วันพุธที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2557

ผี เรื่องผี เรื่องเล่าสยองขวัญ คนชะตาขาด

ครูเก่า เล่าเรื่องขนหัวลุกจากคนชะตาขาด

ในอดีตดิฉันเป็นครูอยู่ที่โรงเรียนเอกชนแห่งหนึ่งแถวบางซ่อน จากถนนประชาราษฎร์ก็เข้าซอยไป ดิฉันเช่าบ้านอยู่กับเพื่อนครูใกล้ๆ ทางรถไฟ บ้านเรือนยังมีน้อยส่วนใหญ่เป็นสวนเปลี่ยว เจ้าของสวนไม่ค่อยสนใจไยดี ปล่อยตามยถากรรมแทบทั้งนั้น

"น้าน้อย" เช่าบ้านถัดเข้าไปในสวน เธอกับสามีเป็นคนงานก่อสร้าง ตกเย็นเป็นต้องแวะร้านเหล้าด้วยกัน น่าเสียดายที่ทำงานหนักมาตลอดวันแต่เอาค่าแรงไปลงขวดเหล้าเสียหมด

โชคดีอย่างที่สองผัวเมียไม่มีลูก พวกเขามีชีวิตแบบอยู่ไปวันๆ ไม่มีอันตรายกับใคร นอกจากตัวเอง!

ค่ำวันหนึ่ง น้าน้อยเดินร้องไห้เข้าซอยมา บอกว่าสามีเธอไปเมาที่บางโพ โดนนักเลงแทงตายคาที่ในวงเหล้า เพื่อนบ้านได้ฟังก็สยดสยองไปตามๆ กัน

ตั้งแต่วันนั้นมาน้าน้อยก็ดื่มเหล้าหนักขึ้น การงานไม่ค่อยได้ออกไปทำเพราะลุกไม่ไหว บางคนนินทาว่าเงินช่วยงานศพยังเหลืออยู่ อย่างน้อยก็พอซื้อเหล้ากินได้หลายวัน แกเลยขี้เกียจทำงาน เอาแต่เมาเหล้าอยู่ที่ร้านกลางซอยบ้าง ซื้อไปดื่มต่อคนเดียวบ้าง พอเมาก็พล่ามพูดเหมือนคุยกับสามีที่ล่วงลับไปแล้ว...

บางคืนก็หวีดร้องโหยหวน เยือกเย็นไปถึงหัวใจของคนที่ได้ยิน!

น้าน้อยวัยสี่สิบต้นๆ ร่างผ่ายผอมราวกับมีแต่หนังหุ้มกระดูก ผมหงอกประปราย ชอบนุ่งผ้าถุงสีดำ สวมเสื้อคอกระเช้าแล้วทับด้วยเสื้อแขนยาวปล่อยชาย ถ้ามีผ้าโพกหัวก็จะเหมือนกับชุดที่แกแต่งออกไปทำงานเลยค่ะ

วันหนึ่งไม่มีใครเห็นน้าน้อยเลย บ้านช่องก็เงียบเชียบจนพวกเราชักเอะใจ สงสัยว่าอาจจะมีเหตุร้ายเกิดขึ้นก็ได้

บางคนถือไฟฉายเเข้าไปดูเพราะเป็นห่วง ปรากฏว่าน้าน้อยนั่งซุกตัวอยู่มุมห้องเหม็นอับ ใช้ผ้าขาวม้าเก่าๆ ของสามีคลุมไหล่ต่างผ้าห่ม เปิดไฟส่องสลัวที่เพดาน หน้าตาตื่นตัว ตัวสั่น บอกว่า...ผีมาหาแกทุกคืน มาชวนไปอยู่ด้วยกัน!

