วันอาทิตย์ที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

ผี เรื่องผี เรื่องเล่าสยองขวัญ เจตภูตมาเยือน

ไพรณ เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกฉลองปีใหม่

วันนี้ผมมีเรื่องน่ากลัวของเจตภูตมาเล่าสู่กันฟังครับ

เหตุเกิดขึ้นเมื่อราว 5-6 ปีมาแล้ว แต่ยังฝังแน่นอยู่ในความทรงจำของผมมาจนถึงทุกวันนี้!

ขณะนั้นเป็นวันใกล้จะสิ้นปี มีงานรื่นเริงส่งท้ายปีเก่า-ต้อนรับปีใหม่ ทั้งตามบริษัทห้างร้าน ทั้งในหมู่ญาติสนิทมิตรสหาย ยิ่งคนที่มีเพื่อนฝูงมากก็ไปสนุก สนานเฮฮากับเขาแทบไม่ได้พักผ่อน แต่ส่วนมากเต็ม อกเต็มใจเพราะถือว่าเป็นโอกาสที่น่าเฉลิมฉลองกัน...หนึ่งปีมีเพียงครั้ง เดียวเท่านั้น

หลายๆ คนก็ถือว่าเป็นโอกาสดีที่จะเริ่มต้นชีวิตใหม่ในปีใหม่ที่จะถึงนี้

คนที่สนิทสนมรักใคร่กันก็เปิดอกเล่าสู่กันฟังว่า เมื่อขึ้นปีใหม่แล้วจะทำอะไรบ้างที่เป็นประโยชน์ต่อตัวเองและผู้อื่น จะเลิกละสิ่งใดที่ถือว่าไม่ดีงาม เช่น เลิกเล่นการพนัน เลิกดื่มสุรา แม้แต่การเที่ยวเตร่ก็ควรลดน้อยลง เพื่อถนอมสุขภาพตัวเองและประหยัดเงินทองที่หามาได้ด้วยความยากลำบาก

ถือคติว่า...ประหยัดเงิน 100 บาทก็เท่ากับมีเงินเพิ่มขึ้น 100 บาท เป็นต้น!

ถึงแม้ว่าส่วนใหญ่จะทำไม่ได้ครบถ้วน แต่อย่างน้อยก็ถือว่ามีเจตนาดี ตั้งใจดี เมื่อถึงปีใหม่ปีต่อไป ก็ตั้งความหวังดีๆ เอาไว้อีก...ชีวิตที่มีความหวัง อย่างน้อยก็ยังดีกว่าไม่ได้คาดหวังถึงสิ่งดีๆ สำหรับตัวเอง

ก่อนถึงปีใหม่วันเดียว ผมก็ได้ประสบกับเจตภูตน่าขนหัวลุกเข้าอย่างจังๆ

คืนนั้นผมไปงานเลี้ยงที่บ้านเพื่อนแถวเพลินจิต กลับมานอนคนเดียวราวสองยาม เพราะลูกเมียไปเยี่ยมญาติผู้ใหญ่ที่ต่างจังหวัด...กำลังเคลิ้มๆ ก็พอดีมองเห็นภาพนั้นปรากฏขึ้นที่หน้าต่างมุ้งลวดข้างเตียง

ท่ามกลางความเย็นยะเยือกของฤดูหนาว ร่างของชาย ผู้หนึ่งเห็นเพียงครึ่งตัวเป็นรูปมืดสลัว แต่สัญชาตญาณ บอกให้รู้ว่าเขากำลังจ้องมองมาที่ผม ลักษณะเป็นมิตรมากกว่าศัตรู...ได้ยินเสียงคล้ายลมพัดวู่หวิว ไม่แน่ว่าเขาพูดออกมาตามปกติ หรือผมได้ยินจากความรู้สึก แต่ก็จับใจความได้ชัดเจน

"ปีใหม่อีกแล้ว...คิดจะทำอะไรต่อไปล่ะ?"

ตอนนั้นผมคิดว่าคงเป็นวิญญาณพเนจรที่ผ่านมาพอดี แต่มีเสียงหัวเราะดังแว่วขึ้นก่อน...ไม่ใช่ผีสางที่ไหนหรอก อย่ากลัวไปเลย!

อ๋อ...เจตภูตของใครที่มาเยี่ยมเยือนเพราะความคิดถึง? ญาติมิตรคนไหนกันแน่ เพราะสุ้มเสียงที่มากระทบโสตสัมผัสก็ช่างคุ้นหู เหมือนกับที่ได้ยินเพื่อนฝูงคุยกันสนุกเฮฮาเมื่อตอนหัวค่ำนี่เอง

เวลาผ่านไปเร็วเหลือเกินนะ เดี๋ยวปี...เดี๋ยวปี...ชีวิตคนเราก็หดสั้นลงทุกที เหมือนฟ้าแลบแปล๊บเดียว! เหมือนน้ำค้างที่โดนแดดเผา รังแต่จะระเหยหาย เหือดแห้งไปในพริบตา!"

ผมนิ่งอึ้ง ความรู้สึกคล้ายเคลิบเคลิ้ม จิตใจถูกดึงดูดไปตามถ้อยคำที่ฟังเหมือนจะปรารภหรือบอกเล่าสู่กัน มากกว่าจะเป็นคำถามที่ต้องการคำตอบอย่าง จริงๆ จังๆ

"ว่าไง...คนเราควรจะทำยังไงดีกับชีวิตที่เหลืออยู่? ไม่ช้าก็หมดลมหายใจ อยากจะทำอะไรก็ทำไม่ได้แล้ว"

"หาความสุขให้ชีวิตกระมัง?" ผมนึก "ชีวิตนี้ สั้นนัก อย่ามัวไปวิตกกังวลกับปัญหาต่างๆ ให้เสียเวลาเลย...เขาว่าชีวิตเป็นสิ่งมหัศจรรย์! เมื่อเรายังมีลมหายใจอยู่ก็ควรใช้ชีวิตให้คุ้มค่ากับที่เกิดมาทั้งที"

สรรพสิ่งเงียบเชียบเยือกเย็น ร่างที่ปรากฏอยู่เหนือขอบหน้าต่างเพียงครึ่งเดียวก็ผงกศีรษะช้าๆ ผมเริ่มจ้องดูอย่างเอาจริงเอาจัง เพื่อพินิจพิจารณาว่าจะเป็นคน ที่เคยรู้จักมักจี่มาก่อนหรือเปล่า แต่ก็คิดไม่ออกเลย จริงๆ ครับ

ได้แต่นึกสงสัยอยู่ว่า...ใครนะ? มาจากไหนกัน?

ทันใดนั้น แสงสว่างเรืองก็ปรากฏขึ้นที่ใบหน้า นั้นช้าๆ จนมองเห็นได้ชัดเจนขึ้นทุกที...ผมนอนตัวแข็งทื่อด้วยความตกตะลึงพรึงเพริด หัวใจคล้ายจะหยุดเต้นด้วยความหวาดกลัวสุดขีด เมื่อมองเห็นภาพนั้นได้เต็มตา

ถึงผมไม่บอก ก็เชื่อว่าคุณผู้อ่านต้องเดาได้แล้วว่า ภาพนั้นเป็นใบหน้าของผมเอง! เจตภูตของผมแท้ๆ ที่มาเยือนตัวเองในคืนปีใหม่...

ได้เห็นครั้งเดียวก็ขนหัวลุกเกินพอแล้วครับ!

ขอบคุณ แหล่งที่มาหนังสือพิมพ์

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม

คลังบทความของบล็อก