารดาในสภาพไม่ต่างกัน

รอบคอเขียวช้ำลิ้นจุกปาก ใบหน้าขาวซีด เส้นเลือดโปนเขียว กลอกตาหันมามอง เจ้าโย่งเบี่ยงลำแสงจากไฟฉายไปผนังระเบียงข้างห้องน้ำก็เห็นเงามืดของผู้ชาย ห้อยต่องแต่งผูกคอตายคาขื่อ

“ผะ….ผี…ผีหลอกโว้ย!”

เจ้าโย่ง กระโจน ตีนเหยียบลำตัวเผ่นข้ามพรรคพวกบางคนที่ยังนอนเมาอ้อแอ้สลบไสล เปิดประตูโกยอ้าวลงบันไดหนีไฟโดยไม่ต้องยืนรอลงลิฟท์ สวนทางตำรวจสายตรวจที่ระดมกำลังปิดล้อมทางขึ้นลงและเตรียมเข้าตรวจค้นห้อง ที่มีพลเมืองดีแจ้งทางโทรศัพท์ว่า มีกลุ่มวัยรุ่นจัดปาร์ตี้ยาอีมั่วเซ็กส์กันในแฟลตกลางกรุงใกล้อนุสาวรีย์ชัย สมรภูมิ

พอลงมาถึงถนนข้างล่างเจ้าโย่งโบกมือแล้วเข้าไปนั่งในรถแท็กซี่

“ไปลงที่ไหนครับ” โชเฟอร์แท็กซี่ถามขณะนิ้วมือกดปุ่มมิเตอร์ขึ้นต้นที่ตัวเลข 35 บาท

“เออ…ปะ…ไป…สะพานควาย..แถวแยกสุทธิสารนะ” …สั..ก..พั..ก…

“คุณ…คุณ..ถึงสุทธิสารแล้วคุณจะลงตรงไหน”

เจ้าโย่งลุกขึ้นนั่งตัวตรง หายจากอาการสะลึมสะลือมองออกไปนอกกระจกรถ

“เฮ้ย นี่มันยังอยู่แถวอนุสาวรีย์ชัยฯ นี่หว่า! มึงขับรถประสาอะไรกันวะ”

ภาพ จากกระจกข้างรถสะท้อนใบหน้าโชเฟอร์คนขับรถแท็กซี่ ศีรษะแหว่งหายไปครึ่งซีก ตาอีกข้างโบ๋ ลูกตาทะลักลงมาใต้กระดูกโหนกแก้ม เลือดสดๆไหลออกจากรูจมูกและปาก เจ้าโย่งพยายามเปิดประตูรถแต่เปิดไม่ออก มันจึงแหกปากร้องตะโกนสุดเสียง

“ช่วย….ช่วยด้วย!!!”

สักพักเหมือนกับมีผ้าชุบน้ำเย็น ๆ มาเช็ดรอบคอและหน้าผากทำให้โย่งรู้สึกตัวตื่นขึ้น

“นี่…นี่..กูฝันไปหรือเปล่าวะ แล้วเพื่อน ๆ เราหายไปไหนกันหมด”

“ไอ้โย่งเอ็งเมากัญชาจนเพี้ยนหนักไปแล้ว บอกว่าอย่าริไปลองก็ไม่เชื่อ พรรคพวกเราน่าจะอยู่ในเธ็คสวอนอินน์แถวพญาไท ยังมาไม่ถึงว่ะ”

“ไอ้เบื๊อกกูอยู่ที่นี่ไม่ได้แน่ กูกลัว พวกเราเผ่นกันเถอะ ที่นี่มันแฟลตผีสิงชัด ๆ”

ขอบคุณ แหล่งที่มาหนังสือพิมพ์

ผี เรื่องผี เรื่องเล่าสยองขวัญ วิญญาณใส่บาตร

พิมพ์พร เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกเมื่อเห็นวิญญาณใส่บาตร

ตั้งแต่เด็กๆ มาแล้วที่ดิฉันได้ฟังเรื่องผีมากมายนับไม่ถ้วน บางเรื่องก็ชวนให้ฉุกคิดค่ะ เช่น คนที่ขับรถชนคนตายแล้วบึ่งหนี วันดีคืนดีก็ได้กลิ่นศพในรถ หรือเห็นใครมานั่งตัวแข็งทื่ออยู่ที่เบาะหลัง...วิญญาณอาฆาตติดตามทวงหนี้ ชีวิตจนตกใจขับรถพุ่งออกนอกถนนไปเลย

ยิ่งคนที่ฆ่าเขาตายยิ่งน่าขนลุกนะคะ!

ลองนึกดูสิิ ถึงจะรอดตัวจากมือกฎหมายไปได้ แต่เขาจะต้องนึกถึงหน้าตาของคนที่ตัวฆ่าอยู่ตลอด นัยน์ตาที่เจ็บปวด โกรธเกรี้ยว ติดตามจ้องมองอย่างไม่ลดละ ไม่ว่าตื่นหรือหลับ...ถ้าเกิดมาโผล่ที่หน้าต่างหรือเคาะประตูเรียก มองเห็นเต็มตาจะตกใจปานใด

วันดีคืนดีอาจจะนอนรออยู่บนเตียงก็ได้... สยองค่ะ!

ดิฉันเองเคยพบผีมาแล้ว แต่ก็ไม่เหมือนกับเรื่องผีที่เคยฟังมาก่อนเลย ขอยืนยันว่าเป็นประสบการณ์ที่แปลกประหลาดที่สุดในชีวิตก็แล้วกัน

สมัยเด็กๆ ดิฉันอยู่เทเวศร์ซอย 1 กับป้าขวัญ พี่สาวของพ่อ ตอนเช้าๆ จะตื่นพร้อมป้าไปใส่บาตรที่หน้าบ้านเป็นประจำ พระจากวัดนรนาถจะเดิน อุ้มบาตรช้าๆ เข้าซอยมา ชาวบ้านก็ตั้งโต๊ะวาง ของใส่บาตรบ้าง ถือขันข้าวและถุงแกงหรือผัดบ้าง ถ้าใส่บาตรพระรูปเดียว

ป้าขวัญต้องตั้งโต๊ะเพราะใส่บาตรพระวันละ 3 รูป คุณยายนวลบ้านเยื้องๆ กันจะใส่บาตรพระรูปเดียว ส่วนมากมักจะเป็นหลวงตาชื่น จนคนแถวนั้นพูด กันล้อๆ ว่าเป็นพระขาประจำ

พอหลวงตาชื่นรับบาตรจากคุณยายนวลและให้ศีลให้พรเรียบร้อยแล้ว จึงข้ามถนนมาทางบ้านเรา

คุณยายนวลอายุราว 70 ปี รูปร่างแบบบาง ผมสีขาวเกล้ามวยไว้เรียบร้อย สวมเสื้อแพรแขนสั้น สีอ่อน นุ่งซิ่นสีเข้ม หน้าตาผ่องใสใจดี ใช้ชีวิตบั้นปลายอยู่กับลูกหลานอย่างมีความสุข คุณยายจะยิ้มให้ดิฉัน ทุกเช้า บางวันรอพระก็ทักทายกับป้าขวัญ

วันหนึ่งก็ได้ข่าวร้าย คุณยายนวลเป็นลมหมดสติในบ้าน ลูกหลานรีบนำส่งวชิรพยาบาล แต่พอไปถึงคุณยายก็สิ้นใจอย่างสงบ

"คุณยายนวลเป็นคนดี" ป้าขวัญบอกดิฉันเสียง เศร้าๆ วันไปฟังสวดศพที่วัดมกุฏฯ "ทำแต่บุญกุศลมาตลอดชีวิต ป้าคิดว่าแกต้องไปสู่สุคติแน่นอน"

"ไปสวรรค์ใช่ไหมคะ?"

ดิฉันเอียงคอถาม ป้าขวัญก็พยักหน้ายิ้มๆ แทน คำตอบ...ดิฉันมองไปที่รูปถ่ายคุณยายนวลที่ตั้งอยู่หน้าโลง ดูเหมือนนัยน์ตาคู่นั้นจะจ้องมองดิฉันตลอดเวลา ปากบางๆ ติดรอยยิ้มก็ดูจะกว้างขวางขึ้นกว่าเดิม

น่าแปลกที่ดิฉันไม่รู้สึกกลัวแม้แต่นิดเดียว...อาจจะเป็นเพราะเราพบกัน ยิ้มให้กันแทบทุกเช้าก็เป็นได้นะคะ

วันรุ่งขึ้น เราสองคนป้าหลานก็ออกไปใส่บาตรตามเคย!

