วันเสาร์ที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

ผี เรื่องผี เรื่องเล่าสยองขวัญ คำสาปนรก

นพพร เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากคน ตาทิพย์

สมัยหนุ่มๆ ผมอยู่ยานนาวา มีเพื่อนสนิทคนหนึ่งชื่อโหน่ง เป็นลูกคนรวย เรียนจบพาณิชย์ก็ได้งานทำแถวบางรัก แต่ไม่นานก็เปลี่ยนงานใหม่ไปแถวสี่พระยา ตลาดน้อย หัวลำโพง แต่ก็อยู่ไม่ยืดซักแห่งเดียว...มันบอกผมว่ามีแต่คนโง่ๆ ทั้งนั้น!

อาศัยที่พ่อแม่ฐานะดี แถมมีลูกชายคนเดียว เจ้าโหน่งจึงไม่เดือดร้อนเงินทอง มักจะเที่ยว กิน เล่น ไปวันๆ ตามใจชอบ

วันหนึ่งไปมีเรื่องที่บ้านใหม่ (เกือบถึงถนนตก) เขม่นกันในร้านเหล้า เจ้าโหน่งโดนเจ้าถิ่นรุมสกรัม ทั้งประเคนด้วยไม้หน้าสามจนสลบเหมือด ต้องไปนอนโรงพยาบาลสิบกว่าวันถึงจะกลับบ้านได้

ตั้งแต่นั้นมาเจ้าโหน่งก็เปลี่ยนนิสัยเหมือนเป็นคนละคน!

เคยชอบเที่ยวเตร่ สนุกสนานเฮฮาก็กลับนิ่งเงียบ ไม่ค่อยชอบออกจากบ้าน ร่างกายผอมซูบลง นัยน์ตาเลื่อนลอยไม่จับคน บางทีก็พยักหน้าหงึกๆ กับใครไม่ทราบ บางทีก็พูดพึมพำ หัวเราะหัวใคร่อยู่คนเดียวเหมือนคนบ้าๆ บอๆ จนชาวบ้านนึกว่าสติไม่ดีเพราะโดนตีหัวคราวนั้น

ผมเป็นเพื่อนสนิทที่ไปมาหาสู่บ่อยๆ ต้องยืนยันว่าเจ้าโหน่งไม่ได้บ้าๆ บอๆ พูดคุยกันรู้เรื่อง ถามไถ่อะไรก็จำได้ พ่อแม่มันก็ชอบให้ผมไปบ้านเขา ลูกชายจะได้พูดคุย ยิ้มแย้มแจ่มใส ไม่งั้นมักจะหมกตัวเงียบอยู่ในห้องคนเดียว

ไม่ช้าผมก็ต้องขนหัวลุกเพราะเจ้าโหน่งนี่เอง!

ตอนบ่ายวันนั้นเรานั่งคุยกันที่โต๊ะหินหน้าบ้าน มีต้นมะม่วงกับชมพู่ร่มครึ้ม เจ้าโหน่งมองไปที่รั้วไม้ระแนงแล้วถามว่าเห็นใครไหม? ผมเอียงคอมองๆ แล้วส่ายหน้า บอกว่าข้าจะเห็นได้ยังไงรั้วมันบัง

"ไม่ใช่นอกบ้าน...ที่ใต้ต้นมะม่วงริมรั้วข้างในต่างหากล่ะ! ผู้ชายตัวดำๆ ล่ำเตี้ยน่ะ มันกำลังมองเราอยู่ด้วย"

ผมส่ายหน้า ยืนยันว่าไม่เห็นใครเลย เจ้าโหน่งก็ถอนใจยาว

"มันชื่อสิงห์ ตามข้ามาจากโรงพยาบาลแน่ะ!"

"คิดไปเองมั้ง? ไม่ก็ตาฝาด..."