"ผัวเอ็งมาหาใช่ไหมวะ?" ลุงโต๊ะถามหน้าตาเฉย แต่น้าน้อยส่ายหน้าบอกว่าไม่ใช่ผัวแกหรอก เป็นผีที่ไหนไม่รู้ มาทั้งผู้หญิงผู้ชาย คนแก่ แม้แต่เด็กๆ ก็มี

คืนหนึ่งเดือนหงายราวสามทุ่มเศษ สมัยนั้นถือว่าดึกมากแล้ว ลุงโต๊ะกับตาฉ่ำกลับจากงานศพที่เมืองนนท์เข้าซอยมา เห็นไฟบ้านน้าน้อยเปิดอยู่ก็ตะโกนเรียกแต่ไม่มีเสียงขานรับ พอดีตาฉ่ำเห็นหลังไวๆ หายลับเข้าไปในสวนเลยรีบชวนกันวิ่งตามไปดูทันที

สิ่งที่เห็นเล่นเอาเกือบช็อก...ในแสงจันทร์ขาวนวลที่ส่องลงมา เห็นร่างน้าน้อยกำลังใช้ผ้าขาวม้าผูกคออยู่บนกิ่งไม้ ชายชราทั้งสองร้องเฮ้ย! ร่างผ่ายผอมก็ทิ้งตัวลงมาทันใด...เดชะบุญที่ช่วยกันรับไว้ทัน!

น้าน้อยร้องไห้โฮเมื่อรู้ตัวว่าทำอะไรลงไป เหลียวมองไปรอบๆ กายที่มีแต่ความเปล่าเปลี่ยว แมลงที่เงียบไปเมื่อครู่ก่อนก็กรีดเสียงระงมขึ้นมาใหม่

"เขาชวนฉันมาที่นี่ ยุให้ฉันขึ้นไปผูกคอบนกิ่งไม้ แล้วจะได้ไปอยู่ด้วยกัน!"

ลุงโต๊ะกับตาฉ่ำขนลุกซ่า รีบดึงแขนหญิงผู้น่าเวทนากลับมาที่บ้าน ช่วยกันพูดปลอบอกปลอบใจว่าเพราะฤทธิ์เหล้าดลบันดาล ไม่มีผีสางที่ไหนมาชวนคนไปตายหรอก! ขอให้เลิกเหล้าตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป แล้วเริ่มต้นทำการทำงานเสียที

ชาวบ้านพูดกันว่า คนติดเหล้าขนาดนี้ไม่มีวันเลิกได้แน่ๆ ไม่ช้าก็ต้องเมาแล้วสติฟั่นเฟือน คิดว่าผีสางมาชวนไปอยู่ด้วย...คนเผลอก็ต้องไปผูกคอตายอีกแน่ๆ

ปรากฏว่าทุกคนคิดผิดค่ะ น้าน้อยเลิกเหล้าได้ ออกไปทำงานก่อสร้างตามเดิม ร่างกายเริ่มมีเนื้อมีหนัง หน้าตาผ่องใสขึ้นกว่าเดิมเป็นคนละคน...จนกระทั่งถึงเทศกาลออกพรรษา ทอดกฐินสามัคคีกันครึกครื้น

หมู่บ้านเรามีคนฐานะดีบอกบุญไปทอดกฐินที่ วัดเก้าชั่ง ริมแม่น้ำจังหวัดสิงห์บุรี มีเรือยนต์มารับที่ท่าน้ำวัดสร้อยทอง ดิฉันกับเพื่อนๆ นึกสนุกก็ไปกับเขาด้วย

ระหว่างการเดินทางมีการร้องรำทำเพลงกันสนุกสนาน ดื่มเหล้าครึกครื้นจนถึงวัด เพิ่งสังเกตว่าน้าน้อยก็ดื่มเหล้าร้องเพลง รำเฉิบๆ กับคนอื่นเช่นกัน

กระทั่งขากลับ พวกผู้ชายคอแข็งก็ดื่มเหล้ากันต่อ น้าน้อยขอยอมแพ้ไปนอนรับลมที่หัวเรือ...ใกล้จะถึงจังหวัดนนท์แล้ว จู่ๆ ก็มีเสียงร้องกรี๊ดๆ น่าตกใจ เรือเบาเครื่องลง...โซ่ที่กราบเรือขาดโดยไม่ทราบสาเหตุ พุ่งเข้าเสียบอกน้าน้อยจนทะลุหลังตายคาที่

เสียงร้องรำทำเพลงเงียบหาย พวกเราที่รู้เรื่องผีชวนน้าน้อยไปอยู่เมื่อเดือนก่อนมองสบตากัน... เป็นเรื่องบังเอิญหรือผีมารับวิญญาณน้าน้อยกันแน่? ขนหัวลุกน่ะซีคะ!

ขอบคุณ แหล่งที่มาหนังสือพิมพ์

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม

คลังบทความของบล็อก