ดิฉันมองไปที่บ้านคุณยายนวลด้วยความเคยชิน เห็นแต่ประตูปิดเงียบ ไม่มีร่างเล็กบางของคุณยายมายืนอุ้มขันเงินรอใส่บาตร บางทีก็ส่งยิ้มมาให้ดิฉัน...คิดแล้วใจหายไม่น้อยและก็พลอยเกลียดความตายมากๆ เลยค่ะ

และแล้ว...หลวงตาชื่นเดินนำหน้าพระรูปอื่นๆ เข้าซอยมา ท่ามกลางแสงแดดอบอุ่นของยามเช้า ป้าขวัญขยับตัวเพื่อจะใส่บาตรตามความเคยชิน ดิฉันก็ยืนข้างๆ อย่างเตรียมพร้อม..ก่อนจะย่นคิ้วประหลาดใจ

ภาพที่เห็นคือหลวงตาชื่นยืนเปิดฝาบาตร ก้มหน้า นิดๆ อยู่หน้าบ้านคุณยายนวลนั่นเองทั้งๆ ที่ไม่มีร่างของคุณยายอยู่ที่นั่น แถมประตูรั้วก็ปิดสนิท...ดิฉันสะกิดแขนป้าขวัญด้วยความสงสัย แต่โดนดุเสียงแหบเครือว่า...เงียบนะ!

หลวงตาชื่นข้ามถนนมาที่บ้านเราแล้ว...ป้าขวัญ ตักข้าวใส่บาตรด้วยมือสั่นนิดๆ ดิฉันใส่ถุงผัดพริกขิงและขนมถ้วยฟู เสียงป้าขวัญสั่นเครือถามว่า...หลวงตาแวะรับบาตรที่บ้านคุณยายนวลด้วยหรือ คะ?

"เจริญพร ถูกแล้วโยม" หลวงตาตอบเสียงอ่อนโยน

"อีกสองวันก็จะเผาคุณโยมนวลแล้วใช่ไหม? เจริญพร..."

หลวงตาชื่นออกเดินโปรดสัตว์ต่อไป ดิฉันได้ยินเสียงป้าขวัญครางเบาๆ อยู่ในลำคอ มองเห็นร่างแบบ บางของคุณยายนวลยืนอยู่ที่นั่น หลิ่วตายิ้มให้ดิฉัน นิดๆ คล้ายจะยั่วเย้า ก่อนจะหมุนตัวกลับเดินช้าๆ หายลับไป...

ขอให้ขึ้นสวรรค์เร็วๆ นะคะ คุณยาย!

ขอบคุณ แหล่งที่มาหนังสือพิมพ์

วันอาทิตย์ที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

ผี เรื่องผี เรื่องเล่าสยองขวัญ เนินอาถรรพณ์

สุชิน เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากวงศ์สว่าง

สมัยเด็กผมอยู่แถววงศ์สว่างใกล้ ๆ อู่รถเมล์ศิริมิตร บ้านช่องยังไม่หนาตานัก แต่ก็มีมากขึ้นทุกทีเพราะความเจริญมาถึงอย่างรวดเร็ว

เขาลือกันว่าแถวนั้นเป็นป่าช้าเก่าครับ!

เท็จจริงยังไงไม่รู้ แต่เด็กๆ อย่างพวกเราก็กลัวกัน ทุกคน โธ่! เด็กที่ไหนไม่กลัวผีล่ะ? ขอถามหน่อยเถอะ ขนาดผู้ใหญ่หลายๆ คนยังกลัวนี่นา คนแก่เฒ่าก็ยังไม่วายกลัวผี ผมเคยได้ยินยายหุ่นขายห่อหมกที่หน้าอู่แกพูดกับลูกหลานบ่อยๆ ว่า

"ถ้าข้าตายล่ะก็อย่าทิ้งข้าไว้ที่วัดคนเดียวนะ ข้ากลัวผีว่ะ!"

ขนาดคิดว่าตัวเองตายไปแล้ว กลายเป็นผีไปแล้ว แกยังไม่วายกลัวผี...พวกหนุ่มๆ ปากคะนองบางคน ก็หัวเราะขบขันบางคนยังพูดจาล้อเลียนแกเล่นอย่างสนุกปาก

"ยายไม่คิดมั่งเหรอ ว่าผีมันเห็นยายมันก็กลัวตัวสั่นเหมือนกันนะยาย"

ยายหุ่นด่าโขมงโฉงเฉง พวกเด็กๆ หัวเราะชอบใจ แต่ตกเย็นหรือโพล้เพล้หน่อยก็รีบแยกย้ายกันกลับบ้านแล้วล่ะครับ ทางเข้าหมู่บ้านก็ขรุขระพอๆ กับทางเข้าอู่รถเมล์ แถมยังเปล่าเปลี่ยวกว่าด้วยซ้ำเพราะไม่ได้ติดถนนใหญ่ แสงไฟฟ้าอย่าไปฝันให้ยาก สองข้างทางมีแต่ต้นไม้ ใหญ่ๆ กับพวกไม้ล้มลุก ป่าละเมาะกับพงหญ้ารกครึ้ม...จะมีอะไรซุกซ่อนจ้องมองเราอยู่ก็ไม่รู้

มีเนินโล่งๆ ใต้ต้นมะขามเฒ่า เพราะเนินเจ้ากรรมนี่เองที่ทำให้ชาวบ้านลือกันเป็นตุเป็นตะว่าเป็นหลุมศพ เป็นป่าช้าเก่า...ยืนยันว่าผีดุบรรลัยจริง ๆ เอ้า!

คนที่เดินผ่านเนินมรณะนั่นตอนกลางคืน หรือแม้แต่ตอนเย็นๆ ที่แดดผีตากผ้าอ้อมเหลืองอร่ามก่อนจะจางหาย เคยเห็นภาพชวนขนหัวลุกมาเล่าตรงกันทุกคนเลยครับ

นั่นคือ หันไปมองที่เนินนั่นโดยไม่รู้ตัว เหมือนกับมีอะไรดลใจ หรือดึงดูดสายตา...เห็นชายคนหนึ่ง นั่งยองๆ สูบยาแดงวาบๆ ท่อนบนไม่สวมเสื้อเห็นชัดว่าผอมกงโก้ ส่วนท่อนล่างจะเป็นกางเกงขาก๊วยหรือโสร่งก็เห็นไม่ชัด แต่จะนั่งหันข้างให้....

ดูโดดเด่นตัดกับทิวไม้ทิศตะวันตกที่ฟ้าแดงฉาน เพราะดวงอาทิตย์เพิ่งจะลับทิวไม้ไปหยกๆ

...และแล้วใบหน้าที่เป็นรูปเงาดำๆ ก็ค่อยๆ หันมามองอย่างเชื่องช้า แสยะยิ้มเห็นฟันขาวแต่ตาแดงจ้าปาน แสงไฟ เสียงหัวเราะแหบโหยดังแว่วมากระทบหูบัดดล

วิ่งครับวิ่ง! วิ่งกันไม่คิดชีวิต วิ่งล้มลุกคลุกคลาน วิ่งชนิดกระเซอะกระเซิง จนแทบจะขาดใจไปตามๆกัน!

วันหนึ่งผมก็เจอเข้ากับตัวเองอย่างจังๆ

วันนั้นผมไปที่อู่รถกับเพื่อนสองคน คือไอ้ห้อยหลานยายหุ่น กับไอ้เอิ๊กลูกป้าอบ แกขายข้าวโพดต้มกับถั่วลิสงต้มที่นั่นเหมือนกัน ป้าอบใจดีให้ข้าวโพดกับถั่วต้มผมกินบ่อยๆ ยายหุ่นก็ให้ไอ้ห้อยเอาห่อหมกไปให้พวกคนขับ กับช่างเครื่องแกล้มเหล้าเช่นกัน

หน้าหนาวค่ำเร็ว เราเจอะเพื่อนรุ่นเดียวอยู่แถวนั้น อีกสองคน เลยเล่นหยอดหลุมเอาหนังยางกัน...ผมกินหนังยางจนแทบล้นข้อมือ หันไปเห็นแดดผีตากผ้าอ้อมเหลืองอร่ามอยู่ในม่านฝุ่นสีแดงก็ใจหาย

"กลับบ้านเถอะโว้ย เดี๋ยวโดนผีหลอก!" ผมร้องแล้วออกวิ่งแจ้น เพื่อนทั้งคู่วิ่งตึ๊ก ๆ ตามมาด้วย ส่วนเพื่อนอีกสองคนมันอยู่คนละทางกับเรา

...มารู้ตัวอีกทีก็กำลังหยุดหอบแฮกๆ ตรงเนินอาถรรพณ์นั่นพอดิบพอดี!