"เปล่า ไอ้สิงห์ตามข้ามาจริงๆ มันโดนสิบล้อทับตายคาที่ ก่อนข้าจะกลับบ้าน 2-3 วันเท่านั้น...มันมาขออยู่ด้วย! นั่นไง...มันกำลังยิ้มฟันขาวกับเอ็งแน่ะ"

ผมขนลุกซ่า ทั้งที่เป็นกลางวันแสกๆ ก็เถอะเอ้า! ตอนแรกคิดว่าเพื่อนเป็นบ้าไปแล้ว แต่คำพูดต่อมาของมันทำให้ผมเสียวสันหลังมากกว่าเดิม

"ข้ารู้ว่าเอ็งไม่เห็น ใครๆ ก็ไม่เห็น มีแต่ข้าคนเดียวที่เห็นถนัด" เจ้าโหน่งถอนใจยืดยาวอีกครั้ง นัยน์ตาที่จมลึกอยู่ในเบ้าราวจะขยายใหญ่ยิ่งกว่าเดิม "ไม่ใช่ ไอ้สิงห์คนเดียวนะ...นั่น! ตาปลอดกับลุงฉ่ำ ยายเขียวกับป้าแสง! ยืนมองเราอยู่ที่หน้าประตูนั่นไง!"

"ไอ้โหน่ง..." ผมคราง ปากคอแห้งผากไปถนัด "เอ็งจะเห็นได้ยังไงวะ...ก็พวกนั้นตายหมดแล้วนี่หว่า"

"อ้าว? ไอ้เด่นเดินมาอีกคนแล้ว ที่มันตกน้ำตายตอนต้นปีน่ะ"

ผมตัวแข็งลิ้นแข็งไปหมดจนพูดอะไรไม่ออก จ้องมองแทบตาถลนไปยังประตูรั้วก็ไม่เห็นใครที่เจ้าโหน่งเอ่ยชื่อมา...ไอ้ เด่นวัยสิบขวบที่ตกน้ำตายก็ไม่เห็น!

คุณพระคุณเจ้า! ผมเห็นเจ้าโหน่งยิ้มกว้างขึ้น กวักมืออย่างอารมณ์ดี

"มาซีวะไอ้เด่น อยากคุยกันก็เข้ามา" มันพูดเสียงดังก่อนจะพยักหน้าช้าๆ "เออ! งั้นก็แล้วไป" แล้วหันมายิ้มกับผม "ไอ้เด่นมันบอกว่าวันหลัง มันรู้ว่าเอ็งกลัวมัน"

เจ้าโหน่งทั้งเห็นผี ได้ยินเสียงผีด้วยหรือเนี่ย? ตอนแรกคิดว่ามันหยอกล้อผมเล่นตามประสาเพื่อนฝูง แต่วันต่อๆ มามันก็ชี้ให้ดูมะม่วงหน้าบ้านต้นนั้น...บอกว่ามีผู้หญิงที่ไหนไม่รู้นั่ง อยู่บนนั้น...ผีผูกคอตาย!

"สงสัยจะตายมานานแล้วว่ะ พ่อแม่ก็ไม่ยอมเล่าให้ฟัง ตอนกลางคืนข้าเห็นแกห้อยโตงเตง กวักมือเรียกข้าไปอยู่ด้วย พอตอนกลางวันก็นั่งร้องไห้อยู่บนกิ่งใหญ่นั่นไง"

ถึงจะมองไม่เห็นอะไรเลยแต่ผมก็ขนลุกซ่า...กลับบ้านไปถามพ่อ ได้ความว่าญาติข้างแม่เจ้าโหน่งมาอาศัยอยู่ไม่นานก็ผูกคอตายมาสิบกว่าปี แล้ว...สาเหตุจากท้องไม่มีพ่อ

ผมแน่ใจว่าเพื่อนไม่ได้บ้า แต่เกิดมีญาณวิเศษหรือพรสวรรค์หลังจากโดนตีจนสลบ...คิดว่าจะห่างๆ ไปสักพักก่อน แต่อีกไม่กี่วันต่อมาเจ้าโหน่งก็ผูกคอตายที่ต้นมะม่วงริมรั้วนั่นเอง...ผี ผูกคอเรียกเพื่อนผมไปอยู่ด้วยกันได้สำเร็จแล้ว!

ขอบคุณ แหล่งที่มาหนังสือพิมพ์

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม

คลังบทความของบล็อก