วันเสาร์ที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

ผี เรื่องผี เรื่องเล่าสยองขวัญ ชีวิตหลังเกษียณ

บัญชา เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากชีวิตหลังเกษียณ

ผมเพิ่งเกษียณอายุราชการเมื่อปีกลายนี้เอง แต่ไม่เคยมีปัญหาอย่างที่เขาพูดๆ กัน ว่าชีวิตที่ว่างงานระยะแรกๆ จะมีแต่ความสับสน งุนงง ทำอะไรไม่ถูก จิตใจยังอาลัยอาวรณ์อยู่กับตำแหน่งเดิม หรือที่เรียกว่า "หัวโขน" นั่นเอง

คนเคยมีตำแหน่งใหญ่โต มีบริวารแวดล้อม เสนอหน้ากันสลอน เพราะหวังจะได้หน้า ได้ผลประโยชน์ ก็เลยเคลิบเคลิ้มไปเพราะจิตใจอ่อนไหว แต่เมื่อเกษียณออกมาแล้วบรรดาลูกขุนพลอยพยักที่เคยห้อมล้อม ประจบประแจง ล้วนแต่หายหน้าหายตาไปจนหมดสิ้น

คำว่า "จริงครับพี่ ดีครับนาย ใช่ครับท่าน" ที่เคยได้ยินจนชินหูก็พลอยจางหายไปเหมือนสายลมวูบเดียว!

สำหรับผมเองใช้ชีวิตอย่างเรียบๆ ง่ายๆ ทั้งตัวเองและครอบครัวต่างก็ถือสมถะมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว ยึดคติ "เมื่อไม่มีสิ่งที่เราพอใจ ก็จงพอใจในสิ่งที่เรามีอยู่" จึงจะดำรงชีวิตจิตใจให้อยู่ในสภาพเป็นปกติต่อไป ไม่มีอะไรเดือดร้อน

โลกธรรมแปดทำให้คนเราได้รู้และยอมรับความเป็นจริงของชีวิต...มียศเสื่อมยศ มีลาภเสื่อมลาภ...ใครรู้เท่าทันก็ถือว่าหมดทุกข์ไปได้

วิชิตกับไพรัช-เพื่อนรุ่นเดียวกันสองคน ถึงแม้ว่าจะอยู่คนละหน่วยงานแต่ก็ได้พบปะกันเสมอ เมื่อเกษียณออกมาพร้อมกัน เพื่อนคู่นี้คล้ายจะทำใจไม่ได้ หน้าตาดำคล้ำ ท่าทางสลดหดหู่เหมือนต้นไม้อ่อนๆ ที่โดนแดดเผา...นับวันแต่จะเหี่ยวเฉาร่วงโรยไปอย่างรวดเร็ว

ผมเคยถามตรงๆ อย่างเพื่อนสนิทว่า ไม่เคยทำอกทำใจไว้ก่อนหรือว่าจะต้องพ้นจากตำแหน่งหน้าที่เมื่อถึงวันเกษียณ อายุราชการ...วิชิตบอกว่าพยายามแล้วแต่ก็ทำใจไม่ได้อยู่ดี

ไพรัชสารภาพว่า อำนาจวาสนาในวันเก่าๆ มันยังเกาะติดจนสลัดไม่หลุด ตัดใจแค่ไหนก็ตัดไม่ขาด ผมเลยแนะนำให้มองดูรุ่นพี่ที่เขาหาอะไรทำให้เพลิดเพลินไปวันๆ จะได้ไม่มีเวลามากลัดกลุ้มเรื่องตัวเอง!

อยากทำอะไรที่ไม่มีเวลาจะทำได้เต็มไม้เต็มมือมาก่อน เช่น การทำงานอดิเรกต่างๆ ไม่ว่าจะเลี้ยงต้นไม้ เลี้ยงหมาเลี้ยงแมว เล่นกล้วยไม้ สะสมแสตมป์ รวมทั้งการอ่านหนังสือหรือออกไปดูหนังดูละคร หลายๆ คนก็นิยมซื้อทัวร์ออกไปท่องเที่ยวต่างจังหวัด เปิดหูเปิดตากับได้พบคนอื่นๆ ที่แปลกหน้า ไม่ใช่จำเจอยู่กับคนหน้าเก่าๆ ตลอดปีตลอดชาติ