หันขวับไปมองฟ้าสีแดงเข้มจนเกือบดำ แต่ก็เห็นผู้ชายนั่งกอดเข่า ผมยาวปลิวกระเซิงตามแรงลมกำลังสูบยา แดงวาบๆ เข้าทันใด

"เฮ้ย..." ใครคนหนึ่งหลุดปากออกมา ขณะที่อากาศเย็นยะเยือกจนขนลุกซ่า ผมอยากจะหันหน้ากลับ อยากจะออกวิ่งต่อไปให้ถึงบ้านเร็วที่สุด แต่แข้งขาแข็งทื่อจนขยับไม่ได้เลย นอกจากอ้าปากค้าง ตาลืมโพลงเหมือนโดนสะกดจิต

ไอ้เอิ๊กกับไอ้ห้อยก็คงไม่แตกต่างกัน!

ใบหน้าที่แทบจะกลืนหายไปกับความมืดค่อยๆ หันมามองอย่างเชื่องช้า แต่แน่นอนเหนือสิ่งอื่นใด! ผมอยากจะร้องไห้ คิดว่าหัวใจกำลังจะหยุดเต้น...จู่ๆ ร่างนั้นก็ลุกพรวดพราดขึ้นยืนตระหง่านทันใด...

เสียงใครร้องจ้าดังแสบแก้วหู พร้อมๆ กับที่เรากระโจนอ้าวไม่คิดชีวิต

เสียงหัวเราะดังไล่หลังมา เราวิ่งลมออกหูรวดเดียวถึงบ้าน...ถึงจะไม่มีอะไรยืนยันว่าที่นั่นเป็นหลุมศพ หรือป่าช้าเก่ามาก่อน แต่ภาพนั้นยังติดตามาถึงทุกวันนี้เลยครับ!

ขอบคุณ แหล่งที่มาหนังสือพิมพ์

ผี เรื่องผี เรื่องเล่าสยองขวัญ ศาลผีสิง

เตย เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากศาลอสุรกาย

ดิฉันเคยฟังพวกผู้เฒ่าผู้แก่เล่าเรื่องผี คุยกันเรื่องภูตผีปีศาจมาตั้งแต่ยังเด็ก ๆ แล้วค่ะ นอกจากความน่ากลัวแล้วยังได้ความรู้ว่า ภูตผีปีศาจก็เหมือนผู้คนทั่วไปอยู่อย่างหนึ่ง...คือมีทั้งดีและชั่วปะปนกัน

โดยเฉพาะพวกสัมภเวสี - ผีเร่ร่อน หรือวิญญาณที่แสวงแดนเกิด นอกจากจะหิวโหย ร้องขอส่วนบุญจากญาติมิตรบ้าง จากผู้อื่นบ้าง บางครั้งก็ถือโอกาสสวมรอยแทนผู้อื่นอย่างหน้าตาเฉย

ยกตัวอย่างง่าย ๆ ก็คือพระภูมิเจ้าที่นั่นแหละค่ะ!

เมื่อมีการตั้งศาลพระภูมิประจำบ้าน หรือบริษัทห้างร้านก็ตาม จะมีผู้รู้ทางไสยศาสตร์มาทำพิธีตั้งศาล เซ่นสรวงด้วยเครื่องบัตรพลี เพื่อให้วิญญาณชั้นสูงเช่น เจ้าที่เจ้าทาง เทพารักษ์ มาสิงสู่ แต่บังเอิญมีวิญญาณร้ายผ่านมาพอดี ถือโอกาสสวมรอยเข้าไปกินเครื่องเซ่นจนอิ่มหนำสำราญ แล้วยึดเอาศาลนั้นเป็นที่อยู่อย่างหน้าตาเฉย

วิญญาณชั้นดีหมดโอกาส เพราะมาถึงต่อเมื่อสายเกินไปเสียแล้ว!

เมื่อภูตพเนจรเข้าสิงสู่ศาลเรียบร้อย ในระยะ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร เนื่องจากมีที่อยู่ที่กินแสนผาสุก มีคนนำเครื่องเซ่นมาให้กินทุกวัน ไม่ต้องร่อนเร่หากินตามแบบ "ผีไม่มีศาล" เหมือนครั้งก่อนอีกต่อไป

แต่คนชั่วหรือวิญญาณร้ายมีอุปนิสัยคล้ายๆ กัน คือชอบกลั่นแกล้ง รังแกให้ผู้อื่นเดือดร้อน แม้ว่าผู้นั้นจะมีบุญคุณ ให้ที่อยู่ที่กินก็ไม่ละเว้น

ท่านผู้ใหญ่ที่เล่าเรื่องนี้ให้ข้อสังเกตว่า ถ้าบ้านเรือนใดมีศาลพระภูมิเจ้าที่กระทำพิธีเซ่นสรวงอย่างถูกต้อง ผู้คนในบ้านเรือนนั้น ๆ มีแต่ความสุขความเจริญ แสดงว่ามีวิญญาณระดับดีมาสิงสู่ คอยคุ้มครอง ปกป้องดูแลบ้านช่องและผู้คนให้อยู่เย็นเป็นสุข ปราศจากทุกข์โศกโรคภัย รวมทั้งไม่มีการทะเลาะวิวาทกันด้วย...

ส่วนจะมากน้อยก็ถือว่าตามอัตภาพ

ตรงกันข้าม ถ้าบ้านเรือนใดตั้งศาลพระภูมิแล้ว มิช้ามินานก็เกิดความเดือดร้อน วุ่นวาย มีปัญหาต่างๆ นานาน่าปวดหัวเกิดขึ้นไม่หยุดหย่อน ขนาดถึงกับคนในบ้านบาดเจ็บก็มี ล้มตายก็มี...ขอให้ตั้งข้อสังเกตที่ศาลพระภูมิก่อนอื่น!

แม้ว่าโชคเคราะห์ย่อมเกิดกับมนุษย์โดยกะทันหัน ไม่มีใครบอกได้ว่าเมื่อใดจะมีโชคดี - เคราะห์ร้าย อุบัติขึ้นก็ตาม แต่ถ้าเกิดขึ้นอย่างร้ายแรงและติดๆ กันแล้วก็ให้สันนิษฐานว่า อาจจะเนื่องมาจากศาลพระภูมิก็ได้...

นั่นคือ โดนวิญญาณร้ายที่สิงสู่อยู่เนรคุณ หรือไม่ก็กลั่นแกล้งเอาด้วยความเกเรเกตุงตามนิสัยเดิม!

เมื่อแรกดิฉันก็ยอมรับว่าเชื่อครึ่ง - ไม่เชื่อครึ่ง จนกระทั่งได้ประสบกับเรื่องขนหัวลุกด้วยตัวเองที่ชุมชนแห่งหนึ่งในย่านสะพาน ควายเมื่อสิบกว่าปีมาแล้ว

บ้านเรือนละแวกนั้นค่อนข้างแออัดยัดเยียด ผู้คนส่วนใหญ่มีอาชีพค้าขาย ทั้งในตลาดบ้าง หาบเร่แผง ลอยบ้าง รวมทั้งช่างไม้ช่างปูนไปถึงเอาแรงงานเข้าแลก ส่วนหนึ่งเป็นพนักงานบริษัทและรัฐวิสาหกิจ

มีครอบครัวใหม่มาเช่าบ้านอยู่ชื่อพี่สันต์กับพี่เพ็ญ มีลูกชายหญิงสองคนกำลังเข้าวัยรุ่นทั้งคู่...เรื่อง แปลกๆ เกิดขึ้นตั้งแต่เขาตั้งศาลพระภูมิแล้วค่ะ

ไม่ใช่ว่าศาลเก่าไม่มีนะคะ แต่ผุพังจนล้มเค้เก้ไปนานแล้ว คนเช่ารายก่อนๆ ก็ไม่ได้สนใจอะไร แต่รายนี้ไปซื้อศาลสวยๆ คล้ายโบสถ์จำลองจากสวนจตุจักรมาพร้อมกับคนทำพิธีตั้งศาล เขามีหัวหมู เหล้า มะพร้าวอ่อน กล้วยหอม ส้ม และขนมนมเนยกับดอกไม้สวยๆ จุดธูปเทียนเซ่นไหว้ มีเด็กๆ มุงดูหลายคน

จู่ๆ ฟ้าก็มืดครึ้มรวดเร็ว ลมพัดอู้ๆ ฟังเหมือนเสียงใครกำลังหัวเราะอย่างเบิกบานใจ จนหลายๆ คนขนลุกขนพองไปตามๆ กัน!

