วันศุกร์ที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2557

ผี เรื่องผี ประสบกราณสยองขวัญ ตีกบที่หนองแค

เห่าไฟ เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกเมื่อไปตีกบที่หนองแค

สมัยเด็กผมอยู่หนองแค สระบุรี พ่อแม่ค้าขายอยู่ในตลาดใกล้ๆ บ้าน พอถึงหน้าฝนคืนไหนฝนตกพวกเราก็จะออกไปตีกบกัน ได้มากินมาขายสบายแฮ แต่เมื่อผมอายุสิบกว่าขวบพ่อก็ส่งมาเรียนหนังสือที่กรุงเทพฯ อยู่วัดหน้าตลาดเทเวศร์กับหลวงลุง ปิดเทอมทีก็กลับบ้านที

ครั้งนั้นโรงเรียนปิดเทอมเดือนสิงหาฯ กับธันวาฯ ครั้งละครึ่งเดือน เรียกว่าเทอมต้นกับเทอมกลาง มีเหตุผลว่าให้เด็กๆ กลับไปช่วยพ่อแม่ทำนา หรือช่วยเลี้ยงน้องอยู่กับบ้านก็ยังดีเพราะฤดูฝนเป็นหน้าทำนา พอถึงฤดูหนาวก็ได้เวลาเกี่ยวข้าวแล้ว

ผมไปเจอะเจอประสบการณ์สุดโหดตอนปิดเทอมต้นนั่นเอง!

ฤดูฝนก็ดีไปอย่าง ไม้ไร่เขียวชอุ่มพอๆ กับข้าวกล้าในนา อากาศเย็นสบายชวนนอน ยกเว้นวันไหนฝนตกตอนบ่ายหรือเย็น พอตกค่ำกบก็ส่งเสียงร้องโอ๊บๆ เหมือนจะยั่วเย้าชักชวนให้เราไปทำบาป...ตอนนั้นเพลงพม่าแทงกบกำลังฮิตพอดี

"ค่ำคืนเดือนหงาย พม่าขี่ควายจะออกไปแทงกบ..."

เพลงเขาว่ายังงั้น แต่พวกเราไม่ต้องขี่วัวขี่ควายหรอกครับ ฉวยตะข้อง ไฟฉาย กับท่อนไม้กำลังเหมาะๆ มือ ออกไปล่าเจ้ากบตัวโตๆ เนื้อหวานกันได้แล้ว

คืนนั้นก็เช่นกัน...ผมเพิ่งกลับบ้านได้วันเดียว ฝนเทลงมาตอนเย็นเหมือนฟ้ารั่ว พอค่ำหน่อยก็มีเพื่อนๆ มาตะโกนหน้าบ้าน...ไปตีกบกันโว้ย!

ตอนนั้นผมอายุย่าง 15 ใจคอกำลังคึก คว้าอุปกรณ์ตีกบได้ก็โดดลงไปสมทบกับเพื่อนสองคน เจ้าเต้ถือไม้ยาวแขวนตะเกียงกระป๋องนม เจ้าจ๊อดกับผมใช้ไฟฉาย 3 ท่อน ไม้คนละอัน...ที่ขาดไม่ได้คือข้องใส่กบสะพายไหล่คนละใบ

บอกตรงๆ ว่าตอนที่เดินออกทุ่งนาไปด้วยกัน ผมสังหรณ์ถึงอะไรบางอย่าง แต่จนแล้วจนรอดก็นึกไม่ออกว่าสังหรณ์ถึงอะไร? แหงนมองท้องฟ้าสีดำ ไม่มีเดือนหงาย นอกจากดาวผุดสะพรั่ง

เสียงร้องโอ๊บๆ ดังอยู่รอบตัว เราแยกย้ายกันไปพลางก้มหน้าก้มตามองหาเหยื่อเสียงหวดไม้ดังขึ้นเรื่อยๆ ตามด้วยเสียงแอ๊วๆ เหมือนเด็กอ่อน...น่าสงสารเหมือนกัน แต่ทำใจว่ามันคืออาหารของเรา...สัตว์ใหญ่ต้องกินสัตว์เล็กเป็นธรรมดานะครับ

จู่ๆ สรรพสิ่งก็ตกอยู่ในความเงียบเชียบ ราวกับโลกนี้กลายเป็นโลกร้างโดยสิ้นเชิง!