หลายๆ คนที่ทำตามแฟชั่นคือ "เรียนลีลาศ-วาดสีน้ำ"

ส่วนมากมักจะอยู่บ้านเลี้ยงหลาน หรือไม่ก็อ่านหนังสือธรรมะ จนถึงเข้าวัดเข้าวาเพื่อหาความสงบในบั้นปลายชีวิตจนกว่าจะถึงวาระสุดท้าย

วิชิตรับปากว่าจะลองท่องเที่ยวต่างจังหวัดดู ไม่ใช่ซื้อทัวร์แต่ขับรถไปเอง ประเภทขับไปเรื่อยๆ ไม่มีจุดหมาย ค่ำไหนนอนนั่น เบื่อหน่ายหรืออ่อนล้าเมื่อไหร่ก็กลับบ้าน

ไพรัชได้ฟังก็เห็นดีด้วย ขับรถไม่เป็นก็ไม่แปลก เพราะตกลงกันว่าวิชิตจะไปไหนเมื่อไหร่ขอให้บอก จะได้จัดกระเป๋าออกไปด้วยกัน บ้านช่องนั้นหมดห่วงเพราะภรรยายังทำงานอีกหลายปี ส่วนลูกๆ ก็เติบโตจนปีกกล้าขาแข็งไปหมดแล้ว

เรื่องขนหัวลุกเกิดขึ้นตอนนี้เอง!

เพื่อนทั้งสองขับรถออกไปตระเวนทางภาคเหนือตอนล่าง ไล่ตั้งแต่นครสวรรค์, กำแพงเพชร, อุทัยธานี, พิษณุโลกและสุโขทัย...มีการโทรศัพท์พูดคุยกันพอสมควร ส่วนผมก็เลี้ยงต้นไม้ หาความรู้ด้านนี้เพิ่มเติมไปเรื่อยๆ สลับการอ่านหนังสือ ดูหนังทางเคเบิลทีวีเพลิดเพลินได้ทุกวัน

คืนหนึ่ง อาจจะเป็นเพราะจิตใจนึกถึงวิชิตกับไพรัชก็เป็นได้ ผมเห็นคนทั้งสองนั่งรถสีน้ำเงินเข้มขับช้าๆ เข้ามาหา ต่างโบกไม้โบกมือหัวเราะเริงร่า ก่อนจะผ่านไปอย่างรวดเร็ว...ผมมองตามไปก็ต้องใจหายวูบเมื่อ เห็นรถของเพื่อนพุ่งเข้าใส่ต้นไม้ใหญ่ข้างทางเสียงสนั่นหวั่นไหว

คล้ายๆ กับมีฟ้าผ่าเปรี้ยงปร้างติดๆ กันจนหูอื้อ ม่านตาพร่าพราย เมื่อจ้องมองอีกครั้งก็เห็นเพื่อนทั้งสองกำลังโบกมือหัวเราะร่า ใบหน้ากับดวงตาขยายใหญ่จนน่าตกใจ...ก่อนจะพุ่งทยานเข้าใส่ต้นไม้ต้นเดิมอีก ครั้ง!

เสียงตูมตามคราวนี้ทำให้ผมสะดุ้งตื่น เหงื่อแตกพลั่กเต็มตัว...มองดูนาฬิกาก็เห็นว่าเกือบตีสี่ เลยลุกขึ้นล้างหน้าล้างตาออกมาเปิดทีวีดูข่าว แล้วชงกาแฟดื่ม...แทบจะช็อกคาที่เมื่อเห็นข่าวว่าเกิดอุบัติเหตุที่สุโขทัย ตอนค่ำที่ผ่านมานี่เอง

ครับ...วิชิตกับไพรัชบึ่งรถกลับโรงแรม เกิดยางแตกจนรถเสียหลักพุ่งเข้าชนต้นไม้พังยับเยิน...เพื่อนผมเสียชีวิตคาที่ทั้งสองคน

วิญญาณเขาคงจะมาล่ำลา หน้าตาที่หัวเราะเริงร่าคล้ายจะบ่งบอกว่า ความทุกข์ในชีวิตหลังเกษียณจบสิ้นแล้วในพริบตาที่รถพุ่งเข้าใส่ต้นไม้นั่น เอง...นึกแล้วขนหัวลุกครับ!
ขอบคุณ แหล่งที่มาหนังสือพิมพ์

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม

คลังบทความของบล็อก