หลังจากนั้นไม่นาน ครอบครัวนี้ก็ประสบแต่ความเดือดเนื้อร้อนใจสารพัด

ตั้งแต่มีเรื่องทะเลาะเบาะแว้งกันตลอด ลูกชายติดยา ลูกสาวกลายเป็นเด็กใจแตก ลงท้ายด้วยการโดนข่มขืนฆ่า พ่อหันเข้าหาเหล้า เมาหัวราน้ำจนถูกไล่ออกจากงาน แม่ก็บ่นบ้านัยน์ตาขุ่นขวางเหมือนคนวิกลจริต

วันสุดท้าย เกิดไฟไหม้บ้านตอนดึก....

เพลิงนรกลุกลามจนบ้านช่องแถวนั้นวอดวายไปหลายหลัง บ้านต้นเพลิงตายหมดค่ะ...ตอนที่ขนของหนีไฟอลหม่าน เราได้ยินเสียงหัวเราะเย้ยหยันมาเข้าหู...ดังมาจากศาลพระภูมิที่มีไฟลุกท่วม น่ะซีคะ!

ขอบคุณ แหล่งที่มาหนังสือพิมพ์

ผี เรื่องผี เรื่องเล่าสยองขวัญ โรงแรมผีสิง

ไชยา เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากโรงแรมผีสิง

ผมเป็นคนเชียงรายโดยกำเนิด สมัยหนุ่มใช้ชีวิตร่อนเร่ไปตามอำเภอใจ จนมาปักหลักทำงานในอู่ซ่อมรถยนต์ที่นครสวรรค์ มีเวลาว่างก็ขึ้นรถไฟล่องมากรุงเทพฯ บ้าง ขึ้นเหนือไปจนถึงเชียงใหม่บ้าง แล้วต่อรถยนต์ไปเชียงรายอีกที

เพราะนิสัยชอบขึ้นรถไฟจับกระดูก นั่งฟังเสียงล้อบดรางกระหึ่มพลางชมวิวจากทางหน้าต่างแล้วมีความสุขอย่างบอกไม่ถูก

ถ้ามีเวลาน้อยก็จะเดินทางไปใกล้ ๆ เช่นที่พิจิตรหรือพิษณุโลก บางครั้งหน้าเทศกาลผู้คนแทบจะ ล้นรถ ผมต้องยืนเกาะบันไดบ้าง ขึ้นหลังคาบ้าง...ชีวิตชายโสดไม่ต้องห่วงหน้าพะวงหลัง ทำให้ใช้ชีวิตโลดโผนได้เต็มที่ แสวงหาความตื่นเต้นได้สุดๆ

จนกระทั่งไปเจอะเจอเรื่องสุดหลอนเข้าที่เมืองสองแควเต็มรักเต็มใคร่!

ช่วงนั้นอยู่ในฤดูหนาวพอดี อากาศเย็นสบายไม่เหนอะหนะเนื้อตัวแบบฤดูร้อน เหมาะเจาะกับการท่องเที่ยว ผมจับรถกรุงเทพฯ-พิษณุโลกไปถึงปลายทางในตอนเย็น เข้าพักโรงแรมเล็ก ๆ หลังสถานีรถไฟนั่นเอง

ใจจริงอยากนั่งรถไฟเล่นมากกว่า พอเปิดห้องที่ชั้นสองอาบน้ำอาบท่าเสร็จก็ลงมาเดินเตร็ดเตร่แถวๆ นั้นแหละ ตกค่ำก็กลับไปแวะชั้นล่างของโรงแรมที่มีสุราอาหารพร้อมสรรพ...สั่งเหล้าโซดา กับแกล้ม 2-3 อย่างมานั่งละเลียด พลางมองดูความเคลื่อนไหวที่แปลกหูแปลกตาไปด้วย

แต่ที่สะดุดตาพวกผู้ชาย ไม่ว่าหนุ่มน้อยหรือหนุ่มใหญ่ ก็คือผีเสื้อราตรีเริ่มโบยบินออกล่าเหยื่อหนาตาขึ้นทุกที!

ไม่ใช่ว่าผมไม่เคยสัมผัสเสียที่ไหนสมัยนั้น 20-30 บาทก็ถือว่าใช้การได้แล้วครับ แต่งหน้า ทาปากฉูดฉาดอยู่ในแสงไฟอกพุ่ง ตะโพกผึ่งผาย นัยน์ตาหยาดเยิ้มยั่วยวนก็มักจะทำให้ผู้ชายที่กำลังมึนๆ มองเห็นพวกเธอเป็นนางฟ้าจำแลงได้ง่ายดาย

หน้าโรงแรมก็มีเดินสูบบุหรี่เตร่ไปมาบางคนก็นั่ง ไขว่ห้างโชว์ขาอ่อนอยู่ที่โต๊ะใกล้ๆ บางคนก็โฉบเข้ามาขอบุหรี่ ชักชวนขึ้นไปบนห้อง ครั้นผมส่ายหน้าเธอก็หลิ่วตายั่วเย้า...นอนคนเดียวไม่กลัวผีเหรอพี่?!

ผมส่ายหน้ายิ้มๆ ไม่อยากคุยว่า...เกิดมายังไม่เจอะผีซักที!

ตอนดื่มดวดสุราเพลินๆ นี่ทำไมเวลาถึงผ่านไปเร็วนักก็ไม่รู้...แผล็บเดียวสามทุ่มกว่าแล้ว ผมสั่งเส้นใหญ่ผัดซีอิ๊วมากินให้หนักท้อง ตั้งใจว่ารุ่งเช้าจะไปไหว้หลวงพ่อพระพุทธชินราช ที่วัดใหญ่เป็นสิริมงคล ต่อจากนั้นจะเดินเที่ยวชมเมืองก่อนจับรถไฟกลับบ้าน

ราวสี่ทุ่มผมจ่ายเงินแล้วเดินขึ้นบันไดช้าๆ ผ่านเคาน์เตอร์แล้วเลี้ยวขวาไปตามทางที่เปิดไฟไว้สลัวๆ บรรยากาศเยือกเย็นน่าวังเวงใจชอบกล ผมไม่อยากคิดอะไรมาก ควักกุญแจห้องมาเตรียมพร้อมที่จะไขประตูเข้าไปนอน

เสียงฝีเท้ากึงๆ ดังขึ้นข้างหลัง ผมหันขวับไปมองโดยไม่ได้ตั้งใจ แต่แล้วก็ต้องชะงักกึกเมื่อไม่เห็นใครเลย...เอ๊ะ! ยังไง? จะว่าหูแว่วก็ได้ยินชัดเจนนี่นา

หรือพิษเหล้าแบนใหญ่จะทำให้หูฝาดเฝื่อนไปเอง?

แต่เมื่อหันกลับจะเดินต่อไปก็ต้องชะงักอีกครั้ง...ขนลุกซ่าไปทั้งตัว!

นั่นคือ เด็กผู้ชายราว 10 ขวบกำลังจูงหมาดำตัวใหญ่เดินนำหน้าอยู่ไม่ไกลนัก ทั้ง ๆ ที่เมื่อพริบตาก่อนทางเดินหน้าห้องพักยังว่างเปล่าอยู่แท้ ๆ พอดีเด็ก เจ้ากรรมนั่นค่อยๆ หันหน้าเชื่องช้ามายิ้มให้...