ดาวจ้องมองเยือกเย็น สายลมที่เคยพัดโชยกลับหยุดนิ่ง เสียงกบร้องที่นั่นที่นี่ก็เงียบหายไป แต่อากาศดูจะหนาวเย็นยิ่งกว่าเดิมจนผมขนลุก รู้สึกเอะใจจนเหลียวมองไปรอบๆ ตัว แต่ในความมืดสลัวกลางทุ่งนาก็มองไม่เห็นอะไรเลย

มีแสงไฟวูบวาบวอมแวมขึ้นที่นั่นที่นี่ พอจะทำให้ใจชื้นขึ้นมาบ้าง แต่ผิดสังเกตตรงที่มองเห็นปุ๊บมันก็ดังปั๊บ จู่ๆ ก็ไปโผล่ที่อื่น ยอดไม้ตามหัวคันนาเริ่มสะบัดใบซู่ซ่า ตอนแรกเล่นเอาเกือบสะดุ้ง...ไม่มีลมพัดซักนิดไหงมันสะบัดขึ้นมาได้ล่ะ?

ทุ่งนาหลายๆ จังหวัดดูจะโล่งกว้างไปหมด ผิดกับทุ่งนาบ้านผม ไม่ว่าหนองแค หินกอง เขาขาด มักจะมีต้นไม้ขึ้นอยู่ตามหัวคันนาทั่วไป ทั้งสะตือ มะเกลือ มะม่วงป่า โรงนาเล็กๆ ก็มักจะปลูกอยู่ใกล้ๆ ต้นไม้นั่นแหละ

ว่าแต่เจ้าเต้กับเจ้าจ๊อดหายไปไหนล่ะ?

ทันใดนั้นเอง ผมเหลือบเห็นแสงไฟวอมแวมอยู่กับที่ เพ่งมองให้แน่ใจก็ยังเห็นอยู่ตามเดิม....เจ้าเต้แน่แล้ว! เพราะมันใช้ตะเกียงกระป๋องนมแขวนไม้ อีกด้านหนึ่งเป็นปลายแหลมๆ สำหรับปักดิน จะได้ใช้สองมือตีกบให้ถนัด

"เต้โว้ย! วู้..." ผมตะโกนพลางย่ำดินแฉะๆ เข้าไปหา ถึงไม่ได้ยินเสียงตอบก็ไม่เป็นไรเพราะใกล้ดวงไฟเข้าไปทุกที ท่ามกลางความเปล่าเปลี่ยวเงียบเชียบ น่าวังเวงใจสิ้นดี

ผิดคาด! แทนที่จะเป็นไอ้เต้กลับเป็นพี่เพิก คนในหมู่บ้านเดียวกัน แกใช้ตะเกียงผูกปลายไม้แบบไอ้เต้กำลังจ้องมองผมยิ้มๆ ถามว่าได้กบเยอะมั้ย? ผมบอกว่าได้เกือบครึ่งตะข้องแล้ว...รู้สึกอากาศเยือกเย็นจนหนาวสะท้าน

ฟ้าร้องครืนก่อนจะคำรามแปลบปลาบ ตามมาด้วยเสียงฟ้าผ่าเปรี้ยงสนั่นจนหูอื้อ

...ไอ้เต้กับไอ้จ๊อดร้องเรียกผม ครั้นหันไปมองเห็นมันย่ำสวบสาบมาถาม ถามว่าทำไมถึงถ่อมาที่นี่ ผมก็บอกว่ามาเจอพี่เพิกนี่ไง!

"เจอใครนะ?" ไอ้เต้ตาเหลือก "พี่เพิกโดนฟ้าผ่าตายไปตั้งเกือบเดือนแล้ว"

ผมอดหัวเราะไม่ได้ หันขวับไปมองพี่เพิกก็พบแต่ความวางเปล่า รอบๆ ตัวมีแต่ความมืดสลัว เพื่อนทั้งคู่รีบชวนผมกลับบ้านทันที...เมื่อรู้แน่ว่าพี่เพิกตายไปแล้วจริงๆ ผมก็เลิกตีกบเด็ดขาดมาจนถึงทุกวันนี้...ขนหัวลุกน่ะ ซีครับ!

ขอบคุณ แหล่งที่มาหนังสือพิมพ์

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม

คลังบทความของบล็อก