คุณพระคุณเจ้าทรงโปรดด้วยเถิด! รอยยิ้มคล้ายแสยะดูร้ายกาจ โฉดชั่วน่าขนลุกขนพอง พร้อมๆ กับเดินเหมือนลอยห่างออกไปทุกที

ผมเผ่นอ้าวเข้าไปไขกุญแจมือไม้สั่น ไขผิดไขถูก พิษเหล้าเหือดหายไปหมดสิ้น ก็พอดีมีเสียงกึงๆ อย่างตอนแรกดังขึ้นอีกจากหัวบันได ว่าจะไม่หันไปมอง ก็อดไม่ได้

นรกเป็นพยาน! เด็กอุบาทว์นั่นกำลังจูงหมาดำตัวมหึมา นัยน์ตาแดงจ้าราวเปลวไฟจ้องเขม็ง...ได้ยินเสียงหัวเราะแหบโหยสะท้านสะเทือน เข้าไปถึงหัวอกหัวใจ...ผมโถมเข้าผลักประตูโครม ใส่กลอนเสร็จก็เผ่นขึ้นเตียงอกสั่นขวัญหายแทบจะช็อกตายคาที่

"นอนคนเดียวไม่กลัวผีเหรอพี่?"

เสียงของโสเภณีนางนั้นดังแว่วขึ้นในความทรงจำ...อยากจะเก็บของเผ่นออกจาก ห้องก็ไม่กล้า กลัวจะเจอเด็กอุบาทว์กับหมานรกยืนรออยู่หน้าประตูน่ะซีครับ

รุ่งขึ้นไปกราบหลวงพ่อใหญ่ขอพรพระให้ช่วยคุ้มครองจากสิ่งชั่วร้ายต่างๆ นานา แล้วบึ่งกลับนคร สวรรค์ทันที! บรื๋อออ...

ขอบคุณ แหล่งที่มาหนังสือพิมพ์

วันพฤหัสบดีที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

ผี เรื่องผี เรื่องเล่าสยองขวัญ เปลอาถรรพณ์

ชมนาด เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากเปลอาถรรพณ์

เอ่ยถึงคลองบางระมาด ย่านตลิ่งชันเมื่อ 20-30 ปีก่อน แทบจะไม่มีใครรู้จักก็ว่าได้แต่มาถึงสมัยนี้บ้านเมืองเจริญขึ้นผิดตา คลองลัดมะยมที่อยู่ใกล้ ๆ กันก็ถึงกับติดตลาดนัดเสาร์อาทิตย์ มีของกินของใช้ ไม้ประดับ รวมทั้งผลหมากรากไม้สดๆ จากสวนมาวางขายในสนนราคาย่อมเยา

ลูกค้าส่วนใหญ่ขับรถขับรามาจากต่างถิ่นกันทั้งนั้นแหละค่ะ

พวกผู้ใหญ่ท่านเล่าว่าชุมชนใหญ่อย่างวัดจำปา ตลิ่งชันนี่มีมาตั้งแต่สมัยอยุธยาแล้ว ถือว่าเป็นชุมชนใหญ่ จากวัดโพธิ์เดินไปทุ่งนากลางทุ่งจะเห็นเจดีย์ ศรีประวัติ จังหวัดนนทบุรี หรือถ้าขึ้น

ต้นตาลก็จะมองเห็นภูเขาทองและสนามหลวงได้ชัดเจนทีเดียว

สมัยเด็กๆ ครอบครัวดิฉันก็อยู่ข้างคลองบางระมาดนั่นเอง ไหนจะใช้อาบกิน ทำสวน และอาศัยในการล่องเรือเดินทางเพราะไม่มีถนนตัดผ่านละลานตาเช่น ทุกวันนี้

หน้าน้ำหลากพวกเด็กๆ จะสนุกสนานกับการเล่นน้ำจนตัวดำเป็นเหนี่ยง ดำผุดดำว่าย เล่นไล่จับ หมาเน่า ลอยน้ำ แข่งกันดำอึดดำทน หรือไม่ก็ข้ามฟากไปถึงตลิ่งโน้นที่มีแต่พงอ้อกอหญ้ารกทึบ ที่ใต้ต้นหว้า ริมตลิ่งมีเปลญวนทำด้วยผ้าขาวม้าเก่าๆ

ตอนบ่ายถึงเย็นมีเจ้าของคือน้าชื่นกับลูกชายวัย 2-3 ขวบชื่อน้องชัยมานั่งๆ นอนๆ ไกวเปลเล่นเป็นประจำ ทั้งรับลมเย็นๆ กับดูพวกพวกเด็กๆ เล่นน้ำกันอย่างมีความสุข

น้องชัยเคยดิ้นรนจะไปดูพวกเราเล่นน้ำ ส่งเสียงหัวเราะร่าเริง ดังก้องไปในอากาศ...แต่แม่จะคว้าตัวขึ้นมาบนเปลจนได้

น้าชื่นใช้เชือกผูกโคนต้นไม้แล้วเหนี่ยวให้เปลแกว่งไกวตามใจชอบ พวกเด็กๆ อยากจะไปขอเล่นมั่งก็ไม่ได้ เพราะน้าชื่นกับลูกชายไม่ยอมลงจากเปลจนกว่าจะกลับ

เย็นหนึ่งก็เกิดเหตุร้ายขึ้น!

ขณะที่พวกเราเล่นแข่งว่ายน้ำข้ามฟากกัน เสียงตูม! ก็ดังมาเข้าหูแต่ไม่น่าสนใจเท่ากับเสียงร้องกรี๊ดสุดเสียง...พอหันขวับไปมอง ก็เห็นน้าชื่นกระโดดน้ำลงมาเรียกหาลูกชายที่กำลังผลุบๆ โผล่ๆ เล่นเอาพวกเราใจหายไปตามๆ กัน ร้องแต่ว่า...น้องชัยตกน้ำ ๆ ๆ

ร่างเล็กๆ นั่นทะลึ่งพรวดขึ้นมาหูตาเหลือกเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะจมหายไปต่อหน้าตาของทุกคนที่จ้องมองตกตะลึงสอง

พวกเรา 3-4 คนรีบว่ายเข้าไปหา น้าชื่นดำน้ำลงไปแล้วพลอยหายไปอีกคน ดิฉันใจเต้นตูมๆ ไม่รู้จะช่วยอะไรได้ ขณะนั้นเอง ชาวบ้านกลุ่มหนึ่งได้ยินเสียงร้องก็วิ่งเข้ามาดู บ้างรีบกระโดดน้ำลงมาช่วย...แต่ทุกสิ่ง ทุกอย่างก็สายเกินไป!

ต่างคนต่างงมหาสองแม่ลูกอยู่เกือบครึ่งชั่วโมง จึงได้พบศพของน้าชื่นกับน้องชัยจมอยู่ก้นคลอง...

น้าเอิบผู้สูญเสียลูกและเมียไปพร้อมๆ กัน บอกกับเพื่อนบ้านด้วยเสียงสะอื้นว่าไม่อาจ จะทนอยู่ที่นั่นได้อีกต่อไป...หลังจากทำศพลูกเมียแล้วก็อพยพไปอยู่ที่อื่น

วิญญาณอันเจ็บปวดและทนทุกข์ทรมานของสองแม่ลูกก็กลับมา!

แม้ว่าจะไม่มีเจ้าของเปลญวนอีกต่อไป แต่ไม่มีใครกล้าไปนั่งๆ นอนๆ เล่นที่เปลนั้นเลย ได้แต่เมียงมองอย่างหวาดๆ บางครั้งก็ต้องสะดุ้งโหยง เมื่อเห็นเปลว่างเปล่านั้นแกว่งไกวไปมา ช้าๆ ทั้งที่ไม่มีสายลมพัดมาเลยแม้แต่น้อยนิด

หนักเข้าก็ไม่มีใครกล้าเฉียดกรายไปใกล้เปลนั่นเลย เวลาจะลงน้ำก็กระเถิบห่างออกไป...มีเสียงเล่าลือว่ามีคนเห็นน้าชื่นกับน้อง ชัยนั่งตัวแข็งทื่ออยู่ในเปล เล่นเอาต้องวิ่งเตลิดเปิดเปิงไม่คิดชีวิตไปตามๆ กัน

จนกระทั่งวันหนึ่ง...วันที่จะติดตาตรึงใจพวกเราไปจนชั่วชีวิตสลาย!

วันนั้นราวห้าโมงเย็น เราลงไปเล่นน้ำกันอย่างสนุกสนานประสาเด็ก ลืมเรื่องผีๆ สางๆ ไปชั่วขณะ แต่เมื่อเวลาผ่านไปไม่นาน แสงแดดจางหายแต่แสงสว่างยังหลงเหลืออยู่ ใครบางคนกำลังแหงนหน้ามองขึ้นไปบนตลิ่งอันเป็นที่ตั้งของเปลญวน

สายตาทุกคู่มองไปเป็นตาเดียวกัน...คุณพระช่วย! น้าชื่นกับลูกชายกำลังนั่งอยู่ในเปลญวนที่แกว่งไกวไปมาช้าๆ ราวกับยังมีชีวิตอยู่

เสียงแผดร้องแสบแก้วหู พวกเราแตกฮือไปคนละทางสองทาง ต่างตะเกียกตะกายป่ายปีนขึ้นฝั่ง ครั้นหันไปเห็นภาพอุบาทว์นั้นก็ร้องวี้ดว้าย หล่นตูมลงน้ำไปอีก...กว่าจะขึ้นได้หมดก็ทุลักทุเลเต็มที บางคนร้องไห้โฮๆ เหมือนคนสติแตกไปแล้ว

ตั้งแต่นั้นมา เราไม่กล้าไปเล่นน้ำในคลองอีกเลย จนกระทั่งเปลผ้าขาวม้านั้นเปื่อยขาดไปตามกาลเวลา...

ชาวบ้านเชื่อกันว่าวิญญาณของสองแม่ลูกก็คงจะพลอยไปผุดไปเกิดแล้วละค่ะ!

ขอบคุณ แหล่งที่มาหนังสือพิมพ์

ผี เรื่องผี เรื่องเล่าสยองขวัญ วิญญาณร้องไห้





พิมพ์มาดา เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกเตือนใจทาสสุรา

น้องเพียวเป็นผู้หญิงที่ดิฉันรู้จัก ถึงจะไม่สนิทสนมแต่ก็ทักทายกันทุกวัน เธออยู่ถัดจากบ้านดิฉันที่ดินแดงไปแค่สองหลัง ตอนเช้าตรู่เวลาออกมาใส่บาตร ก็จะแลเห็นเธอซ้อนรถจักรยานของพี่สาวไปโรงเรียนด้วยกัน เมื่อเห็นดิฉันเธอก็ยิ้ม โบกมือหย็อยๆ

ดิฉันเอ็นดูเธอจริงๆ เห็นกันมาตั้งแต่อนุบาล ตอนนี้จวนจบป.6 เข้า ม.1 แล้ว ซึ่งก็คงไม่แคล้วโรงเรียนใกล้บ้านนี่ล่ะค่ะ ได้ข่าวว่าเรียนเก่ง ชอบคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ด้วย นับว่าเป็นความหวังของพ่อแม่เชียวละ

ครอบครัวเธอหาเช้ากินค่ำ แม่ขายข้าวแกง พ่อเป็นข้าราชการชั้นผู้น้อย พี่สาววัยรุ่นนั้นถึงจะเรียนไม่เก่งแต่ก็เป็นเด็กดี ช่วยแม่ตัวเป็นเกลียว

ท่าทางครอบครัวนี้คงจะไปได้สวย แต่โชคชะตาก็โหดเหี้ยมกับพวกเขาเหลือเกิน นึกแล้วสงสารจับใจ

เช้าวันหนึ่งเมื่อปีที่แล้ว ย่างเข้าหน้าหนาวแบบนี้ล่ะค่ะ ตอนนั้นดิฉันใส่บาตรเสร็จพอดี ฟ้าสางแล้วล่ะ พระท่านกำลังเดินกลับวัด เกือบเจ็ดโมงเช้าแล้ว พี่พรกับน้องเพียวเพิ่งขี่จักรยานผ่านหน้าไป เรายิ้มทักทายและโบกมือให้กันเหมือนเช่นทุกวัน…

ทันใดนั้น ดิฉันได้ยินเสียงมอเตอร์ไซค์บึ้นๆ มาแต่ไกล และแล้วก็…ปัง! ดังสนั่น

ด้วยความสังหรณ์ใจ ดิฉันรีบวางถาด แล้ววิ่งออกไปชะเง้อมอง…นั่นไง!

ชาวบ้าน 2-3 คนวิ่งผ่าน รวมทั้งคนขับตุ๊กตุ๊ก ที่มารับแม่ของน้องเพียวขนของไปขายตลาด เสียงแม่น้องเพียวกรีดร้องไม่เป็นภาษา คนเป็นพ่อหน้าซีดเผือด ตาเบิกโพลง ทั้งคู่วิ่งไปพร้อมๆ กับชาวบ้าน

ตรงโค้งแรกห่างออกไปราว 20 เมตรนั่น…จักรยานล้มคว่ำ มีมอเตอร์ไซค์ล้มกระเด็นไปคนละทาง ร่างของเด็กสองคนกองอยู่กับพื้นเหมือนตุ๊กตาผ้าที่ใครขว้างทิ้ง

ดิฉันไปถึงพอดีกับที่น้องพรยันตัวลุกขึ้นอย่างมึนงง แต่น้องเพียวที่กระเด็นห่างออกไปซิคะ เลือดกำลังไหลจากศีรษะเป็นลิ่มๆ อย่างน่ากลัว มันแดงฉานนองพื้นถนน ใครบางคนจับเธอพลิกหงาย…ดิฉันเห็นใบหน้าที่เคยน่ารักกลับถลอกปอกเปิก เปื้อนฝุ่น สีหน้านั้นเฉยเมยดวงตาลืมโพลงแต่ไร้จุดหมาย ไร้ชีวิต สงบนิ่งโดยไม่มีวี่แววตระหนกตกใจ…

เธอตายสนิทในชุดนักเรียนประถมปลาย สะพายเป้อยู่ข้างหลัง!

งานศพน้องเพียวเศร้ามาก แม่เป็นลมแล้วเป็นลมอีก ลูกสาวเธอเสียชีวิตเพราะคนเมาเหล้าที่บึ่งมอเตอร์ไซค์โดยใช้ซอยเราเป็นทางลัด

ดิฉันยังจำได้ถึงค่ำคืนที่หนาวเยือก ลมพัดกรูเกรียว ใบไม้แห้งระไปกับพื้นเสียงกรอบกราว…ซอยเราเหงาจับใจ ไฟถนนที่สว่างจ้าไม่ได้ช่วยให้รู้สึกอบอุ่นเลย ผู้คนหลบเข้าบ้านเงียบกริบตั้งแต่หัวค่ำ เด็กๆ ไม่ขี่จักรยานไปซื้อของกินเหมือนปกติ…

พวกเขากลัวผีเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ ค่ะ

ใครๆ ก็ได้ยินเสียงร้องไห้ฮือๆ ในยามดึกสงัดกัน ทั้งนั้น!

แม้แต่ดิฉันเองก็ยอมรับว่ากลัวมาก ไม่กล้าแม้แต่จะเดินออกจากตัวบ้านไปยังสนามหญ้าเช่นเคย ได้แต่อยู่ในบ้านกับลูกๆ เปิดทีวีเสียงดังๆ และเปิดไฟรอบๆ ด้าน เจ้าหมาตัวเล็กก็เห่าบ๊อกๆ แล้วครางโหยหวน มันเห็นสิ่งที่เราไม่เห็นแน่ๆ

ทุกคนพูดกันว่า น้องเพียวมาแต่เข้าบ้านไม่ได้ มีแต่พ่อกับแม่ของเธอเท่านั้นที่ออกมาชะเง้อหาลูกที่เหลือแต่วิญญาณ และพยายามพาลูกเข้าบ้านแต่ไม่สำเร็จ

น้องเพียวร้องไห้ให้ชาวบ้านได้ยินทุกคืน!!

ในที่สุดซอยเราก็ร่วมใจกันทำบุญครั้งใหญ่ บอกน้องเพียวให้รู้ว่าเธอตายแล้วไปสู่สุคติเถิด ไม่ต้องห่วงอะไรทั้งนั้น

หลังจากคืนนั้น น้องเพียวก็เงียบเสียงไป แต่อีกนานเชียวล่ะกว่าทุกคนจะกล้าออกจากบ้านยามที่ค่ำมืด…

ครอบครัวของน้องเพียงนั้นย้ายไปอยู่ที่อื่นแล้วค่ะ บ้านเดิมก็มีคนมาอยู่ใหม่แล้ว ทิ้งไว้แต่ตำนานและเรื่องเล่าขานที่แสนเศร้า เด็กดีคนหนึ่งซึ่งเป็นความหวังของพ่อแม่ ต้องจบชีวิตด้วยน้ำมือของคนขี้เมา

ใครชอบดื่มเหล้าดื่มเบียร์ก็เชิญตามสบายนะคะ ไม่มีใครห้ามหวง ขอร้องแต่อย่าขับรถเท่านั้น เพราะอุบัติเหตุเกิดจากความมึนเมามากมายเหลือเกิน…ถ้าเดือดร้อนเฉพาะตัวเอง ก็แล้วไป แต่ส่วนใหญ่พลอยทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน ได้รับบาดเจ็บจนถึงเสียชีวิต ส่วนหนึ่งกลายเป็นคนพิกลพิการ หมดอนาคตไปชั่วชีวิต

“ดื่มไม่ขับ” เพื่อตัวของคุณเองและคนที่ใช้รถใช้ถนนร่วมกับคุณด้วยนะ

ขอบคุณ แหล่งที่มาหนังสือพิมพ์

วันอังคารที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

ผี เรื่องผี เรื่องเล่าสยองขวัญ ควายธนูเมืองกำแพงฯ

แพรทอง เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากอิทธิฤทธิ์ของควายธนูเมืองกำแพงฯ

เมื่อเอ่ยถึงเครื่องรางของขลังชนิดหนึ่ง ที่คนไทยเราเชื่อถือกันมาตั้งแต่สมัยโบราณ นั่นคือ "ควายธนู" เชื่อว่าบางท่านคงจะเคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อน แต่อีกหลายๆ ท่านอาจจะงุนงง ไม่ทราบว่าเป็นอะไรกัน?

ถ้ากล่าวรวมๆ ถึงเครื่องรางแล้วควายธนูถือเป็นของขลังชนิดหนึ่ง พอๆ กับหุ่นพยนต์หรือกุมารทองนั่นแหละค่ะ ประโยชน์คือใช้ป้องกันตัวเองและครอบครัว หรือไม่ก็ใช้ทำร้ายศัตรู ส่วนจะมากน้อยเพียงไรก็ขึ้นอยู่กับความต้องการของเรา

สมัยเด็กดิฉันอยู่จังหวัดกำแพงเพชร หรือ "เมือง ชากังราว"

เป็นบ้านเมืองเก่าแก่มากๆ รุ่งเรืองมาตั้งแต่สมัยทวารวดี เป็นที่ตั้งของเมืองโบราณหลายเมือง เช่น ชากังราว นครชุม ไตรตรึงษ์และเมืองเทพนคร เป็นต้น

กำแพงเพชรเป็นเมืองหน้าด่านของสุโขทัย ชื่อเดิม ชากังราว มีฐานะเป็นเมืองลูกหลวง เป็นเมืองที่ต้องรับศึกสงครามในอดีต ปรากฏหลักฐานอยู่ทั้งกำแพงคูเมือง ป้อมปราการ และวัดโบราณ เป็นเสน่ห์ดึงดูดใจให้นักท่องเที่ยวทั้งไทยและเทศไปเยี่ยมชมเป็นประจำ

สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพได้ทรงบันทึกเรื่องเมืองกำแพงฯไว้ว่า

"เป็นกำแพงเมืองที่เก่าแก่มั่นคง และยังมีความสมบูรณ์มาก และเชื่อว่าสวยงามที่สุดในประเทศไทย"

พวกเราชาวกำแพงฯ ล้วนมีความภูมิใจมากค่ะ เมื่อองค์การศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (UNESCO) ให้ขึ้นทะเบียนไว้ในบัญชีมรดกโลก เมื่อวันที่ 12 ธันวาคม พ.ศ.2534

ขออวดคำขวัญประจำจังหวัดกำแพงเพชรหน่อย นะคะ

"กรุพระเครื่อง เมืองคนแกร่ง ศิลาแลงใหญ่ กล้วยไข่หวาน น้ำมันลานกระบือ"

เมืองกำแพงฯโด่งดังทั้งเรื่องพระเครื่องสุดยอด กับกล้วยไข่อร่อยสุดๆ ครอบครัวดิฉันทำสวนกล้วยไข่มาหลายชั่วคนแล้วค่ะ กินกระยาสารทกับกล้วยไข่ ถ้าเป็นคนสมัยนี้ก็ต้องบอกว่า...เป็นอะไรที่อร่อยสุดๆ ซะไม่มี

ขณะนั้นพ่อกับลุงเป็นคนดูแลสวนกล้วย ส่วนอายังเป็นวัยรุ่น เพื่อนเยอะ นิสัยชอบเที่ยวเตร่แทบทุกวัน พวกพี่ๆ คือพ่อกับลุงก็ตามใจเห็นว่าเป็นน้องคนเล็ก แต่ปู่ดิฉันบอกให้ช่วยกันตักเตือนดูแล หาไม่จะนำเรื่องเดือดร้อนมาให้

จริงด้วยค่ะ วันหนึ่งพบว่ากล้วยในสวนถูกฟันยับ ทั้งที่ยังเครืออ่อนๆ อยู่ทั้งนั้น

ได้ความว่าอาเล็กไปมีเรื่องกับพวกในสวนใกล้ๆ เลยโดยแก้แค้นด้วยวิธีนี้ ปู่บอกให้ทำเฉยๆไว้ จะจัดการป้องกันให้เอง ไม่ต้องกลัว!

ปู่ดิฉันอายุหกสิบเศษแล้ว ได้ชื่อว่าเก่งกาจทางคาถาอาคมและวิชาไสยศาสตร์รอบตัว ห้องของปู่อยู่ริมสุด ไม่ค่อยมีใครกล้าไปนอกจากปู่เรียก ดิฉันเคยเข้าไปเมียงๆ มองๆ เห็นอับทึบ มีโต๊ะหมู่บูชากับมีดและไม้ หน้าโต๊ะมีกระบอกไม้ไผ่ผ่าซีก ดาบเล่มใหญ่แขวนไว้ที่ข้างฝา

วันต่อมาสวนเราก็โดนบุกรุกมาฟันกล้วยทิ้งแบบรังแก แต่คราวนี้ไม่มากเหมือนครั้งแรก พ่อกับลุงไปดูแล้วบอกว่าเห็นเลือดหยดเป็นทางแล้วหายไป

ปู่ชวนพวกเราเดินไปเรื่อยๆ ราวกับจะรู้จุดหมายดี นั่นคือบ้านลุงขำกับป้าถ้วน ได้ยินเสียงครางโอยๆ มาจากในเรือน สองผัวเมียออกมาคุกเข่าไหว้ปู่ บอกว่าขอชีวิตลูกชายด้วยเถิดต่อไป "ไอ้แผ้ว" คงจะไม่กล้าไปลองดีที่สวนของเราอีกแล้ว

ดิฉันได้ยินปู่สั่งให้เรียกนายแผ้วออกมา...คู่อริของอาเล็กนั่นเอง!

นายแผ้วยกมือไหว้ขอโทษ เห็นเลือดซึมที่ชายโครงขวาเป็นดวงๆ ปู่สั่งให้ลุงขำกับป้าถ้วนชดใช้ค่าเสียหาย ทั้งสองก็ทำตามโดยดี

ก่อนจะกลับ ปู่ส่งขวดน้ำมันเล็กๆ เท่าขวดยานัตถุ์ให้ บอกว่าใช้ทาแผล...ถ้าขืนทำชั่วอีกครั้งมีหวังโดนควายขวิดไส้ทะลัก ตายคาที่แน่ๆ เล่นเอานายแผ้วหน้าขาวซีด ตัวสั่นเทาไปเลยค่ะ

เมื่อกลับถึงบ้าน พ่อกับลุงแยกกันไปทำงานเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ปู่พาดิฉันเข้าไปในห้อง หยิบควายตัวเล็กๆ จากพานหน้าโต๊ะพระ เป็นควายที่ทำจากฟางข้าว มัดด้วยเชือกขาวๆ ทั้งตัว คิดว่าคงเป็นสายสิญจน์แน่ๆ มาให้ดิฉันดู

เมื่อเห็นดิฉันยังงุนงง แต่ทำหน้าแหยงๆ ปู่ก็ยิ้มแล้วบอกว่า...นี่ไง ควายธนูที่ปู่ส่งมันไปเฝ้าสวนเมื่อคืนนี้เอง

ดิฉันหายสงสัยแล้วเมื่อเห็น "เขา" ข้างหนึ่งของ "ควายธนู" ยังมีเลือดแดงๆ ติดอยู่...และติดหูติดตาดิฉันมาจนถึงทุกวันนี้เลยค่ะ!

ขอบคุณ แหล่งที่มาหนังสือพิมพ์

เรื่องผี ขนหัวลุกบ่อนไพ่ตอง ข้างวัดจันทร์ฯ บางกระบือ

ขุนอาจ เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากบ่อนไพ่ตองข้างวัดจันทร์ฯ บางกระบือ

สมัยเด็กๆ ผมอยู่ซอยองครักษ์ บางกระบือนี่เอง ผมเคยตามยายไปเล่นไพ่ผ่องไทยที่บ้านป้าพริ้ง ในซอยข้างวัดจันทร์สโมสรหน้าตลาดสดพอดี เป็นบ่อนตีตั๋วถูกกฎหมายเรียบร้อย ไม่ต้องเล่นไปเหลียวไปเพราะกลัวโดนตำรวจจับ

จั่วไพ่เสียงใสกันตั้งแต่เที่ยงวันยันเที่ยงคืน อาหารการกินที่มีทั้งข้าวราดแกง ก๋วยเตี๋ยว บะหมี่ พร้อมขนมที่หมุนเวียนกันไป ใครอยากได้น้ำชากาแฟ เหล้าบุหรี่ก็สั่งเด็กได้...แต่ถ้าเลยสองยามแล้วใครอยากเล่นต่อก็ต้องทยอย หลบขึ้นชั้นบน วัดดวงกับโปลิศเอาเองละกัน

"ยายผล" อายุราว 70 ปี ผมขาวโพลนไปทั้งหัว เป็นคนฝั่งธนฯ ลงเรือไอข้ามฟากมาขึ้นที่ท่าเขียวไข่กา แล้วนั่งสามล้อมาบ่อน ตอนดึกๆ บ่อนเลิกก็หาสามล้อไปที่ท่าน้ำ แล้วนั่งเรือจ้างที่คุ้นๆ หน้ากันข้ามแม่น้ำเข้าคลองซอยจนถึงบ้าน

เคยถามว่าทำไมไม่ไปท่าวัดจันทร์ แกบอกเรือจ้างหายากกับกลัวหมารุมฟัดตายน่ะซี!

แต่หลายครั้งกว่ายายผลจะออกจากบ่อนก็ปาเข้าไปตีห้า ผู้คนออกมาจ่ายตลาดกันแล้ว...บางคนบอกว่าแกเป็นคนบางพลัด แต่บางคนก็บอกว่าบางอ้อ...แต่ที่แน่ๆ คือยายผลจะมีเรื่องน่าขนหัวลุกมาเล่าในวงไพ่เป็นประจำ!

จะจริงเท็จยังไงก็ลองฟังดูนะครับ

อาทิตย์ก่อนบ่อนเลิก แกนั่งสามล้อไปถึงท่าน้ำ เห็นใครนั่งยองๆ มีผ้าขาวม้าคลุมหัว สูบยาแดงวาบๆ อยู่บนโป๊ะ พอเดินใกล้เข้าไปกลับไม่เห็นใครแม้แต่คนเดียว ยายผลคิดว่าแกตาฝาดไปเพราะจ้องหน้าไพ่พวกเจ็ดนก-หกละเอียดมาตั้งหลายชั่วโมง

ที่ไหนได้ล่ะ พอเรือตาผูกขาประจำแจวออกมาได้อึดใจเดียวก็หันไปดูอีกที หวิดตกน้ำตกท่าเพราะอารามอกสั่นขวัญหายสุดขีด...ร่างนั้นยังนั่งชันเข่าสูบ ยาแดงวาบๆอยู่ที่เดิม!

เมื่ออาทิตย์ที่แล้ว ยายผลเล่าว่าแกโดนผีหลอกกลางวันแสกๆ

ยายผลนั่งเรือไอมากับคนอื่นๆ มีเด็กชายไว้ผมจุก นุ่งกางเกงแพรสีเหลืองสดสวมเสื้อป่านคอกลมสีขาวหน้าตาน่ารักนั่งอยู่ข้างๆ คนเดียว ไม่เห็นผู้ใหญ่ที่จะเป็นพ่อแม่นั่งมาด้วย แต่แกก็ไม่ได้คิดอะไรมากจนเรือ เทียบท่า

ใครๆ เขาขึ้นจากเรือกันหมด แต่เจ้าจุกก็ยังนั่งเฉยอยู่กับที่ แกเองรีบขึ้นเหมือนกัน แต่เมื่อเหยียบโป๊ะหันไปมองก็แทบจะพลัดตกน้ำอีกครั้ง

เด็กผมจุกหายไปไหนแล้วก็ไม่รู้?!

เรื่องของยายผลมีทั้งคนเชื่อและไม่เชื่อ บางคนก็หาว่าแกตาฝาดไปเองตามประสาคนแก่ แถมคอยจ้องแต่สี่มะเขือผ่า-ห้าแตงโมอยู่ตลอด...บางคนถึงกับนินทาว่าแกแต่ง นิยายเอง เชื่อเป็นตุเป็นตะไปเอง พลอยทำให้คนอื่นๆ ขนหัวลุกไปด้วยน่ะซี

คนที่เชื่อก็อ้างว่าเด็กๆ กับคนแก่น่ะจะมีจิตใจอ่อนไหวเป็นพิเศษยิ่งกว่าคนหนุ่มสาวทำให้มองเห็นและได้ ยินสิ่งที่คนทั่วไปไม่ได้ยิน จึงมองเห็นหรือได้ยินทั้งภาพและเสียงภูตวิญญาณที่เป็นสัมภเวสี หรือผีเร่ร่อนได้ง่ายๆ

คนสองวัยนี้จึงมีโอกาสถูกผีหลอกมากที่สุด!

อาทิตย์สุดท้าย ยายผลโผล่เข้ามาตอนบ่าย ค่อนข้างอุ้ยอ้ายล่าช้าตามประสาคนเจ้าเนื้อที่เราเห็นจนชินตา ป้าพริ้งต้องให้ "น้านุ้ย" ลูกชายคนโต "ขัดขา" ไปก่อน (เขาเรียกคันขา) ยายผลเดินช้าๆ ใปเข้าห้องน้ำด้านขวาที่มองเห็นกันชัดเจน

คราวนี้มีสิ่งผิดปกติจนเอะใจไปตามๆ กัน เพราะยายผลหายเงียบไปนานจนน้านุ้ยนึกขึ้นได้ พวกขาไพ่ก็มีสีหน้าสีตาไม่ค่อยสบายใจ ต่างคนต่างหวาดระแวงว่ายายผลแกอาจจะเป็นลมเป็นแล้งอยู่ในส้วมก็เป็นได้

"ไปดูเร็วเข้าโว้ย" ป้าพริ้งร้อง "แกคงเป็นลมไป แล้วมั้ง"

ที่ไหนได้ ห้องน้ำว่างเปล่า ไม่มีวี่แววยายผลแม้ แต่เงา!

ร้องเอะอะช่วยกันหาจนคนที่เดินผ่านไปมาหยุดมอง แต่ก็ไม่เห็นจริงๆ สงสัยว่าแกคงจะออกไปหาซื้อหมากพลูกินตามประสาคนแก่ ที่บ่อนเลี้ยงอาหารกับขนมเท่านั้น พวกบุหรี่หรือน้ำชากาแฟต้องสั่งซื้อเอาเอง...แต่ก็ตามหาตัวยายผลไม่พบ ทั้งๆ ที่เห็นแกมากันทุกคน

มารู้ทีหลังว่าแกเป็นลมอยู่ในเรือ เมื่อมาถึงท่าเขียวไข่กาเขาก็พาแกไปส่งวชิรพยาบาล แต่แกไปสิ้นลมที่นั่นเอง...วิญญาณโลดลิ่วมาหาพวกเราจนขนหัวลุกไปตามๆ กัน!


ขอบคุณ แหล่งที่มาหนังสือพิมพ์

บทความที่ได้รับความนิยม

คลังบทความของบล็อก